เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 23653 อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
han_bing
นิลพัท
*******
ตอบ: 1622



ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 08 ต.ค. 10, 12:31

อันนี้ขอถามเล็กน้อยนะครับ

เช่นนี้แล้วในอดีตตั้งแต่โบราณสังคมไทยยอมรับหรือไม่ยอมรับเพศที่สาม

เพราะเห็นมีการกล่าวว่ามีการรับ "เทย" เข้ามาทำงานในวัง

แม้จะเป็นระดับต่ำก็ตาม

เรื่องนักเทษขันทีนี้ขอเว้นไว้เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นรักร่วมเพศ เพราะในตะวันออกกลางมีอุตสาหกรรมทำขันทีสงออก

คือจะจับเชลยมาทำเป็นทาส บางส่วนจะจับไปทำขันที ขายได้ราคาดีมาก โดยมากเป็นทาสชายผิวดำ

เนื้อความนี้ได้จากหนังสือเรื่อง "ฮาเร็ม" ที่แปลโดยคุณมนันยา

ส่วนคำว่าตุ๊ดนี้ สงสัยว่ามาจากภาพยนต์เมื่อปี ๑๙๘๖ กระมังถ้าจำไม่ผิดเรื่อง "ทูซซี่" ที่เป็นชายแต่งหญิง

ยังค้นข้อมูลได้ไม่ละเอียดนักขอเสนอเสริมแค่คร่าวๆ

ทั้งนี้นายประโนตย์คือใครหรือครับ

มีเรื่องร้ายแรงอะไรถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 08 ต.ค. 10, 14:10

กรณีหม่อมไกรสร

ทรงขัดเคืองกรมหลวงรักษรณเรศรว่า ทรงพระมหากรุณาชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ใหญ่ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยต่างพระเนตรพระกรรณก็ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมกดขี่หักหาญถ้อยความผิด ๆ อย่างนี้คงมีหลายเรื่องมาแล้ว เพราะด้วยอ้ายพวกละครชักพาให้เสียคน จึงให้ตระลาการค้นหาความอื่นต่อไปให้ได้ความว่า กรมหลวงรักษรณเรศรชำระความของราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม ดวยพวกละครรับสินบนทั้งฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลยแล้วก็คงหักเอาชนะจงได้ …ตั้งแต่เล่นละครเข้าแล้ว ก็ไม่ได้บรรทมข้างในด้วยหม่อมห้ามเลย บรรทมอยู่แต่ที่เก๋งข้างท้องพระโรงด้วยพวกละคร จึงรับสั่งให้เอาพวกละครมาแยกย้ายกันไต่ถาม ได้ความสมกันว่าเป็นสวาทไม่ถึงชำเรา แต่เอามือเจ้าละครและมือท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกันเป็นแต่เท่านั้น… และตัวประพฤติการคด ๆ โกง ๆ เอาสินบนในการชำระถ้อยความและตั้งขุนนางก็ทรงเคยเตือนสติเป็นหลายครั้งหลายคราว ว่าอย่าทำให้ราษฎรเขาติฉินนิทาหมิ่นประมาทได้ อย่าให้ชื่อชั่วอยู่ในแผ่นดินเหมือนตัวประพฤติการที่ไม่อยู่กับเมียดังนี้ ก็มีผู้มาพูดว่าทั้งผู้ชายผู้หญิง ข้างผู้ชายนั้นก็กรมขุนรามอิศเรศเป็นต้น จนกระทั่งมหาดเล็กเด็กชา ฝ่ายผู้หญิงเมียของตัวที่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดก็มาเล่าให้เขาฟังออกเซ็งแซ่ไป ว่าตัวไม่อีนังขังข้อกับลูกเมีย มาหลงรักอ้ายคนโขนคนละคร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทราบ ครั้นจะห้ามปรามว่ากล่าวให้รู้สึกตัวเสียว่า ทำดังนี้ไม่งามไม่ดีความก็จะอื้ออึงไป เหมือนจะแกล้งประจานให้ญาติได้ความอัปยศ แล้วทรงพระราชดำริว่า แต่ก่อนกรมหลวงเทพพลภักดิ์ก็ประพฤติการไม่อยู่กับลูกเมียเหมือนกันนี้ สมเด็จพระบรมวงศาธิราชซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ทรงทราบทุกพระองค์ ก็หาได้ว่ากล่าวกรมหลวงเทพพลภักดิ์ประการใดไม่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมิได้เอาพระทัยเป็นพระราชธุระ… ด้วยสำคัญพระทัยว่า เขาประพฤติให้เหมือนพี่ชายเป็นพืชพันธุ์ลูกอียายเดนเกือก เป็นคนอุบาทว์บ้านเมือง แล้วมิหนำซ้ำกระทำให้แผ่นดินเดือดร้อนไปทุกเส้นหญ้าใบไม้ ด้วยความโลภเจตนา ให้ขายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระเดชพระคุณเป็นล้นพ้นของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง ทั้งขายหน้าข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย สมณชีพราหมณ์ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ด้วยความชั่วของตัวมันฟุ้งเฟื่องเลี่ยงฤๅไปทั่วนานาประเทศทั้งปวงหาควรไม่เลย ต่างคนต่างต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน จึงโปรดให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียกว่าหม่อมไกรสร ลงพระราชอาชญาแล้วให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อ ณ วันพุธเดือน ๑ แรม ๓ ค่ำ  อายุได้ ๕๘ ปี แต่บ่าว ๓ คน ขุนวุทธามาตย์ ขุนศาลคน ๑  ๔ คนด้วยกัน ไปประหารชีวิตที่สำเหร่ในวันเดียวกัน

