เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 27
  พิมพ์  
อ่าน: 160147 จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 165  เมื่อ 15 ส.ค. 10, 21:50

ท่านผู้อ่านพักทำใจสักนิดนะครับ อ่านเรื่องของผมมันก็ต้องพลิกไปพลิกมา ไม่แน่นะครับ เผ่าอาจจะชิงปฏิวัติก่อนสฤษดิ์ก็ได้ แต่ตอนนี้ผมขอฆ่าเวลาของท่านด้วยการพาเข้าซอยบ้าง ลึกหน่อยนะครับซอยนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ฟ้องคึกฤทธิ์หมิ่นทูตสหรัฐฯ "กุ๊ยมะริกัน"

โดย โรม บุนนาค


หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2500 มีคำฮิตอยู่ 2 คำ คือ "การเลือกตั้งที่สกปรก" กับคำว่า "อันธพาล" ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการเลือกตั้งที่สกปรกนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บรรณาธิการ นสพ.สยามรัฐรายวันจึงเอาคำว่า "อันธพาล" มาตั้งเป็นชื่อคอลัมน์ที่เขียนเอง

"คอลัมน์อันธพาล" เป็นล้อมกรอบเล็กๆ นำข่าวและข้อเขียนในหนังสือพิมพ์ต่างๆ มาตบท้ายแบบหยิกแกมหยอก เพื่อให้อารมณ์ขันแก่ผู้อ่านตามแต่เรื่องของแต่ละวันจะพาไป

แต่แล้วคอลัมน์เล็กๆ ของสยามรัฐนี้ ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ถึงขึ้นโรงขึ้นศาล ประชาชนให้ความสนใจกันทั้งเมือง สมาคมหนังสือพิมพ์ 2 สมาคมต้องเปิดประชุมร่วมกัน และนักหนังสือพิมพ์อาวุโสหลายคน แม้บางคนจะเคยมีความคิดเห็นขัดแย้งกับ คึกฤทธิ์ มาก่อน ก็หันมาเป็นพยานให้ในศาลผนึกกำลังต่อสู้กับอิทธิพลของนักการเมือง

คอลัมน์ที่เป็นต้นเหตุนี้อยู่ในหน้า 2 ของสยามรัฐฉบับวันที่ 12 มีนาคม 2500 โดยลอกเอาข่าวในสยามรัฐเองมาล้อว่า คอลัมน์อันธพาล

จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขออย่าให้พูดว่า "การเลือกตั้งที่สกปรก" ขอบัญญัติให้ใช้ว่า "การเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อย" เพราะเหตุดังกล่าวไม่ใช่มีแต่ประเทศเรา เอกอัครราชทูตบิชอปแห่งสหรัฐอเมริกาเอง ได้บอกให้ทราบเมื่อวานนี้ว่า การเลือกตั้งในอเมริกานั้น ที่นครชิคาโกยังมีการแย่งหีบบัตรลงคะแนน

ข่าว"สยามรัฐ"
 
มันช่างสั่งช่างสอนกันดีจริงวะ เพราะคบกุ๊ยมะริกันยังงี้นี่เอง ถึงได้มาเสียคน มี "ชื่อเสียงที่ไม่เรียบร้อย" เอาเมื่อตอนแก่จะเข้าโลง
"บก.หน้าใหม่"

ข้อเขียนนี้เป็นที่สะใจคนอ่าน แต่คงทำให้ จอมพล ป. นายกรัฐมนตรี ขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย ฉะนั้น ในวันที่ 2 เมษายนต่อมา พ.ต.ต.สุรพงษ์ นาคะเสถียร สารวัตรใหญ่โรงพักชนะสงคราม เจ้าของท้องที่โรงพิมพ์สยามรัฐ ก็บุกมาถึงโรงพิมพ์กางคอลัมน์อันธพาลในสยามรัฐฉบับวันที่ 2 มีนาคม ให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ดู แล้วถามว่า

"คุณชายเป็นคนเขียนใช่ไหม?"

เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์รับว่า "ใช่" จึงเชิญตัวไปสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จากนั้นก็แจ้งข้อหา "ตีพิมพ์ข้อความดูหมิ่นตัวแทนรัฐต่างประเทศ ตาม กม.อาญามาตรา 134" ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท โดยอ้างว่าสถานทูตสหรัฐฯ ได้ประท้วงมา แต่ก็ให้ประกันตัวไปในวงเงิน 44,000 บาท



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 166  เมื่อ 15 ส.ค. 10, 21:52

การจับ บก.สยามรัฐครั้งนี้ ทำให้สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวเรียประชุมร่วมกันเป็นการฉุกเฉิน ปรากฏว่า มีสมาชิกไปประชุมคับคั่ง หลังจากการอภิปราย 3 ชั่วโมงมีการลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นหนังสือประท้วงรัฐบาล เพราะการจับกุม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นการคุกคามเสรีภาพหนังสือพิมพ์

ในวันที่ 5 เมษายน เรื่องนี้ถูกนำขึ้นสู่ศาลอย่างรวดเร็ว และศาลได้สืบพยานนัดแรกในบ่ายวันนั้นทันที โดยมี พลตำรวจจัตวาปั้น โชติพุกกณะ เป็นผู้ว่าคดีฝ่ายโจทก์ ส่วนฝ่ายจำเลย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขอว่า ความให้ตัวเอง

โจทก์ได้นำ พ.ต.ต.สัมพันธ์ รัญเสวะ สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ กองกำกับการสันติบาลเป็นพยานปากแรก ซึ่งคำซักค้านของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้เรียกเสียงเฮฮาเป็นที่สนุกสนานของผู้เข้าฟังคดี

สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ให้การว่าเป็นผู้ตรวจข่าวในหนังสือพิมพ์ทุกวัน และเมื่อได้อ่านคอลัมน์อันธพาลในสยามรัฐฉบับนี้แล้ว ก็ได้บันทึกความเห็นเสนอไปยังผู้บังคับบัญชาว่า ข้อความที่ นสพ.สยามรัฐลงนี้ เป็นการกล่าวหา นายแม็กซ์วิลโด บิชอป เอกอัครราชทูตอเมริกันเป็น กุ๊ย เป็นการดูหมิ่น นายบิชอป ซึ่งเป็นผู้แทนรัฐต่างประเทศ และมีความเห็นว่า "กุ๊ย" หมายถึงคนเลวทรามต่ำช้า ไม่น่าคบ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักถามว่า พยานรับราชการตำรวจมานาน เคยรู้จักอันธพาลบ้างไหม สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ตอบว่าไม่รู้จัก เห็นเขาว่าๆ กัน หลังเลือกตั้งครั้งนี้หนังสือพิมพ์เอามาลงกันหนาหู

