ขอเป็นไกด์พาเที่ยวถิ่นเดิมสักวันนะคะ
นี่คือห้องโถงใหญ่ของคณะอักษรศาสตร์ สมัยดิฉันเรียนจะต้องเดินเข้าห้องโถงนี้ทุกวัน เพราะเป็นทางไปสู่ห้องเรียนทั้ง 4 ปี
ปีหนึ่งเดินเข้าห้องโถงแล้วเลี้ยวขวา ตรงไปห้องเรียนรวมชั้นปีที่ 1 เป็นห้องประวัติศาสตร์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลทีื 6 เคยเสด็จมาเปิดอาคารที่ห้องนี้
ปีสองได้ขึ้นบันได พอถึงชานพักตรงกลางทุกคนต้องหยุดไหว้พระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถ้าเลี้ยวขึ้นบันไดไปทางปีกซ้ายก็ตรงไปห้องเรียนปี 2 ถ้าเลี้ยวไปทางขวา แสดงว่าเราขึ้นเรียนถึงปี 4 แล้ว เพราะห้องปี 4 อยู่ทางปีกขวา
ถ้าขึ้นซ้ายหรือขวาก็ตาม แต่เดินตรงไปทางปีกหลังของตึกชั้น 2 แสดงว่าเรียนปี 3
จำรุ่นพี่คนไหนว่าอยู่ปีไหน ก็เพราะเห็นแถวๆห้องไหน ในปีกไหนนี่แหละค่ะ
แต่ละคาบวิชา ยาว 50 นาทีให้พวกเราได้พัก 10 นาทีก่อนขึ้นชม.ใหม่ แต่สัญญาณหมดเวลาไม่ใช้กริ่ง ยังคงเป็นการตีระฆังแบบโบราณเหมือนระฆังวัด ก้องกังวานไปทั้งตึก
คนตีระฆังเป็นลุงแก่ๆร่างผอม สวมชุดสีกากี ทำงานมาหลายสิบปีแล้ว ลุงช่างกลมกลืนกับบรรยากาศของตึกจนดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน จนดิฉันเผลอนึกไปว่าลุงจะต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วฟ้าดินสลายไม่ไปไหน
แต่แล้ว วันหนึ่งก็พบว่าลุงต้องเกษียณเหมือนพนักงานทั่วไป เล่นเอาใจหาย เพื่อนๆก็เศร้า เมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เห็นลุงค่อยๆเดินขึ้นบันไดมาตอนเช้า ค่อยๆเดินลงบันไดกลับไปตอนเย็น ตอนกลางวันลุงก็เปิดกล่องข้าวออกมานั่งแอบๆ กินอยู่เงียบๆคนเดียว ตอนนั้นได้ข่าวว่าอาจารย์ม.ร.ว.ดวงใจพยายามขอให้ลุงได้ต่ออายุงาน แต่ไม่สำเร็จ
วันสุดท้าย ก่อนลุงเกษียณ ดิฉันก็ไปเลี้ยงลาด้วยการเอาข้าวกลางวันกับกับข้าวใส่ปิ่นโตจากบ้านไปให้ ยังจำลุงมาได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าลุงคงไปตีระฆังสวรรค์มาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
พี่กฤษณา คงจำลุงได้นะคะ