จาก พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๓ เล่ม ๒ ฉบับเ่จ้าพระยาทิพากรวงศ์ คุรุสภา (๒๕๐๔) หน้า ๑๓๒ – ๑๓๖

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 08 ต.ค. 10, 14:21

ส่วนคำว่าตุ๊ดนี้ สงสัยว่ามาจากภาพยนต์เมื่อปี ๑๙๘๖ กระมังถ้าจำไม่ผิดเรื่อง "ทูซซี่" ที่เป็นชายแต่งหญิง

กรณี tootsie

ดูเหมือนว่าจะเป็นปี ๑๙๘๒

http://en.wikipedia.org/wiki/Tootsie



มีบางคนบอกว่าเคยได้ยินคำว่า "ตุ๊ด" ในความหมายเพศที่สามก่อนภาพยนตร์เรื่องนี้เสียอีก

 ฮืม
บันทึกการเข้า
Bhanumet
ชมพูพาน
***
ตอบ: 199


Sleeping Red Lion


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 08 ต.ค. 10, 14:24

ความจริง เห็นทาง พันธุศาสตร์ ว่า เกย์ ส่งต่อทางพันธุกรรมได้  เช่นเดียวกับระดับสติปัญญา ความสามารถ
เรื่องหม่อมไกรสร หรือ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ  เห็นว่า พระเชษฐาก็ทรงมีพฤติการณ์ทำนองเดียวกัน (จาก คคห. ของคุณเพ็ญชมพู ด้านบน)

ความจริงไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย  ถ้าไม่ทำให้ราชการงานเมืองเสียหาย

หม่อมไกรสร เป็นต้นสกุล พึ่งบุญ ณ อยุธยา เชื้อสายท่านก็ถวายตัวรับราชการมีทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน  มีตำแหน่งสำคัญหลายท่าน
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 09 ต.ค. 10, 11:16

อ้างถึง
๓. อุสุยยปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดแล เห็นซึ่งการอัชฌาจารแห่งบุคคลทั้งหลายอื่นแล้ว บังเกิดมีความริษยาขึ้นมา ความกระวนกระวายของคนนั้น ก็พลอยระงับดับลงในกาลเมื่อแลเห็นนั้น

ถามคุณเพ็ญชมพูค่ะ ข้อความนี้หมายถึง การดับราคะตนเองได้ด้วยการแอบดูผู้อื่นใช่ไหมคะ
 
หากเข้าใจไม่ผิด ก็อดแปลกใจไม่ได้ค่ะ ว่ามันเกี่ยวอะไรกับการผิดเพศ หรือ กระเทย



ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในข้อความหลักฐานทางพระไตรปิฎกที่ให้ไว้ใน ค.ค.ห.ที่ 2

