เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 27
  พิมพ์  
อ่าน: 160185 จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 120  เมื่อ 12 ส.ค. 10, 09:29

ความเคลื่อนไหวอย่างผิดสังเกตุดังกล่าวมิได้รอดพ้นจากสายข่าวของซีไอเอไปได้ การคิดกบฏของจอมพลป.ต่ออเมริกาในครั้งนี้ถือว่าเป็นโทษอุฉกรรจ์ เอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงเกิดขึ้น และหลังจากนั้นอเมริกาก็ใช้อิทธิพลบีบให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่กำลังชื่นมื่นกลับตึงเครียดขึ้นมาอีก เพราะจอมพลสฤษดิ์ดำเนินนโยบายต่อต้านและปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง ผู้นำคณะคนไทยไปเยือนจีนที่ผมได้เอ่ยข้างต้น ก็ถูกจับกุมขังคุกในข้อหาฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ มีประกาศคณะปฏิวัติซึ่งถือว่าเป็นกฏหมาย ห้ามการค้าขายติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยเด็ดขาด และห้ามคนไทยเดินทางไปเมืองจีนอีกด้วย ต่อมารัฐบาลไทยก็ถลำลึกลงไปอีกด้วยการส่งทหารไปช่วยรบในเวียตนาม ซึ่งในที่สุดก็นำมาถึงจุดที่ต้องยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพในเมืองไทยหลายแห่ง เพื่อความสะดวกในการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเวียดนามและลาว ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนสนับสนุนเวียดนามเหนือและลาวฝ่ายซ้ายเต็มที่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ทวีความช่วยเหลือแก่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ผ่าน ขบวนการไทยอิสระ (Thai Independent Movement) ซึ่งจัดตั้งโดยนายมงคล ณ นคร และแนวร่วมกู้ชาติไทย (Thai United Patriotic Front) จัดตั้งขึ้นโดยพ.อ. โพยม จุลานนท์ ที่กรุงปักกิ่ง  ซึ่งตอนนั้นจีนประกาศว่าจะเปิดสงครามกองโจรขึ้นต่อต้านรัฐบาลไทยภายใน 1 ปีหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ

การปะทะกันด้วยกำลังอาวุธระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับฝ่ายรัฐบาลไทยหลังจากนั้น ยืดยาวมาหลายสมัยนายกรัฐมนตรี ทำให้ไทยมองจีนด้วยความเป็นศัตรู ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ทวีความตึงเครียดมาก

อย่างไรก็ดี ความแข็งกร้าวของสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อค่ายตะวันตกได้ถึงจุดเปลี่ยนหลังจากที่จีนได้มีการปะทะทางทหารกับสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2512 ที่บริเวณพรมแดนของทั้งสองประเทศที่แม่น้ำอุสซูรี (Ussuri River) ทำให้จีนเห็นสัจธรรมเรื่องมิตรแท้และศัตรูถาวร ต้องยอมเจรจาปรับความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาที่พ่ายแพ้คอมมิวนิสต์ยับเยินในสงครามเวียตนามเพราะอาวุธทันสมัยที่โซเวียตติดให้เวียตนามเหนือ ทั้งสองฝ่ายมีความต้องการแนวร่วมกันที่จะคานอำนาจโซเวียต หลังจากคุยกับอเมริกาแล้ว จีนได้แสดงท่าทีผ่อนปรนด้วยการย้ำถึงการอยู่ร่วมกันโดยสันติในภูมิภาคนี้  ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มคลายความวิตกเรื่องจีนลง แต่ก็ใช้เวลาอีกหลายปีที่ไทยจะปรับความคิดได้ ในยุคที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการนำคณะไปเมืองจีนเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศทั้งสองขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2518  ซึ่งยั่งยืนมาจนปัจจุบัน



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 121  เมื่อ 12 ส.ค. 10, 10:24

ย้อนกลับมาเรื่องการเมืองในประเทศที่นำไปสู่การหมดเทอมปลายของรัฐบาลป.2บ้าง

ในปี2498 จอมพลป.ได้ประกาศฟื้นฟูประชาธิปไตย และออกพ.ร.บ.พรรคการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่พรรคการเมืองทั้งหลายถูกยุบไปตามรัฐธรรมนูญ2475 ที่ย้อนยุคไปเอามาใช้ใหม่ จอมพลป.เองได้จดทะเบียนตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาขึ้นโดยมีตนเองเป็นหัวหน้าพรรค พล.ต.อ.เผ่าเป็นเลขาธิการพรรค บรรดาบิ๊กทหารทั้งหลาย ทุกเหล่าทัพตั้งแต่ ระดับผู้บัญชาการไปจนถึงหน่วยคุมกำลัง รวมทั้งพล.อ.สฤษดิ์ได้เข้ามาเป็นกรรมการพรรคพรึ่บราวกับเรียกแถวทหาร มีพรรคการเมืองอื่นๆมาจดทะเบียนถึง22พรรค ประชาธิปัตย์นั้นแน่นอนอยู่แล้วจึงไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ที่จอมพลป.ต้องเขม่นตามองก็คือพรรคสหชีพ ที่ขอจดทะเบียนท้ายสุดในปี2500  คือก่อนจะเกิดปฏิวัติเพียง2เดือน หัวหน้าพรรคคือนายสงวน จันทรสาขา น้องชายต่างบิดาของจอมพลสฤษดิ์ ที่ประกาศสนับสนุนพี่ชายอย่างสุดขั้ว การเกิดขึ้นของพรรคนี้ทำให้ส.ส.ที่สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลาลาออกจากพรรคไป10คน และอีก4คนจากพรรคธรรมาธิปัตย์ที่เป็นแนวร่วมของจอมพลป.