พยานให้การว่า ถ้าไม่มีนายกรัฐมนตรีหรือ นายบิชอป เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อความที่เขียนในคอลัมน์อันธพาลก็รับกับหัวเรื่องดี พยานถือว่าบุคคลที่ถูกระบุอยู่ในคอลัมน์อันธพาลเป็นอันธพาลไปหมดด้วย คึกฤทธิ์ ซักว่า ถ้าเช่นนั้น ในคอลัมน์อันธพาลลงข้อความว่า พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มีบัญชาให้อันธพาลด้วยหรือ พยานตอบว่า มันแล้วแต่เจตนา ต้องอ่านข้อความอื่นประกอบด้วย จะว่า พล.ต.อ.เผ่า เป็นอันธพาลไม่ได้

คึกฤทธิ์ ถามว่า บุคคลที่แย่งหีบบัตรลงคะแนนในนครชิคาโก เป็นบุคคลที่ทำถูกต้องใช่ไหม พยานตอบว่าไม่ถูก ทำผิด และไม่ควรทำ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักต่อไปอีกว่า ควรจะเรียกว่าเป็นคนเลวทรามได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นอเมริกันหรือไทย
 
พยานตอบว่าก็ทำผิดกฎหมายล่ะ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า คนทำผิดกฎหมายนั้นจะดีหรือเลว
 
พยานตอบว่าจะเลวเสมอไปก็ไม่ได้ พยานเห็นว่าเป็นคนฝืนกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า คนที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือคนทำผิดกฎหมายไม่เรียกว่าคนเลวหรือ
 
พยานตอบว่าคนทำผิดกฎหมายบางครั้งก็ไม่มีเจตนา จะเรียกว่าเป็นคนเลวเสมอไปไม่ได้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า คนที่ไปแย่งหีบบัตรเลือกตั้งนั้นพยานเห็นว่ากระทำโดยประมาทไม่เจตนาด้วยหรือเปล่า พยานไม่ตอบ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ถามว่า สมมติคนอื่นไปเห็นผู้กระทำความผิด แล้วนำเรื่องมาเล่าให้คนอื่นฟังคนที่เล่าผิดไหม
 
พยานตอบว่าไม่ผิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า ฉะนั้น ที่ นายบิชอป นำความมาบอก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ใช่ผู้ผิดใช่ไหม
 
พยานตอบว่า ใช่
 
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักต่อไปอีกว่า จะเรียก นายบิชอป ตามพฤติการณ์ที่ว่านี้ เป็นคนเลวทรามได้ไหม
 
พยานตอบว่าไม่ได้ จะเรียกว่า กุ๊ย ก็ไม่ได้

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ถามว่า เมื่อปรากฏว่าผุ้ผิดคือผู้แย่งหีบบัตรในนครชิคาโก เหตุใดพยานจึงเข้าใจว่าผู้เขียนหมายถึง นายบิชอป จะหมายถึงพวกทำผิดแย่งหีบบัตรเลือกตั้งได้หรอื
 
พยานตอบว่าได้ทั้ง นายบิชอป และผู้แย่งหีบบัตร แต่เพราะข้อความนั้นกล่าวถึง นายบิชอป เป็นอันดับแรกพยานจึงเข้าใจว่ากุ๊ยหมายถึง นายบิชอป

ศาลได้นัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 9 เมษายนซึ่งข่าวที่แพร่ออกไปถึงความสนุกสนานจากการชักพยานของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทำให้นักศึกษาประชาชนมาฟังการพิจารณาคดีกันแน่นศาลจนล้นห้องพิจารณาคดี ในนัดนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เบิกตัวเองเป็นพยาน ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังได้ตลอดเวลาเช่นกัน


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 167  เมื่อ 15 ส.ค. 10, 21:53

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ให้การว่า พยานอายุ 46 ปี อาชีพทำหนังสือพิมพ์ อยู่บ้านเลขที่ 144 ซอยสวนพลู เป็นบรรณาธิการและผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน พยานเป็นผู้ประพันธ์บทความเรื่องคอลัมน์อันธพาลในฉบับลงวันที่ 2 มีนาคม 2500 ข้อความในคอลัมน์นี้ ตอนแรกเป็นการตัดข่าวที่ จอมพลแปลก ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มาลง

ส่วนข้อความตอนหลัง เป็นข้อความที่เขียนขึ้นด้วยสำนวนที่เจตนาจะล้อเลียน เพราะระยะนั้นปรากฏเป็นข่าวว่าจังหวัดพระนครมีอันธพาลชุดชุมและการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ก็ปรากฏเป็นข่าวว่าอันธพาลเข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายมาก เกล้ากระผมจึงใช้ถ้อยคำในคอลัมน์อันธพาลนี้ให้ดูเหมือนว่าอันธพาลพูดกัน มีความหมายจะตักเตือน จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ว่า อายุของตัวก็เข้าปูนชราแล้ว จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่แน่ จึงควรประพฤติตนให้ดีต่อไป ไมีควรจะไปนำแบบอย่างที่ไม่ดีมาใช้ในการเลือกตั้ง

ข้อความทั้งหมดนั้นเกล้ากระผมไม่มีเจตนาจนะดูหมิ่นผู้ใดให้เห็นเป็นคนเลวต่ำช้า ที่เกล้ากระผมเขียนไปว่า เพราะคบกุ๊ยมะริกันยังงี้นี่เองนั้น เนื่องจากรัฐบาล จอมพลแปลก ที่ดำเนินการเลือกตั้งในครั้งนี้คบหาเป็นมิตรสนิทสนมกับอเมริกามากกว่าชาติอื่น และรัฐบาลก็ได้รับความช่วยเหลือต่างๆ จากอเมริกาเป็นอันมาก จอมพลแปลก ก็ได้ไปทัศนาจรอเมริกา และเมื่อกลับมาก็อ้างว่าได้ไปศึกษาระบอบประชาธิปไตยมา

เกล้ากระผมจึงเห็นว่า จอมพลแปลก อาจไปจำแบบอย่างที่ไม่ดีของอเมริกา เช่น การทุจริตเลือกตั้งมาใช้ในเมืองไทย ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์นั้นสกปรก ครั้นเมื่อคนทั่วไปทราบว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นสกปรกแล้ว จอมพลแปลก ก็ขอให้เปลี่ยนให้เรียกว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อย โดยอ้างการเลือกตั้งของอเมริกาเป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้น คำว่า กุ๊ยมะริกัน ในบทความเกล้ากระผมจึงไม่ได้หมายถึงตัว นายบิชอป แต่หมายถึงคนแย่งหีบบัตรเลือกตั้งในอเมริกาที่นครชิคาโก อันเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี จอมพลแปลก ไม่ควรนำมาอ้าง