ดิฉันได้รับคำร้องขอจากคนที่ศึกษาเรื่องนี้จากประเทศตะวันตกมานานเกือบ 5 ปีแล้ว

ที่ให้ช่วยหาความหมายของ บันเทาะว์ แต่ดิฉันไร้ความสามารถ หาไม่พบจนมาได้อ่านจากตรงนี้ค่ะ

กระจ่างมากทีเดียว

บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 09 ต.ค. 10, 11:59

อ้างถึง
เรื่องนักเทษขันทีนี้ขอเว้นไว้เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นรักร่วมเพศ เพราะในตะวันออกกลางมีอุตสาหกรรมทำขันทีสงออก

คือจะจับเชลยมาทำเป็นทาส บางส่วนจะจับไปทำขันที ขายได้ราคาดีมาก โดยมากเป็นทาสชายผิวดำ

คุณ han_bing คะ ดิฉันอ่านประวัติของ เจิ้งเหอ หรือ ซำปอกง ทราบว่า ตัวท่านเองก็เป็นเชลยมาก่อน
เป็นคนเผ่ามองโกล และเป็นมุสลิม แต่ตกเป็นทาสตั้งแต่อายุ 6 ขวบ หลังชาวฮั่นขับไล่มองโกลออกไปจากแผ่นดินจีนสำเร็จ
และสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นปกครองประเทศจีน

เจิ้งเหอถูกจับตอน และ บังคับให้เป็นขันที แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด จึงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาก

จีนได้เสียทรัพยากรมากมายมหาศาลไปกับการสำรวจโลกของกองเรือเจิ้งเหอ มหาขันทีผู้ยิ่งใหญ่

คาดว่า การผลิตขันที เป็นสินค้าส่งออก คือ การค้าทาสนั้น คงมีมานานเป็นพัน ๆ ปีแล้วนะคะ ไม่ทราบใครเริ่มต้นกันแน่
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 09 ต.ค. 10, 12:43

อ้างถึง
ความจริง เห็นทาง พันธุศาสตร์ ว่า เกย์ ส่งต่อทางพันธุกรรมได้  เช่นเดียวกับระดับสติปัญญา ความสามารถ

วิชาว่าด้วยพันธุ์ศาสตร์ ของ เมนเดล มาทีหลังพระพุทธเจ้าของเราถึง 2 พันกว่าปีค่ะ
ไม่ว่าจะการค้นพบ DNA หรือ เรื่อง Chromosome X Y (ภาวะรูป มี 2 คือ อิตถีภาวะ และ ปุริสสะภาวะ)

อันนี้ตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า

กัททัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท
เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์

กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ
เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้

กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม

ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
บันทึกการเข้า
han_bing
นิลพัท
*******
ตอบ: 1622



ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 09 ต.ค. 10, 20:54

ส่งงานไปด้วยความฉิวเฉียด

สันนิษฐานเอาเองว่าประเทศไทยปัจจุบันค่อนข้างเปิดรับเพศที่สาม

ส่วนอดีตนั้นน่าจะยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งในสังคม เพราะมีการนำมาเป็นพนักงานในวัง

แต่ว่าคงไม่ยกย่องสูงมากเพราะเป็นพนักงานขั้นต่ำ

อาจเป็นเพราะแนวความคิดทางพุทธศาสนาที่แจงว่าคนกลุ่มนี้มีกรรมมาก่อน เลยไม่ค่อยได้รับฐานะสูง

และอาจเป็นเพราะพุทธศาสนาเช่นกันที่สอนว่าคนเราเปลี่ยนแปลงกันไปสู่ทางที่ดีได้

เลยยังพอเปิดรับได้

เฮ้อ...

การเขียนงานโดยอาศัยข้อมูลจากเน็ตเพราะอยู่แดนไกลนี้เหนื่อยจริงๆ

ขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตา

ไว้ว่างๆจะเอาเรื่องขันทีในวังของจีนมาเล่าบ้างละกัน

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
Bhanumet
ชมพูพาน
***
ตอบ: 199


Sleeping Red Lion


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 10 ต.ค. 10, 01:03

วิชาว่าด้วยพันธุ์ศาสตร์ ของ เมนเดล มาทีหลังพระพุทธเจ้าของเราถึง 2 พันกว่าปีค่ะ
ไม่ว่าจะการค้นพบ DNA หรือ เรื่อง Chromosome X Y (ภาวะรูป มี 2 คือ อิตถีภาวะ และ ปุริสสะภาวะ)