ตรงนี้เองที่เกิดปัญหาว่า พรรคสหภูมิได้เงินมาทำพรรค(ซึ่งต้องจ่ายค่าตัวให้พวกส.ส.มาก)มาจากไหน โฟกัสก็ไปจับอยู่ที่เงินกองสลากที่สฤษดิ์เป็นประธานอยู่ จอมพลป.ก็เลยให้ค.ร.ม.มีมติแต่งตั้งนายปุ่น จาติกวนิช เลขาคณะรัฐมนตรีไปเป็นรองผู้อำนวยการกองสลาก นัยว่าเพื่อจะให้ไปคุมเรื่องการเงิน เรื่องนี้สฤษดิ์ถึงกับควันออกหู และระบายใส่พล.ต.ประมาณ อดิเรกสารรัฐมนตรีช่วยคลังแห่งค่ายราชครูไปว่า เล่นกันอย่างนี้ ไม่เอาด้วยนะโว้ย (พยางค์หลังเป็นแค่การสันนิฐานของผมเอง เพราะถ้าใส่คำว่าครับ พล.ต.ประมาณ ก็คงจะยักไหล่เฉยๆ แต่ท่านผู้อ่านอย่าได้ไปจริงจังอะไรกับตรงนี้นะครับ)

เมื่อนายปุ่นไปทำงาน จึงปรากฏว่าไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง พูดกับใคร ใครก็ไม่พูดด้วยแม้กระทั่งภารโรง นายปุ่นจึงคำนับ3ที ลากลับไปนอนบ้านดีกว่า

แต่ไหนแต่ไรมาสฤษดิ์มิได้มีท่าทีที่จะสนใจการเมือง ทุกคนจึงมองข้ามไปหมด แม้แต่เผ่ายังหลุดปากว่า สฤษดิ์มันโง่ เอาแต่หาเงินลูกเดียว คือสฤษดิ์สนใจแต่ที่จะไปนั่งเป็นประธานกรรมการบริษัทและธนาคารของคนจีน ดูเหมือนจะเป็นประมาณ24บริษัท เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้เส้นติดต่อกับภาครัฐ คำพูดนี้ออกจากปากต่อปากไปเข้าหูสฤษดิ์เข้าจนได้ วันหนึ่งในระหว่าเพรสคอนเฟอร์เร้นส์ของจอมพลป. ที่มีเผ่านั่งอยู่ด้วย นักข่าวแยงๆอย่างไรไม่ทราบ สฤษดิ์ก็โพล่งว่าเขาหาว่าผมโง่ มีแต่กำลังน่ะดีแล้ว คนอื่นจะได้สบาย สักพักก็ว่าต่อเบาๆ ถ้าผมฉลาดขึ้นมาวันไหน คนอื่นจะลำบาก

เล่นเอาทั้งห้องเงียบกริบกันไปเลย



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 122  เมื่อ 12 ส.ค. 10, 20:16

คุณนวรัตนเปิดตัวพระเอกควบม้าสีขี้ม้ามาแล้วค่ะ   ลองเอาสปอตไลท์ของเรือนไทยจับท่านดูหน่อยเป็นไร

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475  ร้อยตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังเป็นแค่นายทหารหนุ่มโนเนม  ไม่มีบทบาทอะไรมากนัก    แต่ในปีต่อมา เมื่อเกิดกบฏบวรเดช   เขาเป็นผู้บังคับหมวดปราบปรามกบฏ ขึ้นตรงกับพันเอกหลวงพิบูลสงคราม  จึงได้ความดีความชอบ เลื่อนยศขึ้นอย่างรวดเร็วแค่ 2 ปีต่อมาก็เป็นร้อยเอก
จากนั้น เส้นทางของร้อยเอกสฤษดิ์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ถึงกับพุ่งแรงเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่สะดุดหยุดนิ่งกับที่     เขาวางตัวเป็นทหารอาชีพจริงๆ การเมืองไม่ยุ่งมุ่งแต่งาน   จนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ขึ้นถึงพันเอก   ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยกำลังสำคัญ   
ดาวประจำตัวของพันเอกสฤษดิ์เริ่มรุ่ง  เมื่อตัดสินใจถูก  เข้าร่วมกับรัฐประหารของจอมพลผินที่เชิญจอมพลป.กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง     ผลงานของพันเอกสฤษดิ์เป็นที่เข้าตาของท่านจอมพลอย่างมาก   เมื่อปราบกบฏวังหลวงของนายปรีดี พนมยงค์ได้ราบคาบในปี 2493   จอมพลป.เห็นว่า นายทหารคนนี้ฝีมือดี และยังเคารพเลื่อมใสท่าน   ท่านก็เลยเรียกตัวมาใช้ใกล้ชิด
ไม่มีอะไรยั้งให้หยุดฉุดให้อยู่ได้อีก  พันเอกสฤษดิ์ขึ้นลิฟต์ปรู๊ดเดียว จากพลตรีเป็นพลโท แม่ทัพภาคที่ 1   ตำแหน่งนี้เป็นที่รู้กันว่าใครได้เป็น  ตำแหน่งแม่ทัพบกก็ลอยมาแค่มือเอื้อม
ในปี พ.ศ. 2495 เลื่อนขึ้นเป็นพลเอก  รองผู้บัญชาการทหารบก  ด้วยวัย 44 ปี   ต่อมาได้เป็นรมช.กลาโหมในรัฐบาลจอมพล ป.