พยานให้การต่อไปว่า ตามความเข้าใจของเกล้ากระผม จอมพลแปลก คบกุ๊ยมะริกันมาก่อน การเลือกตั้งครั้งวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งถึงได้สกปรก ไม่ใช่ว่าเพราะ จอมพลแปลก คบ นายบิชอป เพราะ นายบิชอป เป็นทูตไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และเรื่องที่ นายบิชอป พูดกับ จอมพลแปลก เกี่ยวกับเลือกตั้งก็พูดเมื่อหลังการเลือกตั้งแล้ว ดังปรากฏในคำสัมภาษณ์ของ จอมพลแปลกว่า เอกอัครราชทูตอเมริกันได้มาพูดเกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ คำว่าวานนี้ก็หมายถึงหลังการเลือกตั้งแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้อยคำในตอนท้ายของคอลัมน์อันธพาล เกล้การะผมจึงไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่น นายบิชอป ถ้าจะมีจิตใจจะดูหมิ่นผู้ใด ก็เห็นจะเป็น จอมพลแปลก พิบูลสงคราม

พยานฝ่าย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นบรรณาธิการอาวุโสของวงการหนังสือพิมพ์ ซึ่งแต่ละคนล้วนให้การเหน็บแนม จอมพล ป.สะใจคนฟังเข้าไปอีก อย่าง นายสนิท ธนะรักษ์ บก.ประชาธิปไตย ให้การว่า ในฐานะที่ทำข่าวใกล้ชิดกับ จอมพล ป.มานาน รู้ว่าที่ จอมพล ป. โกรธมากสั่งให้ฟ้อง ก็เพราะไปจี้จุดอ่อนเข้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ชักว่าจี้ตรงไหน นายสนิทก็บอกว่า ตรงเสียคนเอาตอนแก่จะเข้าโลง เพราะท่านไม่อยากแก่ เลยสั่งฟ้องเปะปะ

เมื่อสอบพยานทั้งสองฝ่ายจบแล้ว ศาลก็นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 มิถุนายน 2500 และตัดสินให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน ปรับ 500 บาท ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ยกโทษจำคุก คงปรับอย่างเดียว

ในที่สุดของคดีที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตกเป็นจำเลยฐานหมิ่นตัวแทนรัฐต่างประเทศว่าเป็นกุ๊ยมะริกัน ก็สรุปลงที่ถูกปรับไป 500 บาท


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 168  เมื่อ 16 ส.ค. 10, 08:29


จำได้ว่าเป็นภาพของท่านนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศสารขัณฑ์ และท่านเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา มาร์ลอน แบรนโด  ในเรื่่อง  Ugly American ภาพยนตร์ใน พ.ศ. ๒๕๐๖

 ยิงฟันยิ้ม





บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 169  เมื่อ 16 ส.ค. 10, 09:47

คุณเพ็ญชมพูเข้ามาพาไปซอยแยก     ก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย

The Ugly American เปิดรอบปฐมฤกษ์ในประเทศไทย ที่โรงภาพยนตร์เฉลิมไทย    เสียดายว่าคนไทยสมัยนั้นไม่ชอบดูหนังการเมือง ชอบดูมิตรเพชรามากกว่า   เรื่องเลยทำรายได้ไม่ดีนัก    เรื่องนี้ไปถ่ายทำที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ  ใช้คณะเป็นทำเนียบรัฐบาล
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต้องไปพักที่ฮอลลีวู้ดชั่วขณะหนึ่งเพื่อถ่ายหนังเรื่องนี้  ท่านเลยเขียนเรื่อง "เมืองมายา" มาได้เล่มหนึ่ง   
เคยดูเรื่องนี้มาฉายทางทรูวิชั่น   รูัสึกว่ามันเครียดแบบหนังการเมือง  ในเรื่องพูดถึงถนนมิตรภาพซึ่งในหนังเรียกว่า Freedom Road  จำได้แค่นั้น



บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 170  เมื่อ 16 ส.ค. 10, 10:21

พาคุณเทาชมพูเดินเข้าไปในซอยอีกนิด

คำนำในหนังสือ "เมืองมายา"

หนังสือรื่องนี้ส่วนมากเขียนขึ้นจากประสบการณ์อันมิได้คาดฝันซึ่งเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้เขียน ที่ว่ามิได้คาดฝันนั้นเป็นความจริงเพราะผู้เขียนเรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นคนชอบดูหนังอย่างยิ่งคนหนึ่งแต่ก็มิเคยนึกฝันว่าตนเองจะมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งของฮอลิวูดอย่างใกล้ชิด เมื่อภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ได้ยกกองเข้ามาถ่ายทำในเมืองไทยนั้นบังเอิญผู้เขียนไปอยู่เสียญี่ปุ่น จึงมิได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรู้จักมักคุ้นกับคณะที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เลย แต่ต่อมาวันหนึ่งหลังจากที่พวกเราทำหนังจากฮอลีวูดได้กลับไปจากเมืองไทยนานแล้ว ผู้เขียนก็ได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งจากนายยอร์ช อิงลันด์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ขอให้ผู้เขียนเดินทางไปยังเมืองฮอลลีวูด เพื่อทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางเทคนิคของภาพยนตร์เรื่องนั้น โทรเลขฉบับนั้นได้บอกเงื่อนไขแห่งการว่าจ้างเสร็จ ว่าจะได้ค่าจ้างสัปดาห์ละเท่าไหร่ จะต้องถึงฮอลลีวูดเมื่อไร

