เคยเขียนไว้ในกระทู้ใดกระทู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้ ถึงรัฐนิยมที่ก้าวล้ำเข้ามาถึงในบ้านช่องห้องหับ ในมุ้งในม่านของประชาชนไทย แต่เอามาฉายซ้ำอีกทีก็ดี เผื่อมีบางท่านยังไม่เคยอ่าน
รัฐนิยมของท่านจอมพล ป. ไม่ใช่แค่ประกาศกว้างๆเท่านั้น แต่มีรายละเอียดยิบย่อย ถึงขั้นวางระเบียบในชีวิตประจำวันของประชาชนไว้ทั้งเช้าสายบ่ายเย็น กลางค่ำกลางคืน
กำหนดกระทั่งว่าควรนอนกี่ชั่วโมง แต่ละช่วงวันควรเอาเวลาไปทำอะไรบ้าง แม้แต่กินอาหารก็กำหนดว่าให้กินตรงเวลา และไม่ควรเกิน ๔ มื้อ
ครั้งแรกที่อ่านเจอ แปลกใจว่าคนไทยทั่วไปเขาไม่ได้กินกันอย่างมากก็วันละ ๓ มื้อหรอกหรือ ถ้าเป็นคนจนก็กินน้อยกว่านั้น ท่านกำหนดราวกับคนไทยสมัยนั้นกินกันวันละ ๔-๕ มื้อ หรืออาจจะมากถึง ๖-๗ มื้อ จนต้องมาห้ามว่า ๔ มื้อพอแล้ว
หลายปีมาแล้ว มีนิสิตอักษรศาสตร์รุ่นหลานมาสัมภาษณ์แม่ถึงเรื่องในอดีต ยุคจอมพลป. แม่เล่าถึงประกาศข้อนี้ว่ารัฐบาลท่านบอกว่าไม่ควรกินเกิน ๔ มื้อ
แล้วต่อท้ายว่า ยายเองเกิดมาไม่เคยกินข้าววันละ ๔ มื้อเลยหนู แล้วไม่เคยเห็นใครบ้านไหนเขากินกันถี่ขนาดนั้นด้วย
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยม ฉะบับที่ ๑๑
เรื่อง กิจประจำวันของคนไทย
ด้วยรัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า การรู้จักปฏิบัติกิจประจำวันเป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวแก่การผะดุง ส่งเสริมวัฒนธรรมของชาติ อันจะเป็นผลให้ประชาชนพบเมืองไทยทั่วไปมีสุขภาพแข็งแรงมั่นคง เป็นกำลังของชาติสืบไป คณะรัฐมนตรีจึ่งได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ดั่งต่อไปนี้
๑. ชนชาติไทยพึงแบ่งเวลาในวันหนึ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ปฏิบัติงานที่เป็นอาชีพส่วนหนึ่ง ปฏิบัติกิจส่วนตัวส่วนหนึ่ง และพักผ่อนหลับนอนอีกส่วนหนึ่ง ให้เป็นระเบียบและมีกำหนดเวลาอันเหมาะสมจนเกิดเป็นนิสสัย
๒. ชนชาติไทยพึงปฏิบัติกิจประจำวันตามปกติดั่งต่อไปนี้
ก. บริโภคอาหารให้ตรงตามเวลาไม่เกิน ๔ มื้อ
ข. นอนประมาณระหว่าง ๖ ถึง ๘ ชั่วโมง
ชนชาติไทยพึงตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ประกอบกิจการงานของตนโดยไม่ท้อถอย และหลีกเลี่ยง กับควรหยุดเพื่อรับประทานอาการและพักกลางวันไม่เกิน ๑ ชั่วโมง เมื่อพ้นกำหนดเวลาทำงานเวลาเย็น ควรออกกำลังกายโดยเล่นกิฬากลางแจ้งวันหนึ่งอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง หรือประกอบงานอื่น เช่น ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ หรือปลูกต้นไม้ เป็นต้น เมื่อชำระล้างร่างกายแล้ว รับประทานอาหาร
๓. ชนชาติไทยพึงใช้เวลาว่างเวลากลางคืน ทำการงานอันจำเป็นที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ หรือสนทนาปราศัยกับบุคคลในครอบครัว มิตรสหาย ศึกษาหาความรู้โดยการฟังข่าวทางวิทยุกระจายเสียง อ่านหนังสือ หรือในการมหรสพ หรือศิลปกรรม แล้วแต่โอกาส
๔. ชนชาติไทยพึงใช้เวลาในวันหยุดงาน ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกายและจิตต์ใจ เช่นประกอบกิจในทางสาสนา ฟังเทศน์ ทำบุญ ศึกษาหาความรู้ ท่องเที่ยว เล่นกิฬา หรือพักผ่อนเป็นต้น.
ประกาศมา ณ วันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๔
พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรี
---------------------------------------