ในยุคอัศวินผยอง  เมื่อกำลังกองทัพตำรวจเริ่มแผ่ไพศาลไม่แพ้กองทัพทหาร    พลเอกสฤษดิ์ก็ยังวางตัวเงียบๆ ไม่ได้ดังโฉ่งฉ่างอย่างใดในบ้านเมือง  ปล่อยให้อธิบดีตำรวจอย่างพลต.อ.เผ่าดังนำหน้าไปก่อน    ประชาชนทั้งบ้านเมืองรู้จักชื่ออธิบดีตำรวจดีกว่ารองผู้บัญชาการทหารบกเป็นไหนๆ    แต่บารมีในกองทัพที่พลเอกสฤษดิ์สร้างขึ้นอย่างเงียบๆ ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามกันไม่ได้   พลต.อ.เผ่าจึงมองเขม็งหาจังหวะฟันอยู่   จนเกิดเหตุกองสลากอย่างที่คุณนวรัตนเล่ามาข้างบน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 123  เมื่อ 12 ส.ค. 10, 20:29

เราก็รู้กันว่า จอมพลป.ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพลต.อ.เผ่า มาแต่แรก    เมื่ออธิบดีตำรวจเริ่มยืนคนละฟากกับรองผบ.ทบ.  นายกฯทำอย่างไร  ไกล่เกลี่ยอย่างไหน  เพราะนั่นก็คนสนิท  นี่ก็คนสนิท  ค้ำจุนอุ้มชูกันมาทั้งคู่  ควรจะให้สามัคคีกันด้วยดี

พ.ต.ท. พุฒ บูรณสมภพ  อดีตอัศวินแหวนเพชรของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เคยเขียนว่าจอมพล ป.ท่านไม่ได้คิดจะไกล่เกลี่ยให้ประนีประนอมทั้งสองฝ่าย    ท่านปล่อยให้เขม่นกันอยู่ยังงั้น ตามนโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง (divide and rule)”  นโยบายแบบนี้มีหลักกว่า ถ้าลูกน้องไม่แตกกัน ก็ต้องเสี้ยมให้แตก  เพราะมันรวมตัวสามัคคีกันเมื่อไร ก็จะรวมหัวกันช่วงชิงอำนาจให้นายหล่นจากเก้าอี้ได้ง่ายๆ    จึงต้องทำให้ต่างคนต่างอยู่ มองหน้ากันไม่ติดได้ยิ่งดี

แต่นโยบายแบบนี้ จะให้แตกกันจนลุกขึ้นห้ำหั่นกัน ก็ไม่ดีอีก   ถ้ายังงั้นก็จะต้องมีฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ   ซึ่งนายกฯเองย่อมลำบากในการเล็งว่าฝ่ายไหนชนะ   เผื่อทายผิดไป นายกฯก็เสร็จไปด้วย         ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้สองฝ่ายฮึ่มๆเข้าหากัน   แล้วท่านนายกฯ ก็ไกล่เกลี่ยไปเป็นครั้งคราว  เพื่อถ่วงดุลอำนาจเอาไว้ให้คงเดิม  และรักษาเก้าอี้นายกฯให้อยู่ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ปัจจัยที่จะทำให้การเมืองสุกงอมจนแตกปริระเบิดออกมา   มักจะไม่มีปัจจัยเดียว     แต่มีหลายปัจจัยช่วยกันส่งเสริมหรือซ้ำเติมให้จุดจบมาถึงในที่สุด     นอกจากปัจจัยภายในที่มีเสือหลายตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันแล้ว  ก็มีปัจจัยภายนอกดังที่ท่านกูรูใหญ่กว่าเล่าไว้ในค.ห.บนๆ ย้อนหลังไป 3-4 ค.ห.    กลับไปอ่านอีกทีก็จะมองเห็นค่ะว่าราวๆปี 2499 สถานการณ์ก็สุกงอมเต็มทนแล้ว



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 124  เมื่อ 12 ส.ค. 10, 21:10

ขอเลี้ยวออกซอยเล็กไปอีกครั้ง  เรื่องพ.ท.โพยม จุลานนท์  บิดาของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ชีวิตการเมืองของท่านแบ่งออกเป็น 2 ช่วง   ในค.ห.นี้จะเล่าถึงช่วงแรกในยุครัฐบาลจอมพลป. 2  ก่อน

พ.ท.โพยม เมื่อครั้งยังรับราชการ เข้าร่วมในรัฐประหาร 2490  เป็นโฆษกชั่วคราวฝ่ายรัฐประหาร  เมื่อจอมพลผินรัฐประหารสำเร็จ  พ.ท.โพยมก็ลาออกจากราชการทหารลงเล่นการเมืองเต็มตัว สมัครเป็นส.ส. เพชรบุรี  สอบผ่านได้รับเลือกตั้ง   ปี 2491 ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกบีบให้ลาออก
พ.ท.โพยมเป็นคนมีอุดมคติ  เมื่อเป็นส.ส.ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างแข็งขัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน    ข้อหนึ่งที่พ.ท.โพยมไม่เห็นด้วยเลยก็คือการขึ้นเป็นใหญ่แล้วใช้อำนาจหน้าที่คอรัปชั่น ทั้งทางตรงทางอ้อม  ผลจากเป็นส.ส.ปากกล้า กล้าทำงานตรงไปตรงมาตามอุดมคติ คือถูกหมายหัวเอาไว้จากผู้เป็นใหญ่    ไปไหนมาไหนถูกสันติบาลตามแจ
ด้วยผลงานที่ระคายใจผู้ใหญ่    จึงถูกยัดข้อหากบฏเสนาธิการว่ามีเจตนาจะโค่นล้มรัฐบาล   เมื่อวันที่ ๑  ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เมื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภา พ.ท.โพยมก็มาเปิดเผยตัวต่อสู้ในสภา  เมื่อปิดสมัยประชุม  ก็เล็ดรอดเงื้อมมือสันติบาลหลบหนีเอาชีวิตรอด    จนจบรัฐบาลจอมพลป. 2  ถึงกลับมาเปิดเผยตัวต่อสู้คดี  จนศาลพิพากษายกฟ้อง
แต่ชะตาของพ.ท.โพยมก็ไม่จบลงแค่นี้     ยังต้องระหกระเหินหลบหนีไปอีกยาวนาน    แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลจอมพลป. 2  จึงขออินเทอมิชชั่นไว้แค่นี้ก่อนค่ะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 125  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 10:35