เมื่อได้รับโทรเลขฉบับนั้นผู้เขียนก็ยังงง ๆ อยู่ ทำตัวไม่ถูกเมื่อทำอะไรไม่ถูกก็ต้องไปถามคนอื่น ผู้เขียนได้ไปถามชาวอเมริกันที่รู้จักเป็นเพื่อนฝูงกันคนหนึ่งว่าจะทำอย่างไรดี เขาก็บอกว่าสิ่งแรกที่ต้องทำกับฮอลลีวูดก็คือขึ้นค่าอีกสี่หรือห้าเท่า ผู้เขียนก็ส่งโทรเลขตอบไปเรียกค่าตัวเพิ่มขึ้นอีกเท่าเดียว แล้วก็ทำใจว่าเขาคงไม่จ้าง แต่แล้วก็ไดรับโทรเลขตอบมาว่าตกลงตามนั้น เป็นอันว่าได้เริ่มรู้จักกับฮอลลีวูดตั้งแต่โทรเลขฉบับนั้น ถึงแม้ว่าเมื่อไปฮอลลีวูดจะไปในฐานะอื่นเพื่อทำหน้าที่อย่างอื่นผู้เขียนมิได้ลืมตัวว่าเป็นคนเขียนหนังสือ เพราะฉะนั้นเมื่อไปถึงฮอลลีวูดด้วยตาคนเขียนหนังสือ และฟังสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ยินด้วยหูของคนเขียนหนังสือเมื่อได้เห็นและได้ยินแล้วก็จดจำไว้ด้วยใจของคนเขียนหนังสือ ไม่ว่าจะได้ พบเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรในฮอลลีวูดก็นึกอยู่ในใจตลอดเวลาว่าจะเอาเขียนหนังสือให้คนไทยด้วยกันอ่าน ผลที่เกิดขึ้นก็คือหนังสือเล่มนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าเป็นรูปร่างขึ้นมาช้าไปบ้างก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย ผู้เขียนได้พบมิตรที่ดีหลายคนในฮอลลีวูด ซึ่งได้ให้ความรู้และความเห็นเกี่ยวกับเมืองฮอลลีวูดไว้มาก ความรู้ความเห็นที่ได้รับมานั้นก็ได้เอามาใส่ไว้ในหนังสือตามที่เห็นสมควร จึงต้องขอขอบใจไว้ในที่นี้

คึกฤทธิ์ ปราโมช
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 171  เมื่อ 16 ส.ค. 10, 10:36

อ้างถึง
เมื่อภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ได้ยกกองเข้ามาถ่ายทำในเมืองไทยนั้นบังเอิญผู้เขียนไปอยู่เสียญี่ปุ่น จึงมิได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรู้จักมักคุ้นกับคณะที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เลย แต่ต่อมาวันหนึ่งหลังจากที่พวกเราทำหนังจากฮอลีวูดได้กลับไปจากเมืองไทยนานแล้ว ผู้เขียนก็ได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งจากนายยอร์ช อิงลันด์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ขอให้ผู้เขียนเดินทางไปยังเมืองฮอลลีวูด เพื่อทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางเทคนิคของภาพยนตร์เรื่องนั้น

เอาเข้าจริง  ท่านก็ไม่ได้ไปเป็นที่ปรึกษาอย่างเดียว  แต่ได้ไปเล่นเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองสารขัณฑ์เลยทีเดียว   ติดอันดับดารานำของหนังเรื่องนี้
มีประวัติอยู่ใน www.imdb.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์รวบรวมหนังทั้งหลายแหล่ของฮอลลีวู้ด  บอกประวัติและผลงานของบุคลากรทั้งหลายตั้งแต่ดารา ผู้กำกับ ผู้เขียนบทฯลฯ
ขอลอกมาให้อ่านกันค่ะ

Biography for   Kukrit Pramoj

Date of Birth                     20 April 1911, Singburi, Thailand
Date of Death                    9 October 1995, Bangkok, Thailand (heart disease and diabetes)


Mini Biography
Kukrit Pramoj was the son of a Thai prince. He attended Oxford University in England and became active in Thai politics after World War II. Pramoj worked as a journalist and banker while military juntas ruled Thailand over the next several decades. He starred in the 1963 film "The Ugly American" as the prime minister of a fictional Asian country. A decade later he became prime minister of Thailand, serving in that office from March of 1975 until April of 1976. Pramoj's brother, Seni, also held the position of prime minister several times in the 1970s. Kukrit remained a leading figure in Thai politics until his death in October of 1995.

ภาพม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช  ถ่ายโดยรงค์ วงษ์สวรรค์

                                     
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 172  เมื่อ 16 ส.ค. 10, 13:49

ขออยู่ในซอยม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อีกหน่อย  จนกว่าท่านอาจารย์ประจำชั้นจะมาทวงกระทู้คืน

http://www.siamrath.co.th/?q=node/37819

        60 ปีแห่งความทรงจำ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ “อั๊กลี่ อเมริกัน”
        ได้รับโจทย์จากทาง บก. ว่า “สยามรัฐ” ฉบับครบรอบ 60 ปี ในวันที่ 25 มิถุนายน 2553 นี้ ให้ทุกหน้าทำสกู๊ปโดยมีคอนเซ็ปต์เดียวกันคือ เรื่องราวสำคัญในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา
     สำหรับหน้า “บันเทิง”  ประเด็นแรกที่นึกถึง อยู่ในความทรงจำเสมอ และสมควรได้รับการจดจำต่อไปอย่างมิควรลืมเลือนก็คือ

    การที่ครั้งหนึ่ง พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้มีโอกาสร่วมแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง “อั๊กลี่ อเมริกัน”  Ugly American ภาพยนตร์ในปี 1963 ผลงานกำกับของ George England ที่สร้างความฮือฮาในระดับ ปรากฏการณ์ที่ต้องจดจำของประเทศไทย

        “อั๊กลี่ อเมริกัน”  สร้างจากหนังสือชื่อ The Ugly American ที่เขียนโดย 2 นักเขียน William J. Ledere and Eugene Burdick ฉบับภาษาไทยแปลโดย  รัตนะ ยาวะประภาษ และ ถาวร ชนะภัย  พิมพ์ครั้งแรกในปี   พ.ศ.2501 โดย สุธรรม โพธแพทย์

        นักเขียนสองท่านนี้ ได้ร่วมกันเขียนหนังสือเอาไว้สองเรื่อง  เรื่องแรกคือ The Ugly American (1958  /2501)   และ  Sarkhan (1965/2508)   มีบันทึกว่า ทั้งสองประพันธ์งานเขียนชิ้นนี้โดยที่ทั้งสองอยู่ห่างกันเป็นพันๆไมล์ ติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์ทางไกล และ จานเสียงที่บันทึกคำพูด และกลายเป็นนวนิยายที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกมาช้านาน

         หนังสือ The Ugly American มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการปฏิบัติของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในประเทศในย่านเอเชียอาคเนย์  โดยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นประเทศสมมุติที่ใช้ชื่อว่า  Sarkhan  หรือ “สารขัน”  บางสื่อเขียนว่า “สารขัณฑ์”   ที่สมมุติว่า เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่าง พม่า กับ ไทย ปกครองโดยระบบกษัตริย์ ภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับกับที่ราบ  การเดินทางในประเทศใช้แม่น้ำเป็นหลัก ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อถือโชคลาง ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และ การทำนายทายทัก

        โดยในคำนำ ผู้เขียน ระบุไว้ว่า เรื่องทั้งหมดเป็นนิยายที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนอเมริกันที่กระจัดกระจายกันอยู่ในประเทศต่างๆ ได้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับคนท้องถิ่น โดยสมมติชื่อประเทศ ชื่อสถานที่ และ ชื่อบุคคลทั้งหมดขึ้นมาทั้งสิ้น  ทั้งหมดไม่ได้มีปรากฏอยู่จริง และสมมติเหตุกาณณ์ต่างๆในหลายประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ ขึ้นมาเป็นข้อเสนอให้คนอเมริกันได้นำไปคิดและปรับปรุงตัว