ทั้งนี้ ผมเองไม่เห็นว่า พันธุศาสตร์ กับ กมฺมวิปาก (วิบากกรรม) จักต้องเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันนี่ครับ

ก็ถ้าพฤติกรรมเกย์สามารถส่งต่อได้ทางยีนส์
สัตว์ที่ต้องรับผลกรรมที่จะต้องเป็นเกย์ ก็สามารถมาเกิดในตระกูลที่เป็นเกย์ได้นี่ครับ

เหมือนอย่างที่โรคหลาย ๆ โรค สามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรม
สัตว์ที่ต้องเสวยผลแห่งกรรมจากโรคนั้น ก็อาจมาเกิดในพงศ์พันธุ์ที่เป็นโรคนั้น

โรคหลายโรค ส่งต่อได้ทางพันธุกรรมเท่านั้น 
ดังนั้น สัตว์ที่จะมาเสวยผลกรรมจากโรคนั้น ก็ต้องมาเกิดในครอบครัวที่มีเชื้อพันธุ์นั้น
โดยที่บิดามารดา ก็ต้องเป็นผู้ที่จะเสวยผลกรรมที่จักต้องมีบุตรเป็นโรคนั้น

อย่างไรก็ตาม เกย์ ไม่ได้เป็นอาการที่เกิดจากพันธุกรรมเท่านั้น
ดังนั้น สัตว์ที่ต้องเสวยกรรมวิบากเป็นเกย์ ก็อาจเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้มีญาติวงศ์พงศาเป็นเกย์ก็ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรรมวิสัย ก็เป็น ๑ ใน อจินไตย ๔
เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด เพราะจะมีส่วนแห่งความเป็นคนบ้า
ดังนั้น ผมควรจะหยุดพิมพ์ต่อ - ฮา

อีกประการหนึ่ง พุทธศาสนา ก็มีทั้ง โลกุตตรธรรม และ โลกียธรรม
แม้โลกียธรรม จักเป็นธรรมทางโลก แต่ก็สามารถเป็นธรรมที่เราจะใช้อบรมจิต เว้นอกุศล เจริญกุศล
คลายความยึดมั่นถือมั่น ลดอัตตา ลดอหังการ ลดมมังการ ลดมานานุสัย
พัฒนาตนสู่การปฏิบัติโลกุตตรธรรม เพื่อนิพพาน

การศึกษาพันธุศาสตร์ แม้จะไม่ช่วยให้หลุดพ้น
แต่ถ้าพิจารณาก็อาจเห็นได้ว่าทุกสิ่งเกิดจาก เหตุปัจจัย (เหมือนหลักอิทัปปัจจยตา)
หากผู้นั้น กระทำโยนิโสมนสิการ ก็อาจพิจารณาให้เห็นธรรมชั้นสูงได้

อย่างไรก็ตาม พันธุศาสตร์ เป็นศาสตร์อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์นานัปการ
ในการช่วยรักษาโรคภัยต่าง ๆ ฯลฯ เป็นการช่วยเหลือเพื่อนร่วมวัฏฏสงสาร ระหว่างที่ยังอยู่ในมหาสมุทรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
 อายจัง
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 10 ต.ค. 10, 03:07

คุณ Bhanumet ค่ะ เราไม่ได้เห็นอะไรขัดแย้งหรือต่างกันเลยค่ะ ดิฉัน Quote พุทธพจน์มาเสริมต่างหากค่ะ

ต้องไม่ลืมว่า วิทยาศาสตร์ที่ตะวันตกค้นคว้านั้น ตามพระพุทธเจ้าทันเฉพาะเรื่องรูปธรรมเท่าันั้น
ยังตามเรื่องนามธรรมไม่ถึงไหน ดูเหมือนจะไม่เชื่อและไม่ตามเสียด้วย

การเป็นกระเทย หรือ เกย์ นั้น เป็น เป็นเรืองของนามธรรมด้วย คือ จิต สะสมกรรม(บุญ บาป) และ ความเคยชิน ในเพศใดเพศหนึ่ง แม้เกิดใหม่ ได้ รูปธรรม(ตามผลกรรม) อย่างหนึ่ง ก็อาจจะได้จิตใจที่ไม่ตรงกับรูปธรรมหรือ ร่างกายก็ได้ เพราะจิตใจเป็นนามธรรมค่ะ