หยุดสัปดาห์ยาวเช่นนี้ ผู้คนในเรือนไทยดูจะโหรงเหรง แต่ผมไม่ได้ไปไหนเพราะติดฝนอยู่กับบ้าน ก็จะว่าไปเรื่อยๆก็แล้วกันนะครับ ท่านใดเข้ามาจะย้อนกลับไปขยายความตรงไหนบ้างก็เชิญตามสบาย

อาวุธที่ฝ่ายการเมืองต่างๆใช้ป้องกันตัวและโจมตีคู่ต่อสู้ก็คือหนังสือพิมพ์ สมัยก่อนยังไม่มีดีเจวิทยุและทีวีที่ทุกบ้านในสมัยนี้มีกันหมด หนังสือพิมพ์ถือว่าเป็นสื่อที่ชาวบ้านชาวเมืองติดกันงอมแงม แต่ที่ลงทุนควักกระเป๋าซื้อเองจะเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะคอยอ่านฟรีที่ที่ทำงานหรือตามสภากาแฟ หนังสือพิมพ์อิสระจริงๆจึงอยู่ได้ยาก จะมีแค่ฉบับสองฉบับเช่น พิมพ์ไทย สยามนิกรและสยามรัฐของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซึ่งแขวนนวมจากเวทีการเมืองในช่วงนั้นออกไปลงทุนทำ เป็นต้น นอกนั้นต้องสังกัดค่ายการเมืองเพื่อให้มีเงินมาสนับสนุนการดำเนินงาน สฤษดิ์เองมีหนังสือพิมพ์ก่อนเผ่า และดังๆมีอยู่ถึง2ฉบับ คือสารเสรี และไทรายวัน นายสังข์ที่สนับสนุนจอมพลป.มี เสถียรภาพ เมื่อค่ายราชครูถูกโจมตีมากๆก็ต้องมีหนังสือพิมพ์บ้าง เช่นเผ่าไทย ไทยเสรี และหนังสือพิมพ์ที่ชื่อเก๋ว่า 2500 แต่วงการหนังสือพิมพ์ด้วยกันเปลี่ยนชื่อให้เก๋ซะยิ่งกว่าว่า กิโลรายวัน เพราะขายไม่ค่อยออกเนื่องจากเชียร์รัฐบาลตะบี้ตะบันเหมือนข่าวแจกจากกรมกร๊วก แผงส่งคืนกลับไปให้โรงพิมพ์ชั่งขายเจ็กเป็นกิโลๆทุกวัน นอกสังกัดก็มีอีกหัวหนึ่งชื่อ หนังสือพิมพ์เช้า ที่บรรดาอัศวินทั้งหลายลงขันกันชเลียร์นายเผ่าด้วยการขุดคุ้ยเรื่องทุจริตของสฤษดิ์ โดยเฉพาะเรื่องเงินกองสลาก มานำเสนอทุกวี่ทุกวัน จนสารเสรีต้องตอบโต้ด้วยการเปิดโปงบทบาททางร้ายๆของอัศวินและนายเผ่าบ้าง เช่นเรื่องการไล่ล่าสังหารนักการเมืองแบบละเอียดเหมือนนั่งอยู่ในเหตุการณ์ เรื่องค้าฝิ่นเถื่อน ทองคำเถื่อน ของหนีภาษี และเรื่องสดๆร้อนๆเบื้องหลังการปล้นเงินจากธนาคารเอเซียสาขาวิสุทธิกษัตริย์ที่สฤษดิ์นั่งเป็นประธานกรรมการอยู่ บ่งบอกว่าตำรวจเป็นผู้ร้ายเสียเองเพื่อต้องการหักหน้าคนบางคนที่ว่าแข้งใหญ่นัก

พอดีเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตตรวจยึดฝิ่นเถื่อนจำนวนถึง20ตันได้ที่สถานีรถไฟเป็นข่าวใหญ่ นักข่าวถามจอมพลป.ในเพรสคอนเฟอร์เร้นส์ทันทีว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง จอมพลป.ท่านก็ตอบไปซื่อๆว่านั่นมันเรื่องของคุณเผ่าเขา บราๆๆๆ  คนฟังก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับท่านโดยตรง อยากรู้ก็ต้องไปถามเผ่าเองเพราะเป็นอธิบดีตำรวจ แต่วันรุ่งขึ้นสารเสรีของสฤษดิ์ก็พาดหัวไม้ว่า ฝิ่น20ตันของเผ่า แต่เนื้อข่าวข้างในก็เขียนอย่างที่ผมว่าไปแล้ว