         ด้วยเหตุที่ผู้สร้างภาพยนตร์เลือกใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำฉาก เมืองสารขัน ทั้งเนื้อหาที่พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับการเมือง  ฉะนั้นในเวลาต่อมา เมื่อนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนของไทย เมื่อต้องการจะกล่าวถึงประเทศไทยในเชิงประชดประชันจึงมักจะเลี่ยงไม่เอ่ยชื่อตรงๆ ด้วยการใช้เลี่ยงเป็น ประเทศสารขัน ที่กลายเป็น  ชื่อฮิตในช่วงนั้น

         ภาพยนตร์  Ugly American นำแสดงโดย  มาร์ลอน แบรนโด  ซูเปอร์สตาร์สุดฮิตในยุคนั้น  โดยมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับเกียรติให้ร่วมแสดงด้วย ในบทบาท  นายกรัฐมนตรีของประเทศสารขัน  (ก่อนที่ท่านจะดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีประเทศไทย)  ซึ่งเป็นข่าวดังในช่วงนั้น  โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้เขียนถึงเรื่องราวประสบการณ์เมื่อครั้งท่านเดินทางไปให้คำปรึกษาด้านเทคนิค และ ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ เอาไว้ในหนังสือชื่อ “เมืองมายา”

         The Ugly American  และ  Ugly American  ล้วนเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จ ได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง  ทั้งในฐานะของ  หนังสือนวนิยาย และ ภาพยนตร์  ที่พูดถึงการเมืองอเมริกัน  คำว่า “Ugly American”  และคำว่า  “สารขัน”  เคยเป็นคำฮิตในช่วงนั้น

   ในการเป็น นักคิด นักเขียน นักแสดง นักการเมือง นักพูด  พลตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับการประกาศยกย่องจาก องค์กรยูเนสโก ให้เป็น  บุคคลสำคัญของโลก ถึง 4 สาขา คือ ด้านการรณรงค์รักษาศิลปวัฒนธรรมไทย ด้านการศึกษา ด้านสังคมศาสตร์ และ สื่อสารมวลชน  ในวาระที่ท่านครบรอบอายุ 100 ปี ใน ปีพ.ศ. 2554 ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโลกที่จะได้รับการยกย่องมากมายหลายด้านขนาดนี้   

           60 ปีแห่งความทรงจำ ขอรำลึกถึง พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักปราชญ์ นักการเมือง และ ศิลปิน คนเก่งที่โลกต้องจดจำ ผู้ให้กำเนิด หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ด้วยหัวใจแห่งชื่นชมและศรัทธาอย่างแท้จริง.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 173  เมื่อ 16 ส.ค. 10, 13:58

ตอนหนึ่ง จาก "เมืองมายา"


“สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรียม
ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา
ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภา
แสงคงคาก็พราวราวกับพลอย”

ที่คัดเอามาลงไว้บนนี้เป็นภาษาของกวี  จากนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่  และเป็นคำพูดซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดและความรู้สึกในภาพธรรมชาติ  โดยใช้การเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นทำให้ผู้ที่ได้อ่านได้ยินแลเห็นภาพนั้นได้ชัดแจ้ง
ผู้สร้างภาพยนตร์  ก็มีภาษาของตนโดยเฉพาะ  ซึ่งจะต้องใช้เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนให้ปรากฎแก่ผู้ดู  เช่นเดียวกับกวีหรือศิลปินอื่นๆ แต่ภาษาของผู้สร้างภาพยนตร์นั้น  เป็นภาษาแสดงออกด้วยภาพมิใช่ด้วยถ้อยคำ  แต่ถึงอย่างนั้น  ภาษาของภาพยนตร์ก็ยังสามารถเปรียบเทียบ  อุปมาอุปมัย  เพื่อให้คนดูได้เข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไม่น้อยไปกว่าภาษาแห่งกวี  หรือภาษาแห่งศิลปินอื่น  ตัวอย่างในเรื่องนี้จะหาดูได้เสมอในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เช่น  ในหนังเรื่องหนึ่งจะปรากฎภาพผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งซุบซิบนินทาคนอื่นกันอยู่  จากนั้นภาพผู้หญิงหลายคนนั้นก็จะละลายออกไปเป็นภาพแม่ไก่หลายตัว  แสดงให้เห็นด้วยการเปรียบเทียบว่า  เสียงนินทาของผู้หญิงนั้นก็เหมือนกับเสียงไก่ร้องหาสาระอะไรมิได้  หรือมิฉะนั้น  เราก็ได้เคยเห็นภาพกำปั้นซึ่งทุบลงไปบนแผนที่ของประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง  คนดูก็เข้าใจจากภาพนี้ว่าข้าศึกได้รุกรานเข้าไปยึดเอาประเทศนั้นไว้ด้วยกำลังทหาร  หรือในภาพยนตร์สงครามอีกเรื่องหนึ่ง  ผู้ดูได้เห็นผู้หญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง  นำเอากาแฟใส่กาออกมาเลี้ยงทหารอเมริกัน  ในตอนต่อไป  คนดูจะได้แลเห็นภาพหมู่บ้านนั้นถูกระเบิดทำลาย  ฉากต่อไปเป็นฉากภายในครัวซึ่งถูกระเบิดด้วย  กาแฟซึ่งผู้หญิงฝรั่งเศสคนนั้นถืออยู่เมื่อสักครู่นี้  ตกลงมาแตกอยู่บนพื้นห้อง  คนดูก็เข้าใจว่า  หญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนนั้นได้ถูกระเบิดตายเสียแล้ว
ภาษาที่ไม่มีคำพูด  แต่แสดงด้วยภาพนี้เป็นภาษาใหม่  แต่ก็เป็นภาษาที่มีพลังอำนาจมากเช่นเดียวกับภาษาที่ใช้คำพูด
ในปัจจุบันนี้  ปรากฎว่าเด็กและคนหนุ่มสาวสนใจภาษาภาพนี้มากยิ่งขึ้นทุกวัน  จนสามารถกล่าวได้ว่าในสัปดาห์หนึ่ง  เด็กๆ และคนหนุ่มสาวใช้เวลาหลายชั่วโมงในการดูหรือฟังภาษานี้.....
บันทึกการเข้า
sirinawadee
ชมพูพาน
***
ตอบ: 101