กรรม และ ผลของกรรม เป็นอาจินไตย ถูกต้องแล้ว จึงไม่ควรฟันธง และตีกรอบให้คับแคบว่า การเกิดมามีจิตใจไม่ตรงกับเพศ เป็นเพราะบาปจากการผิดศีลข้อ 3 เท่านั้น มันมีได้อีกหลายสาเหตุค่ะ

เรื่องนี้ว่าไปแล้ว จะยาวมาก และไม่ตรงกับหัวข้อในกระทู้ จึงขอยุติเพียงเท่านี้

แต่ดีใจค่ะ ที่ทราบว่าคุณ Bhanumet มีความรู้ทางธรรมะดีมากคนหนึ่งนะคะ เลื่อมใสค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 10 ต.ค. 10, 07:46

น่าจะแยกกระทู้จากประเด็นที่คุณภาณุเมศร และคุณร่วมฤดีคุยกันอยู่  ไปเปิดเป็นกระทู้ใหม่ต่างหาก
น่าสนใจมาก ที่ทราบว่ามีสมาชิกอย่างน้อย ๒ ท่านสนใจธรรมะในแง่ของวิทยาศาสตร์   วิเคราะห์กันด้วยเหตุ และผล
ถ้าคุณตั้งชื่อหัวข้อกระทู้ใหม่ได้    ดิฉันจะตั้งให้นะคะ    น่าจะอยู่ห้องไหนดี ช่วยเสนอแนะด้วย
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 10 ต.ค. 10, 10:54

อาจารย์เทาชมพูคะ เรื่องตั้งกระทู้ศาสนานั้น บางครั้งความคิดเห็นอาจจะไม่ลงรอยกัน
และความขัดกันนั้น พิสูจน์ได้ยาก เพราะเป็นเรื้่องความเชื่อ เหมือนเรื่องการเมืองค่ะ

ไม่เหมือนเรื่องราวที่อยู่ในเรือนไทยเวลานี้ มีหลักฐานตัดสินชัดเจนลงไปได้
ที่ตัดสินลงให้แน่ชัดไม่ได้ เพราะค้นหาหลักฐานไปไม่ถึง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั้ง 2 ฝ่าย

แต่ศาสนาและการเมืองนั้น เสี่ยงมากค่ะ ดิฉันเห็นและเข้าไปเล่นกระทู้ศาสนามามากแล้ว
ยอมรับว่าเหนื่อยค่ะ เพราะมีทั้ง

  • อัตตะโนมัตติ (ยึดความเห็นตนเป็นใหญ่)
    มีทั้งเถรวาท(ยึดตามคัมภีร์เหนียวแน่น)
    มีทั้ง อาจาริยะวาท(ยึดตามคำสอนของครูบาอาจารย์ของตนเท่านั้นว่าถุกต้อง)
    มีทั้งนักอภิธรรม ที่อ้างว่าความเข้าใจของตนถูกต้องที่สุด
    และ นักปฏิบัติธรรม ที่ไม่นิยมเรียนปริยัติหรืออภิธรรม ยึดผลการปฏิบัติเป็นหลัก
    มีทั้งพุทธกึ่งพราหมณ์ แยกกันไม่ออก
    มหายาน วัชรญาน เซน นิกายหรือลัทธิที่คนปัจจุบัน ต่างนิยมเอามาต้มรวมกัน
    แล้วเรียกแกงหม้อใหญ่ว่า พุทธศาสนา
    ยังไม่อยากจะเอ่ยไปถึงตะวันตกที่แผ่ค่านิยมมาถึงเราแล้วว่า ทุกศาสนา และนิกาย
    รวมกันได้หมด พวกนี้ คือ พวก Pluralism เคยได้ยินไหมคะ
ทุกวันนี้ ข่าวใหญ่ ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับพระและศาสนา มองลงไปให้ลึก จะเห็นว่า เกิดจากคนไทยนี่เอง ที่ไม่รู้อะไรผิืดหรือถูก

