กระทู้นี้ยาวมาก อาจจะมีข้อความที่บอกเล่าแล้วแต่ดิฉันเผลอมองข้ามไปก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยบอกด้วย จะได้ย้อนกลับไปอ่านค.ห.นั้นอีกครั้ง
เรื่องที่สงสัยขึ้นมา ก็คือ
๒ มาตราเงินสมัยอยุธยา มีสลึงแล้วหรือยัง ถ้ามี สลึงมีลักษณะหน้าตาอย่างไร เพราะดิฉันเข้าใจว่าเหรียญเงินกลมแบนทั้งหลายรวมทั้งเหรียญสลึง เพิ่งมีในรัชกาลที่ ๔ ก่อนหน้านี้เรายังใช้เงินพดด้วงกันอยู่เลย
แค่นี้ก่อนค่ะ
เงินพดด้วงถือกำเนิดมาตั้งแต่สุโขทัยแล้ว โดยนำโลหะเงินมาหลอมแล้วขึ้นรูป ตีขาเข้ามุมทั้งสองข้าง มีลักษณะเหมือน ตัวด้วงมะพร้าวขดตัว ซึ่งรูปร่างเงินพดด้วง ไม่มีเหมือนในภูมิภาคนี้เลย เข่น เงินลาว เงินลายผักชี เงินทอก เงินก้อนพม่า เงินก้อนจีน เป็นต้น
สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการจัดระบบ ระเบียบการผลิต การใช้เงินพดด้วง มีระบบเงินตราเกิดขึ้น โดยถือตามน้ำหนักเนื้อเงินเป็นเกณฑ์ ตามมาตราเงินไทยที่รู้กัน เช่น ตำลึง บาท สลึง ไพ มีการประทับตราจักร เป็นตราแผ่นดิน และตราประจำรัชกาลที่ไม่เหมือนกัน สำหรับพดด้วงราคา สลึง ก็ตกอยู่น้ำหนัก ๓.๗๔ กรัม โดยคิดจากน้ำหนัก ๑ บาท เท่ากับ ๑๕ กรัม ดังนั้นการปลอมแปลงเงินพดด้วงมีมาแต่โบราณ
ในสมัยสุโขทัย มีการบากขา ให้เห็นเนื้อในของเงินพดด้วง ในสมัยอยุธยาการบากเนื้อเงินยังทำอยุ่ แต่เปลี่ยนเป็นการตอกตราเข้าไป เป็นรูปเมล็ดงา ที่ขาข้างหนึ่งของพดด้วง เพื่อการปลอม ถ้าหากไม่แน่ใจก็สามารถชั่งน้ำหนักที่ตาเต็งได้ สมัยโบราณก็ชั่งน้ำหนักกันเลยครับ จะว่าไปแล้วในสมัยอยุธยา ชาวบ้านน้อยรายจะมีเงินได้ถึงสลึง ก็ถือว่าพอมีพอกิน ส่วนมากจะเก็บกินได้แค่ใช้ "หอยเบี้ย" ในการดำเนินชีวิตไปวันๆ
สำหรับเงินย่อยเช่น โสฬศ อัฐ นี้เพิ่งมาบัญญัติราคากันใหม่กันในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี่เอง ซึ่งการมีเงินพดด้วงปลอม คือ เอาทองแดงมาหลอม แล้วชุบเงินเป็นจำนวนมาก หรือ ที่เรียกว่า "เงินแดง" รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าให้หาเครื่องจักรมาทำเงินแบบใหม่ เพื่อลดการปลอมแปลง ซึ่งก็ทำได้เห็นผล และได้ยกเลิกการใช้เงินพดด้วงอย่างถาวร ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประกาศพระราชบัญญัติเลิกใช้เงินพดด้วง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗
อาจารย์ลองเอาเหรียญบาท สมัยรัชกาลที่ ๔ - ๖ มาชั่งน้ำหนักดู จะได้น้ำหนักประมาณ ๑๕ กรัม ซึ่งสมัยก่อน มาตราเงิน กับ มาตราน้ำหนัก พ้องกัน คือ โลหะนั้นมีค่าอยู่ในตัวเอง เมื่อต้องการมีมูลค่าสูงขึ้น ก็เอา ทองคำมาผลิตใช้เป็นเงินพดด้วงกันพักหนึ่ง ต่อเมื่อราคาโลหะเงิน เริ่มมีค่าสูงขึ้นในภาวะตลาด ส่วนผสมโลหะก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่พ้องกับน้ำหนักอีกแล้ว ดังเช่น ๑ บาทสมัยนี้ ครับ