ความคิดเห็นที่ 174  เมื่อ 16 ส.ค. 10, 21:11

เรียนอาจารย์ NAVARAT

นักเรียนอ่านอยู่ในกรุงเทพนี่ละคะ แต่บางวันเข้ามาดึกๆเท่านั้นเอง

อ่านสนุกจนไม่อยากให้จบกระทู้เลย ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านอีกครั้งค่ะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 175  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 07:27

^
มาทันเชคชื่อทุกที เอาคะแนนไปเพิ่ม 1 คะแนน

...มาต่อกันในคืนวันที่กลับมาจากทำเนียบหลังการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษา เป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนานยากที่จอมพลป.พิบูลสงครามจะข่มตาให้หลับลงได้ แม้ร่างกายสุดจะอ่อนเพลียอยากหลับใจจะขาด แต่จิตยังตื่นโพลงอยู่ เคลิ้มลงทีไหร่เสียงซา-หลิด ซา-หลิดก็หลอนหลอกก้องอยู่ภายในกระโหลกศรีษะ วันต่อมา เมื่อเผ่ามาแสดงความไม่พอใจประชดประชันท่านต่อหน้าสฤษดิ์ท่ามกลางผู้คนภายนอก ประหนึ่งบอกใบ้ดังๆว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่สองดังแต่ก่อน ท่านจึงปลงใจคิดตก อะไรมันจะเป็นไป ก็ให้มันเป็นกัน

แต่ก่อนที่จะประกาศเสี่ยงเป็นเสียงตายฉบับนั้นจะออกมา จอมพลป.ได้เรียกประชุมพรรคเสรีมนังคศิลาเป็นการด่วน ท่านต้องการจะขอฟังเสียงของลูกพรรค เริ่มต้นก็พูดเปิดใจว่า ท่านจะขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเพียงครั้งเดียว สัก5ปีเท่านั้น เพราะเป็นห่วงอภิมหาโปรเจคที่อยากจะทำให้สำเร็จตามที่คาดหวังไว้ ถ้าผ่าน5ปีไปแล้ว ทำได้ไม่ได้ เสร็จไม่เสร็จ ก็จะขอเปิดหมวกอำลา แขวนนวมไม่ขึ้นชก ทานโทษ ไม่ขึ้นเวทีการเมืองอีก พวกท่านทั้งหลายจะว่าอย่างไร
บรรดาอัศวพักตร์ที่ฝึกไว้ก็รู้หน้าที่ รีบยืนขึ้นปรบมือนำ ทุกคนในห้องนึกอะไรไม่ออกก็ตบมือตาม ผู้บรรยายข้างเวทีบอกว่าตบกันนานมากเหมือนตอนที่วงคอนเสริตท์ฝรั่งเล่นจบแล้วคอนดั๊กเตอร์หันมาโค้ง กว่าจะนั่งลงกันได้ก็มือระบมไปหมด

จอมพลสฤษดิ์ที่อยู่ในห้องประชุมด้วยก็คงจะรู้สึกอะไรบางอย่างได้

บ่ายวันนั้น จอมพลป.ก็เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทุกเหล่าทัพ และมีเผ่าที่หน้าบานเพราะหายงอนแล้ว เนื่องจากจอมพลป.ได้เรียกไปเผยไต๋ให้ฟังล่วงหน้าเข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนจอมพลสฤษดิ์ก็ราวกับเป็นนกรู้ ให้คนมายื่นใบลาป่วยในชั่วโมงสุดท้าย

ในฐานะนายกรัฐมนตรี จอมพลป.ได้แจ้งกับที่ประชุมว่า ได้รับรายงานจากจอมพลสฤษดิ์ว่าสถานการณ์กลับคืนสู่ปกติเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ บรา บรา บรา บรา ดังนั้น ตนจึงขอเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายทหาร ให้ทุกฝ่ายกลับเข้ากรมกองตามเดิม รัฐบาลจะยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน อนุญาตให้มีการชุมนุมทางการเมืองได้ต่อไป และจะจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย บรา บรา บรา บรา…เลิกประชุม

คืนนั้น วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยก็ได้ออกอากาศคำสั่งสำนักงานคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายทหาร เมื่อโฆษกอ่านประกาศจบ เสียงที่ห้าว ทุ้ม เต็มไปด้วยพลังอำนาจไม่มีใครเหมือนก็ติดตามมา เป็นโทนเสียงและจังหวะจะโคนที่กระตุ้นโสตประสาทผู้ฟัง ชนิดที่บางคนขนลุกไม่รู้ตัว ผมโตทันพอจะได้ฟังสุ้มเสียงของจอมพลสฤษดิ์เวลาปราศัยออกวิทยุหรือโทรทัศน์ จำได้ว่าเสียงดุกว่าผู้บังคับการโรงเรียนเก่าของผมเสียอีก คนนั้นน่ะเพียงแค่เรียกชื่อให้เข้าไปใกล้ๆรัศมีมือตบ เด็กก็เข่าอ่อนแล้ว  แต่นี่จอมพลสฤษดิ์ เวลาพูด ทุกคนจะเงียบกริบ โดยเฉพาะเมื่ออ่านคำสั่งประหารชีวิตคนโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา17 ..เอื๊อกก..อย่าให้เซด

ท่านลองอ่านข้างล่างนี้แล้วสร้างจินตนาการภาพและเสียงดู



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 176  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 07:38

คำปราศัยข้างต้นมิได้โดนใจเฉพาะพวกทหารและตำรวจ ประชาชนก็มีภาพพจน์ที่ดีต่อการทำหน้าที่ของผู้รักษาความสงบด้วย หลังจากนั้นคืนนั้น คำว่า “พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ” ก็กลายเป็นศัพท์ฮิตติดวงการขึ้นมาทันที ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่จะไม่โค๊ดคำนี้ในหน้ากระดาษของตน

น่าแปลกนะครับ การเดินขบวนที่ปุบปับก็เกิด และขยายตัวจนกลายเป็นมหาชนเรือนหมื่น(s) ทำท่าจะกลายเป็นม๊อบแบบเอาไว้ไม่อยู่ แต่พอโดนจอมพลสฤษฏ์สะกดทัพเข้าทีเดียว ยอมเลิกลาแบบว่า ยอมให้จอมพลป.จะทำอะไรต่อไปก็เชิญ นี่จะตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสกปรกกันแล้ว และยังย่ามใจไม่กลัวใครจะก่อม็อบอีก ขนาดประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินไปเฉยๆ ยอมให้เปิดไฮปาร์คได้ตามปกติ อะไรจะมั่นใจกันขนาดน้าน