ดิฉันจึงเกรงว่า ต่อไป จะต้อง คาดเชือกมาขึ้นเรือนไทยค่ะ ไม่สงบร่มเย็นเหมือนเก่า

เอาเป็นว่า แสดงความคิดเห็นเสริมกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอนะคะ ใครสนใจจะถกเถียงกันต่อ ขอเป็นส่วนตัวดีกว่าค่ะ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 10 ต.ค. 10, 11:15

น่าเสียดาย   เศร้า
บันทึกการเข้า
Bhanumet
ชมพูพาน
***
ตอบ: 199


Sleeping Red Lion


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 10 ต.ค. 10, 14:54

เห็นด้วยกับคุณ Ruamrudee ครับ

บางเรื่องแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  แต่ด้วยอัตตาอันใหญ่โต ทำให้เกิดเรื่องมากมาย

ผมเคยไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนาของพันทิป เรื่อง คาถา เย ธัมมา ฯ  เพราะหลายสำนักว่าไว้ไม่เหมือน
บ้างมี อาหะ บ้างไม่มี อาหะ
บ้างจบด้วย มหาสมโณ  บ้างจบด้วย มหาสมโณติ

ผมไม่มีความรู้ทางบาลี อยากไขข้อข้องใจ
กลับโดนตอกกลับ รู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์  ไม่น้อมนำไปเพื่อพระนิพพาน

เขากล่าวราวกะตนเองเป็นนักปฏิบัติชั้นสูง   แต่อัตตากลับไม่ลดลงไปตามการปฏิบัตินั้น
ตัณหา ทิฏฐิ มานะ ล้นปรี่
ผมเองก็้ปุถุชน  โทสะ ก็ย่อมเกิด  
ต่อมาเลยไม่ไปตั้งกระทู้ที่ห้องนั้นอีก

เวลาผมสังสัยปัญหาบาลี ผู้ให้ความกระจ่างผมได้
ก็คือ คุณ luanglek แห่งเรือนไทยนี่ล่ะครับ  ยิงฟันยิ้ม

พระธรรมของพระศาสดา มีทั้ง โลกียะ โลกุตตระ
ผู้กำลังปัญญายังไม่แก่กล้า ก็อาจอบรมจิตผ่านโลกียธรรมได้
การให้ทาน ก็คลายความยึดมั่นถือมั่น
การช่วยเหลือผู้อื่น
การรักษาศีล ฝึกสติให้ตั้งมั่น

ที่สำคัญอย่าเสพติดความดี  ทำดีแล้วคิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น
ผูกขาดความดี เห็นตัวเองดีอยู่คนเดียว

ทำความดีแล้ว ต้องลดละอัตตาด้วย  เปิดใจรับความคิดเห็นของผู้อื่น
ใช้เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) พิจารณา

นึกถึงที่ท่านพุทธทาสสอน
ผู้ใดได้ยินได้ฟังคำว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ผู้นั้นชื่อว่า ได้ยินได้ฟังทั้งหมดในพุทธศาสนา

"สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"
"ธรรมทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 10 ต.ค. 10, 16:08

อ้างถึง
ผมเคยไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนาของพันทิป

คุณ Bhanumet คะ ยินดีต้อนรับสู่สโมสร คนเคยถูกต้อนจากพันทิพค่ะ

มาอยู่เรือนไทยกันดีกว่า มีอะไร ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แบ่งปันความรู้กันนะคะ
รู้ไม่เหมือนกัน สำหรับที่เรือนไทยนี่ ไม่มีอันตรายค่ะ ให้เสรีภาพในการพิสูจน์ทราบกันเอง
ดิฉันไม่เห็นมีใครถือตัวว่ารู้มากเลยสักคนในที่นี้ ทั้ง ๆ ที่ ....เป็นปรมาจารย์ทั้งนั้น

เรา 2 คนมาช่วยกันเสริมและเติมมุมของศาสนาเท่าที่จะเหมาะจะควรกันนะคะ
เอาพอเป็นน้ำจิ้ม แบบเล่าสู่กันฟังนะคะ ดิฉันว่า คุณหลวงเล็กท่านก็เฝ้าดูอยู่
อะไรที่ท่านขัดเกลาและแก้ไขได้ เราทั้ง 2 จะได้เรียนรู้จากท่านได้ค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 20 คำสั่ง