เรื่องทีเล่นกันโต้งๆถึงขนาดนี้ทำเอาเผ่าเลือดขึ้นหน้าจนแทบจะกระอักออกมาทางปาก แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมีคนจัดเวรให้นายจ่ามานั่งประกบบ.ก.ของสารเสรีอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนเดินจากโต๊ะเหล้าไปเข้าส้วม จึงต้องขอพึ่งบารมีศาล ฟ้องสารเสรีในข้อหาหมิ่นประมาท คดีนี้ในที่สุดศาลท่านเห็นว่าจำเลยผิดจริง พิพากษาให้จำคุก6เดือน ปรับ2000บาท ลดฐานสารภาพให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก3เดือน ปรับ1000บาท แต่ลดหย่อนฐานไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน โทษจำให้รอลงอาญาไว้2ปี คงปรับ1000บาท เมื่อสิ้นคำพิพากษาก็มีชายแต่งตัวดูเหมือนจะเป็นทหารเอาเงินชำระค่าปรับให้กับศาลทันที  บ.ก.สารเสรีก็เป็นอิสระก่อนที่จะแยกย้ายกันไปกินเหล้าตามกิจวัตร



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 126  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 10:56

เรื่องฝิ่น20ตันที่เป็นเรื่องขึ้นนี้ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ อัศวินแหวนเพชรคนสนิทของพล.ต.อ.เผ่า ได้เขียนเล่าไว้ว่า

"สมัยนั้นเมืองไทยยังมีโรงยาฝิ่น ประชาชนเข้าโรงยาฝิ่นไปพักผ่อนนอนสูบฝิ่นกันได้อย่างเสรีในนั้น พวกนักเลงขี้ยาและนักเลงต่างๆ ก็ใช้โรงยาเป็นที่พบปะกันเหมือนกัน ตำรวจจึงทำตัวเป็นนักเลงฝิ่นเข้าไปคลุกคลีหาข่าวได้ง่ายๆ วิธีหนึ่ง รัฐบาลไทยมีสัญญากับประเทศอิหร่านที่สมัยนั้นเรียกว่าเปอร์เซียในการซื้อฝิ่นดิบจากที่นั่นแห่งเดียวจะไปซื้อที่อื่นไม่ได้ สัญญานี้เป็นสัญญาระยะยาว นอกเสียจากถ้าทางเราจับกุมฝิ่นเถื่อนได้ ก็ให้ใช้ฝิ่นเถื่อนที่จับได้นั้นได้ แต่ถ้าจะซื้อเข้าประเทศจะต้องซื้อจากเปอร์เซียแห่งเดียว ระยะนั้น กระทรวงการคลังเกิดขาดเงินงบประมาณซื้อฝิ่น และฝิ่นดิบก็กำลังจะหมดคลังอยู่อีกไม่เท่าไหร่ ทำยังไงจึงจะหาฝิ่นมาเข้าสต็อกได้ เงินหมด ไม่มีงบซื้อเข้า ทางการก็ประชุมกันคิดหาทางแก้ไข ผลการประชุมมีออกมาว่า จะต้องขนฝิ่นเองโดยไปหาซื้อเอาจากกลุ่มชาวเหนือที่เป็นชาวเขา ที่นั่นเป็นดงฝิ่นของพวกหากินกับฝิ่นเถื่อน หาซื้อที่นั่นราคาถูกกว่า แล้วทำเป็นจับมาได้ ขนเป็นของกลางมาเข้าคลังสรรพสามิต

ที่ประชุมตกลงกันแล้วก็สั่งการลงมาลับๆ ใครล่ะจะเป็นคนทำงานชิ้นนี้ คำสั่งก็มาตกตูมลงที่กรมตำรวจที่มีอธิบดีเป็นบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย เมื่อคำสั่งมาจากท่านผู้ใหญ่ มีหรือที่ท่านบุรุษเหล็กจะปฏิเสธ ยิ่งเป็นงานที่ไม่มีใครรับทำเพราะไม่มีกำลังคนที่จะทำงานใหญ่เช่นนี้ได้ ตำรวจไทยก็ต้องทำได้ ผม(พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ)ถูกเรียกตัวเข้าพบ พล.ต.อ.เผ่า สั่งว่า มึงไปจัดการให้สำเร็จทีเถอะวะ เอาพวกมึงไปช่วยด้วย มึงไปจัดการเอาเอง สั่งการแค่นั้นก็หมดคำสั่ง นอกจากนั้นให้ผมไปคิดเอาเอง ผมถามไปทางสรรพสามิตว่ามีงบประมาณให้ผมเท่าไหร่ สรรพสามิตให้ถามไปทางกระทรวงการคลัง เขาไม่รู้เรื่อง มีหน้าที่แต่เพียงคอยรับของกลางที่จับได้เท่านั้น ถามไปทางกระทรวงการคลังก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คงจะเป็นที่รู้กันเฉพาะเบื้องสูง คือ ระดับรัฐมนตรีและสูงไปอีก ต่อมาผมให้เจ้านาย(พล.ต.อ.เผ่า)ถามไป มีคำตอบมาคือ มีงบพอสำหรับจำนวนขนาดสิบตัน แต่ต้องไปแลกเป็นทอง พวกฮ่อเจ้าของฝิ่นเขาไม่รับเงินไทย รับแต่ทองน้ำหนักราคาเท่าราคาฝิ่น

ผมชวนเพื่อนรักของผมไปด้วย ก็ไอ้อ้วน(พ.ต.อ.พันศักดิ์ วิเศษภักดี)นั่น และเอาตำรวจที่ไว้ใจได้ใช้งานกันสนิทไปห้าคน มีอาวุธพร้อมเผื่อมีอะไรที่ต้องแก้ไขในดินแดนนอกเขตไทยนั้น ไว้ใจไม่ได้ว่าจะมีอะไร ผมมีพวกงานลับฝ่ายจีนของผมอยู่ในแดนนั้นอยู่แล้ว ตั้งสำนักงานอยู่ในถิ่นนั้น ผมเรียกเขามาคนหนึ่ง ไม่บอกว่าจะไปทำอะไร เพียงแต่บอกว่าผมจะขึ้นเหนือเข้าเชียงตุงไปดูสำนักงานของเราที่นั่นให้เขาเตรียมที่ทางและคนไว้ จะเดินทางทันทีที่วิทยุไปบอก การเดินทางบินไปลงจังหวัดลำปางต่อรถไปเชียงรายเข้าอำเภอแม่สาย คืนนั้นเข้าไปในแดนพม่าที่พวกฮ่อยึดครองอยู่ เข้าไปที่หน่วยของผมที่นั่นมีนายพลจีนคนสำคัญคอยผมอยู่แล้ว เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกกองพล ๙๓ คุมพวกฮ่อส่วนใหญ่