วันแรกที่สนามหลวงเปิดให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ นายอัมพร อำพันวงศ์ดาวไฮปาร์ครุ่นเดอะและมีดีกรีเป็นหัวหน้า“พรรคปราบคอร์รัปชั่น” เอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือชอบแต่งสูตรผูกเทคไทหะรูหะราแม้จะมายืนกลางแดดร้อนตับละลาย และต้องแบกจอบมาด้วยทุกครั้ง คงจะเอามาประชดด่าพวกกินจอบกินเสียมมั้ง ก็สมัยโน้นเขาเรียกพวกคอร์รับชั่นว่าพวกกินจอบกินเสียมไม่เหมือนสมัยนี้ที่ใช้วิธีไฮเทคกว่าแยะ วันนั้นนายอัมพรมาถึงเวทีเป็นคนแรก แต่ก็มีคนมารอฟังร่วมพันคนแล้ว นายอำพันฟันจอบฉึกลงบนดินต่อหน้าฝูงชนพร้อมทั้งประกาศว่า ผมขอเสนอญัตติต่อสภาไฮปาร์คของเรา ณ บัดนี้ ขอให้เรามีมติขับผู้ที่มีรายนามต่อไปนี้ออกจากตำแหน่ง  ถ้าท่านเห็นชอบก็ขอให้เปล่งเสียงออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ชัดด้วย

พลเอกมังกร พรหมโยธี….. เฮฮฮฮฮ

พลตรีประมาณ อดิเรกสาร…… เฮฮฮฮฮฮฮฮ

พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์….. เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

และผมจะขอตั้งชื่ออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนนี้ใหม่ ในฐานะที่ออกอากาศแต่ข่าวบิดเบือน เป็นกระบอกเสียงรับใช้รัฐบาล โดยไม่ได้เป็นเสียงของประชาชนเลย ชื่อใหม่นี้ ชื่อว่า ไอ้กร๊วก ถ้าที่ประชุมนี้เห็นด้วย ขอให้ทุกคนเปล่งเสียงคำนี้ขึ้นพร้อมๆกันเพื่อแสดงประชามติด้วย

นึง….ส่อง….ซั้ม…. ไ  อ้ ก  ร๊  ว ก เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อธิบดีกรมนี้ก็ถูกหนังสือพิมพ์เรียกว่านายกร๊วก กรมประชาสัมพันธ์ถูกเรียกว่ากรมกร๊วก แม้อธิบดีท่านนั้นจะพ้นตำแหน่งไปแล้ว กรมประชาสัมพันธ์ก็ยังกร๊วกอยู่ทุกยุคทุกสมัยสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ภาพพจน์ของการเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลก็มัวหมองลง เมื่อนายทุนของสยามนิกรถูกใครไม่ทราบเรียกไปบีบ แล้วจึงมาบีบต่อในสำนักพิมพ์ จนถึงตัวคนที่เป็นเป้าหมายแท้จริงของการบีบ ซึ่งได้แก่นายสุวิช เผดิมชิต ประธานนักศึกษาที่บังอาจไปทำซ่าจนหยดสุดท้ายกับท่านนายกรัฐมนตรีในคืนก่อนโน้น สุวิชถูกเรียกไปลดเงินเดือน เพราะเป็นนักข่าวแต่ไม่ทำหน้าที่ตามข้อกำหนด เบียดบังเอาเวลาไปทำกิจกรรมนอกหลักสูตรของนักศึกษา ใช้ไม่ได้ สุวิชโดนเช่นนั้นเข้าก็ประกาศลาออก และมีคนดังในสนามนิกรยกทีมลาออกด้วยเพื่อเป็นการร่วมประท้วงด้วยคือ นายประจวบ อัมพเศวต  นายสำราญ เทศสวัสดิ์  นายทวีป วรดิลก  และนายทองใบ ทองเปาด์เจ้าของรางวัลแมกไซไซที่ยังแข็งแรงอยู่จนทุกวันนี้ และยังมีบทบาทเช่นเดิมอย่างไม่รู้จักเหน็ดหน่าย

ผมเดาว่า น่าจะมีอะไรทำนองนี้กับทางพวกแกนนำนิสิตจุฬาด้วย อย่างน้อยๆก็คงโดนคณบดีเรียกเข้าไปคุย เธออยากจะเรียนให้จบปีนี้หรืออยากจะออกไปทำกิจกรรมการเมือง ชีวิตของเธอๆมีสิทธ์เลือกนะ อาจารย์ไม่ได้บังคับหรอกเพราะเธอโตแล้ว ที่เรียกมาคุยเพราะว่าปรารถนาดีเท่านั้น ก็สิบกว่าปีหลังจากยุคจอมพลป.ผมยังเคยถูกเรียกไปพบท่านคณบดีด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ส่วนใครจะเชื่อฟังท่านหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอให้เชื่อไอ้เรืองเถิดว่าตำรวจลับคงเข้ามาเพ่นพล่านเต็มมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ยังมีนักหนังสือพิมพ์อีกคนหนึ่งถูกตำรวจจับในข้อหาหมิ่นประมาททูตมะกัน คือบ.ก.สยามรัฐ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท ใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องของท่านในกระทู้แล้วๆ โปรดย้อนไปอ่านเสียโดยดีนะครับ เพราะเดี๋ยวข้อสอบจะออกตรงนั้น


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 177  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 08:48

แผนปฏิบัติได้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว พล.อ.พระประจนปัจจนึกประธานสภาผู้แทนราษฎรผู้มีอำนาจนำความขึ้นกราบบังคมทูล เสนอชื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีให้ทรงลงพระปรมาธิไธยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็ได้รีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และออกจากวังมาก่อนเที่ยง แต่ได้ไปสีซออู้อยู่ที่ไหนไม่ทราบ กะกลับมาถึงบ้านให้ค่ำหน่อย นึกว่าจะไม่มีนักข่าวแล้ว ไหนได้กองทัพนักข่าวมาเฝ้ารออยู่พร้อม

คุณพระประจนปัจจนึกท่านเป็นคนละคนกับเจ้าคุณปัจจนึกในพลนิกรกิมหงวนของป.อินทปาลิต ผมเอารูปข้างล่างมายืนยันว่าท่านหล่อกว่ากันมาก นักข่าวชอบซี้ซั้วเอาท่านไปสลับกับตัวตลกดังกล่าวเรื่อย คืนนั้นท่านตอบนักข่าวว่า จริง ท่านไปเข้าเฝ้ามาเพื่อให้ทรงลงพระปรมาธิไธยแต่งตั้งจอมพลป.ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และจะประกาศทางวิทยุกระจายในคืนวันนี้แหละ ขอให้รอฟังกันเอง

