และอีกจุดหนึ่ง
"...บริเวณว่าท่าราชวรดิฐ ข้างเหนือขึ้นไปให้ทำท่าสำหรับเรือข้าราชการอีกท่า ๑ โปรดให้เรียกว่า ท่านิเวศน์วรดิฐ. ประปา ที่เหนือท่านิเวศน์วรดิษฐ โปรดให้ตั้งเครื่องสูบน้ำด้วยเครื่องจักรแลสร้างถังสูงสำหรับขังน้ำที่สูบขึ้นไปจากแม่น้ำ แล้วฝังท่อไขน้ำเข้าไปใช้ในพระราชวัง ( ประปาที่ยังใช้มาจนตลอดรัชกาลที่ ๕ พึ่งเลิกเมื่อมีประปาสำหรับพระนคร .."
ไปพบข้อความบางตอนจากเวปของการประปานครหลวง ว่า
"กรุงเทพในสมัยก่อนนั้น อาศัยน้ำจากแม่น้ำลำคลอง และน้ำฝนเพื่อการดื่มกิน จากหลักฐานที่ปรากฏระบุว่า ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการตั้งเครื่องสูบน้ำที่เหนือท่านิเวศน์วรดิษฐ์ สูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสู่ถังสูง เพื่อส่งเข้าท่อไปใช้ในพระราชวังโดยนำไปแกว่งสารส้มก่อนใช้ ส่วนที่สำเพ็งย่านคนจีนที่มีฐานะพระยาโชดึกได้ตั้งเครื่องสูบน้ำ เพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไป จำหน่าย ซึ่งแม้ว่าคุณภาพไม่ดีนัก แต่ก็สะดวกไม่ต้องหาบน้ำไกล
ครั้นถึงรัชกาลที่ 5 หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรป เมื่อปี 2440 ทรงพบเห็นความศิวิไลซ์ของบ้านเมือง มีการผลิตน้ำสะอาดบริการซึ่งน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตที่ถูกสุขลักษณะ พระองค์จึงได้มี
พระบรมราชโองการฯ ให้กรมสุขาภิบาลรับไปดำเนินการ โดยได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตน้ำจากประเทศฝรั่งเศส เข้ามาทำการสำรวจและรายงานเสนอความเห็นในการจัดหาน้ำมาใช้ในพระนคร"การประปาในกรุงทพฯ เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๔๕๒
ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า น้ำที่สูบเข้ามานี้คงจะใช้ในเฉพาะพระราชฐานชั้นใน (อาจจะถึงพระตำหนักและตำหนักด้วย) แต่ยังไม่บริการไปถึงเต๊งของนางข้าหลวงและอุโมงค์ด้วย
จากด้านซ้ายของภาพที่มีลักษะคล้ายสะพานท่าเรือทอดออกไป จากลักษณะโครงสร้าง ผมคิดว่าน่าจะเป็นท่อสูบน้ำจากแม่น้ำขึ้นสู่ถังสูง การที่ต้องต่อท่อออกไปให้ไกลจากตลิ่งมากๆ ก็เพื่อกันไม่ให้ตะกอนดินและโคลนถูกดูดเข้าไปในท่อ
เรือลำสีขาวที่จอดทอดสมออยู่นั้น คือเรือพระที่นั่งมหาจักรี ลำที่ ๑ ขึ้นระวางประจำการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ปลดประจำการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