ในคืนนั้นเอง ขบวนฬ่อบรรทุกฝิ่นก็เดินมากันเป็นแถวยาวประมาณ ๕๐-๖๐ ตัว มีการขนฝิ่นที่บรรจุในกระป๋องขนาดใหญ่ลงจากหลังล่อและจ่ายเงินให้ผู้ที่เป็นหัวหน้า หลังจากนั้นขนฝิ่นขึ้นรถบรรทุกกลับเข้าเขตไทย เดินทางเข้ากรุงเทพฯ สมัยนั้นยังไม่มีการตัดถนนจากเชียงรายเข้าเชียงใหม่ จึงต้องใช้เส้นทางผ่านจังหวัดลำปาง ถึงลำปางเมื่อตอนสาย มีการติดต่อนายสถานีรถไฟบอกว่ามีการจับฝิ่นมาได้ และจะนำไปเก็บที่คลังกรมสรรพสามิต นายสถานีได้จัดตู้รถไฟให้ ๒ ตู้ นำฝิ่นขึ้นใส่ตู้บรรทุกเข้ากรุงเทพฯ โดยผมกับคณะนั่งคุมฝิ่นเข้ากรุงเทพฯด้วย แต่เกิดปัญหาเมื่อขบวนรถไฟมาถึงสถานีจังหวัดอุตรดิตถ์ หัวหน้าหน่วยสรรพสามิตอุตรดิตถ์จะขอตรวจค้นและดูฝิ่น แต่ผมไม่ยอม มีการโต้เถียงกันและตกลงว่า หัวหน้าสรรพสามิตจะนั่งไปด้วยเพื่อคุมฝิ่นไม่ให้มีการสูญหาย เมื่อถึงสถานีบางซื่อ รถของกรมสรรพสามิตมารับฝิ่นไป เป็นอันเสร็จสิ้น แต่ในวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวโจมตีทันทีว่า "ตำรวจไทยค้าฝิ่น”

(จากบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย,พ.ต.อ.พุฒ บูรณะสมภพ)


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 127  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 10:59

พอประกาศว่าตนจะลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์ความเป็นนักประชาธิปไตยแท้จริง ไม่ใช่เผด็จการตามที่หนังสือพิมพ์ทั้งหลายและดาวไฮปาร์คกล่าวหา ยักษ์อีกตนหนึ่งที่จอมพลป.เปิดจุกให้ออกมาโลดแล่นคือพรรคกรรมกร ซึ่งตั้งขึ้นภายใต้การผลักดันของนายสังข์ พัธโนทัย โดยมีฐานจากสมาคมเสรีแรงงานภายใต้การอุปถัมภ์ของพล.ต.อ.เผ่า ซึ่งนายเลื่อน บัวสุวรรณเป็นนายกสมาคมอยู่ มีสมาชิกจากรัฐวิสาหกิจเยอะพอสมควร  เมื่อปี2499จอมพลป.ได้ปล่อยพ.ร.บ.แรงงานออกมาเป็นครั้งแรก กับประกาศให้วันที่1พฤษภาคมเป็นวันกรรมกร รัฐสนับสนุนงบประมาณให้กรรมกรจัดงานฉลองยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวง จอมพลป.ไปปราศัยเปิดงานเองในวันนั้น ยกย่องผู้ใช้แรงงานว่าชาวโลกล้วนเป็นหนี้พวกท่าน

จากพ.ร.บ.ดังกล่าวทำให้เกิดสหภาพแรงงานโดยถูกกฏหมายขึ้นมาเป็นร้อย จ๊อบแรกๆที่ผู้นำสหภาพพึงกระทำเพื่อสร้างผลงานให้ปรากฏแก่สมาชิกก็คือ ตั้งข้อเรียกร้องจากนายจ้างในเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ เมื่อไม่ได้ก็นัดหยุดงานที่เรียกว่าสไตร้ค์ เมื่อแห่งหนึ่งได้ผลอีกแห่งหนึ่งก็ต้องเรียกร้องบ้าง ลุกลามไปทั่ว และนายสังข์ในนามของนายกสมาคมกรรมกรไทย ที่คนทั่วไปรู้อยู่ว่าเป็นหน้าม้าของใครก็ดูเหมือนจะมีบทบาทไปทั่ว ที่เหลือบ่ากว่าแรงตนนายสังข์ก็ไปดึงจอมพลป.มาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกับนายจ้าง ทำให้ทุกเรื่องจบแบบลูกจ้างได้ประโยชน์ แม้จะไม่ได้ทุกอย่างที่ต้องการทุกครั้งก็ตาม ทำให้จอมพลป.เป็นขวัญใจ ได้คะแนนนิยมจากบรรดาคนรากหญ้าอย่างเป็นกอบเป็นกำ ในขณะที่กลุ่มนายจ้างก็มึนว่านี่ท่านนายกท่านเล่นอะไรของท่านอยู่ฟร๊ะ บ๊ะแล้วกัน

แต่ถึงตอนนี้ จอมพลป.ท่านก็คิดว่าคะแนนเสียงของท่านจะเป็นต่อนายควง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้วนิดๆ