นักข่าวถามถึงเหตุผล ท่านก็บอกว่าอ้าว อาศัยผลการเลือกตั้งตามหลักฐานของกระทรวงมหาดไทยไง ก็พรรคเสรีมนังคศิลาเขาได้รับเลือกมาเกินกึ่งหนึ่งของสภา ใครจะรวมกันยังไงก็ไม่เท่าเขา หัวหน้าพรรคก็ต้องได้เป็นนายก อังกฤษเขาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

แล้วทำไมต้องทำแบบว่ารวบรัด ในเมื่อผลการเลือกตั้งประชาชนไม่ยอมรับเพราะว่ามันสกปรก นักข่าวยิงคำถามต่อ ท่านก็ยิ้มยอมรับว่ารวบรัดจริง เพราะประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาลบริหาร ตามรัฐธรรมนูญใหม่เราเล่นการเมืองกันในระบบพรรคแล้ว ก็ไม่มีระเบียบว่าจะต้องมีการหยั่งเลือกนายกกันในสภาอย่างที่ผ่านๆมา พรรคไหนคะแนนเป็นที่หนึ่ง หัวหน้าพรรคก็ต้องเป็นนายกก่อน แล้วต่อมาจะคุมเสียงข้างมากได้หรือไม่ก็ค่อยว่ากันอีกที ….จบ

เป็นอันว่าจอมพลป.พิบูลสงครามได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งสมใจหมาย และสามารถคุยได้ด้วยว่าป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีข้อครหาว่าเป็นการเลือกตั้งที่ทุจริตผิดจริยธรรมมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ตาม

ผมไม่อยากจะพูดเล้ย มันมีสัจจธรรมข้อหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ก็ว่าอย่างนั้น อะไรที่มันขึ้นได้ก็ตกได้ ไอ้ที่ตั้งได้ มันก็ล้มได้
ท่านจอมพลป.จะเป็นผู้พิสูจน์ให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายเห็นเป็นอุทาหรณ์


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 178  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 09:27


ภาพนี้น่าจะเป็น จิตร ภูมิศักดิ์

ข้างล่างเป็นภาพทองใบ ทองเปาด์ ถ่ายภาพร่วมกับเพื่อนร่วมสถาบันลาดยาว รวมทั้ง จิตร ภูมิศักดิ์ ด้วย



 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 179  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 10:18

นายทองใบสมัยจอมพลป.อยู่นอกคุก สมัยจอมพลสฤษดิ์อยู่ในคุก ออกมาดีกรียิ่งแรง


หนังสือพิมพ์ได้พยายามไป“แซะ”ทางจอมพลสฤษดิ์เพื่อหาข่าวไปขายต่อตามอาชีพว่าท่านจะร่วมในรัฐบาลใหม่ แค่ไหนอย่างไร

ผมมีจดหมายถึงท่านจอมพลป.ไปแล้วว่าผมมีเจตนารมณ์แน่วแน่ว่าผมไม่สนับสนุน ไม่ร่วมงานกับรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่ต้องการอย่างเด็ดขาดไม่ว่ากรณีย์ใดๆ  และไม่ขอยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย ประโยคหลังนี้ท่านต้องออกตัวไว้หน่อย เกิดรายชื่อค.ร.ม.ออกมาไม่มีชื่อจอมพลสฤษด์ ท่านจะได้ไม่หน้าแตกดังโพล๊ะ

เพราะการสัมภาษณ์ครั้งนี้เองที่ทำให้จอมพลป.ต้องหลบไปอยู่เซฟเฮาส์ชั่วคราว ไม่ให้นักข่าวรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหนจะได้ไม่ต้องตอบคำถามซ้ำซากเรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรี ส่วนท่านผู้หญิงที่บ้านจะทราบว่าท่านหลบไปอยู่บ้านไหนหรือไม่ ท่านจอมพลคงจำได้แม้จะนานมาแล้วว่า วีรสตรีตัวเล็กๆนี้แหละที่เปิดแผลให้ท่านคราวกลับจากตระเวนดูงานทางภาคเหนือ นี่แม้แต่ทหารฝ่ายตรงข้ามยังไม่เคยเรียกเลือดจากท่านได้แม้แต่แค่ซิบๆนะท่านผู้อ่าน ครั้งกระนั้นท่านถึงขนาดต้องงอน ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อขู่ศรีภรรยา จะได้ตกจากการเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศไปพร้อมๆกัน ซึ่งท่านรู้จุดอ่อนนี้ดีว่าท่านผู้หญิงกลัวมาก แต่คราวนี้ ยังไงๆท่านก็ต้องระมัดระวังยิ่งขึ้นเนื่องจากเพิ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งใหม่มาหมาดๆ จะเล่นไม้เดิมประกาศลาออกเดี๋ยวลูกน้องมันจัดการให้ไปแล้วไปลับ จะเสียแผน จึงได้แต่กำชับผู้ใกล้ชิดว่าอย่าให้ใครมันรู้ไปเชียวนะว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่ เราก็เลยไม่รู้จนบัดนี้ไง

พอครบ10วัน ค.ร.ม.ใหม่ก็คลอดออกมาชมโลก ผมจะเสนอตามสมควรนะครับ ขี้เกียจลอก
 
จอมพลป.นายก รองนายก แม่ทัพเรือและวัฒนธรรม  แม่ทัพอากาศ และสาธารณะสุข
สฤษดิ์ กลาโหม ถนอมช่วยกลาโหม
เผ่า มหาดไทย ประภาสช่วยมหาดไทย
กรมหมื่นนราธิป ต่างประทศ  ลูกเขยจอมพล ช่วยต่างประเทศ
ผิน เกษตร ละม้าย คนเอารถถังไปถล่มทำเนียบนายปรีดี ช่วยเกษตร
ประมาณ อุตสาหกรรม
ฯลฯ มีหน้าเก่าๆหลุดไปไม่กี่คน ประชาชนต่างเหม็นหน้าคณะรัฐมนตรีต่างตอบแทนซึ่งกันและกันของคณะรัฐประหาร 2491 อย่างเต็มทน แต่วันแถลงนโยบาย แม้ประชาธิปัตย์จะช่วยกันประนามอย่างไรก็ตาม ท่านนายกรัฐมนตรีก็ให้ระบายเต็มที่ แถมผูกขาดการลุกขึ้นโต้ตอบเพียงคนเดียว คนอื่นไม่ต้องเปลืองน้ำลาย  พอลงคะแนนเสียงจะรับรองหรือไม่รับรอง รัฐบาลก็ชนะได้รับความไว้วางใจขาดลอยแบบไม่เห็นฝุ่นถึง 144 ต่อ 6 คะแนน

สฤษดิ์และเผ่าก็ได้มานั่งคู่กันอีก ท่านผู้อ่านอย่าได้กระพริบตานะครับ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 27
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.097 วินาที กับ 20 คำสั่ง