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 128  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 11:04

การเลือกตั้งถูกกำหนดขึ้นในวันที่20เดือนกุมภาพันธ์ปี 2500 ปีนี้เป็นปีที่สำคัญมากทางพระพุทธศาสนา ทั่วโลกจะมีการฉลองกึ่งพุทธกาลกันใหญ่โต รวมทั้งประเทศไทยที่จอมพลป.ท่านมีแผนและดำเนินไปแล้วอย่างใหญ่โตมโหฬาร ดังนั้นท่านจึงควรจะต้องอยู่เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเพื่อเป็นประธานในงานฉลองนี้ กุศลผลบุญจะได้ส่งให้ท่านได้เป็นจ้าวคนนายคนเป็นนายกรัฐมนตรีอีกทุกชาติไป

แต่นับวันนับเดือนใกล้การเลือกตั้งเข้ามา อะไรๆมันดูจะไม่ค่อยลงตัว ลูกน้องข้างกายที่ปกครองแบบกะจะให้แบ่งแยกซ้ายขวากันพองาม ก็ถ่มวาจาข้ามศรีษะท่านในหน้าหนังสือพิมพ์ เละเทะมาแปดเปื้อนใบหน้าของลูกพี่ด้วยทุกครั้ง นายควงและทีมด่าก็ไม่เคยเว้นเลยซักครั้งที่จะไม่นำไปขยายผลในไฮปาร์คท้องสนามหลวง เลยทำให้พวกไม่เคยคิดจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้รับฟังความข้างเดียว พรรคเสรีมนังคศิลาที่มาตั้งเวทีประชันยังฝั่งตรงข้ามก็มีคนฟังโหรงเหรง แถมไม่จ้าง มันก็ไม่ยอมมานั่งฟังพวกประธานเชียรนำทีมเชลียรรัฐบาลจืดชืด สู้เรื่องด่าของฝ่ายโน้นไม่ได้ คนฟังเป็นหมื่นๆ เฮๆกันทีไรกลบเสียงทางฝ่ายนี้หมด ต้องหาตัวด่ามาด่าพรรคฝ่ายค้านบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีเรื่องจะให้ด่านอกจากเรื่องเก่าๆล้าสมัยคนลืมกันไปแล้ว และเผ่าซะเองที่พลาดปากบนเวทีไปแขวะนายควงว่า รูปร่างอย่างกับขี้ยา ไม่น่าจะมาเสนอตัวเป็นนายกกับเขา ควรเลือกจอมพลป.ดีกว่าเพราะมีสง่าราศีกว่าเยอะ นายควงก็ขึ้นเวทีโน้นสวนกลับมาว่า ที่ตนรูปร่างเหมือนขี้ยาก็เพราะเสพย์ฝิ่นเข้าไป20ตัน เสียดายได้ข่าวว่าตำรวจจะเอาฝิ่นไปถ่วงน้ำซะแล้ว ปลาคงจะเมาฝิ่นกันแประ หนังสือพิมพ์ก็เอาไปประโคมอีก จอมพลป.ชั่งน้ำหนักดูเห็นว่าตนเข้าเนื้ออีกแล้ว จึงเรียกเผ่ามาเบรคว่าอย่าพูดอะไรเลยเห็นจะดีกว่า

เมื่อตั้งเวทีเผชิญหน้าแล้วดูถ้าจะเหนื่อย ฝ่ายเสธ.ของพรรคเสรีมนังคศิลาจึงจัดให้จอมพลป.ออกไปหาเสียงแบบดาวกระจายบ้าง เช่นไปเปิดเดี่ยวไมโครโฟนที่คลองเตย กรรมกรอยู่กันเยอะๆ ที่สุเหร่ามหานาคหาเสียงกับพวกมุสลิมบ้าง ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หาเสียงกับปัญญาชนบ้าง คนระดับดาราดังไปปรากฏตัวเช่นนี้คนก็มาฟังกันล้นหลามเหมือนกัน ยิ่งจอมพลป.ได้ชื่อว่าเป็นคนปากหวานนุ่มนวล มีวาทะศิลป์สามารถโน้มน้าวใจได้ดีติดอันดับต้นๆของจู้คบอกซ์ คะแนนจึงเริ่มตีตื้นขึ้นมาได้บ้าง

แต่เมื่อใกล้วันตัดสิน พล.ต.อ.เผ่าเลขาธิการพรรคประเมินแล้ว ถ้าปล่อยให้การเลือกตั้งดำเนินไปตามครรลองของมัน คะแนนเสียงของพรรคเสรีมนังคศิลาคงจะไล่กวดไม่ทัน ในกรุงเทพสงสัยพรรคประชาธิปัตย์จะนอนมาเป็นแน่แท้ จอมพลป.เองถ้าชนะก็คงจะหลุดเข้าไปคนเดียวแบบหืดจัด ส่วนท่านผู้หญิงละเอียดนั้นคงได้แน่ เพราะไปลงที่นครนายกโดยตนเองเป็นเอกภรรยาของนายก (ณ ที่นี้แปลว่าภรรยาคนเดียว ไม่ใชเมียหลวงของนายกนะครับท่านผู้อ่าน)



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 129  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 12:50

เรื่องฝิ่น20ตันที่เป็นเรื่องขึ้นนี้ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ อัศวินแหวนเพชรคนสนิทของพล.ต.อ.เผ่า ได้เขียนเล่า ในหนังสือจากบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย,พ.ต.อ.พุฒ บูรณะสมภพ

ถ้าหากว่าข้อเขียนของพ.ต.อ.พุฒ เป็นเรื่องข้อเท็จจริงล้วนๆ ไม่ได้สร้างขึ้นมา   อ่านแล้วก็ได้ความรู้จากข้อเขียนนี้ ด้วยความอัศจรรย์ใจ  ว่า
๑   ฝิ่นสมัยนั้น เป็นของถูกกฎหมาย เหมือนบุหรี่หรือเหล้าในสมัยนี้
๒   ทางราชการค้าขายและควบคุมฝิ่นเอง
สองข้อนี้ไม่อัศจรรย์ใจเท่าไร   เพราะจำได้ว่ามีโรงยาฝ่ิ่นมาก่อนตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์  ใครใคร่สูบก็สูบ   ผู้ใหญ่เล่าว่าคนสูบฝิ่นสมัยก่อนสูบแล้วติด มีอาการซึมเลื่อนลอย   ผอมแห้ง ผิวเหลืองซีด  ถ้าอดไม่ได้ก็ลงแดงตายไป   แต่พวกนี้ไม่อาละวาดคลุ้มคลั่งอย่างพวกติดยาบ้าในสมัยนี้  
   แต่ที่อัศจรรย์ใจมากๆคือข้อต่อไป ที่แสดงว่า
๓   รัฐบาลจอมพล ป.  ค้าฝิ่นเถื่อน    กระทำกันในนามรัฐบาล ไม่ใช่ส่วนตัวของค.ร.ม. คนใดคนหนึ่ง  เพราะมีการประชุม และผลการประชุมมอบหมายให้อธิบดีตำรวจเป็นคนจัดหาฝิ่นเถื่อน     ไม่ใช่ซุบซิบทำกันอยู่ที่บ้านเป็นส่วนตัว ระหว่างนาย ก. และนาย ข.
๔      
อ้างถึง
"ผมถามไปทางสรรพสามิตว่ามีงบประมาณให้ผมเท่าไหร่ สรรพสามิตให้ถามไปทางกระทรวงการคลัง เขาไม่รู้เรื่อง มีหน้าที่แต่เพียงคอยรับของกลางที่จับได้เท่านั้น ถามไปทางกระทรวงการคลังก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คงจะเป็นที่รู้กันเฉพาะเบื้องสูง คือ ระดับรัฐมนตรีและสูงไปอีก ต่อมาผมให้เจ้านาย(พล.ต.อ.เผ่า)ถามไป มีคำตอบมาคือ มีงบพอสำหรับจำนวนขนาดสิบตัน"
      อ่านหลายเที่ยวเพื่อจับให้ได้ว่างบประมาณไปซื้อฝิ่นนั้นเอามาจากกระทรวงไหน   ก็สังเกตว่าหน่วยงานรัฐไม่ว่าสรรพสามิต หรือกระทรวงการคลังล้วนแต่หนีไม่เอาด้วยทั้งนั้น     แต่เมื่อพลต.อ.เผ่าถามไปถึงเบื้องสูง คือระดับค.ร.ม.และหัวหน้า    ก็กลับมีงบมาให้สำหรับฝิ่นสิบตัน     ก็แปลว่าเป็นงบประดับนายกรัฐมนตรีสั่งจ่าย

ข้อสงสัยต่อไปจากการอ่านข้อเขียนของพ.ต.อ.พุฒก็คือ  ฝิ่นแค่สิบตัน  มันจะใช้สูบกันทั่วประเทศได้สักกี่วันกัน
สมมุติว่าขบวนการซื้อฝิ่นอย่างนี้มีจริง   คือมีการคุ้มกันและดำเนินงานจากเจ้าหน้าที่ของรัฐทำให้ไม่มีใครแตะต้อง     ถ้ามีผู้ประสงค์จะสมทบทุนซื้อเพิ่มอีกสัก 10 ตัน เป็น 20 ตัน       เงินสมทบทุนนี้ก็ไม่เกี่ยวกับรายได้ของรัฐบาล แต่ไปเข้ากระเป๋าเอกชนใช่ไหม?
อีกอย่างคือ ไหนๆจะขนกันแล้ว   ขนเที่ยวเดียวก็ไม่คุ้ม  แจ้งเป็นทางการว่าขน 1 ครั้งแต่จริงๆขนสัก 10 ครั้งก็ยังได้

เมื่อนายตำรวจตงฉินอย่างพ.ต.อ.บรรจง ชีพเป็นสุข มองเห็นขบวนการโจรขนฝิ่นที่แอบแฝงอยู่ในอะไรก็ตามที่อ้างว่าถูกต้อง   ไปขัดขวางจับกุมเข้า   ท่านก็ถูกขจัดให้พ้นทางไปด้วยข้อหากบฏวังหลวง  ได้ไม่มีใครรื้อฟิ้นคดีขึ้นมาได้อีกว่าของจริงคืออะไรกันแน่
บันทึกการเข้า
proudtobethai
มัจฉานุ
**
ตอบ: 79


ความคิดเห็นที่ 130  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 16:44

คอมพิวเตอร์ไม่อำนวยให้เข้ามาลงชื่อเข้าห้องเรียนได้สะดวก แต่ยังแอบอยู่หลังห้องได้อยู่นะคะ
ยังแอบเข้าห้องเรียนทุกครั้งที่มีโอกาสค่ะ เดี๋ยวอาจารย์คิดว่านักเรียนหายไปไหน  อายจัง
บันทึกการเข้า
bookaholic
ชมพูพาน
***
ตอบ: 145


ความคิดเห็นที่ 131  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 17:23

มายกมือลงชื่ออีกคนครับ ติดตามเสมอแต่ไม่ค่อยมีโอกาสจะแสดงความเห็น

ฝิ่นในอดีตมาจากจีน   ก่อนสามเหลี่ยมทองคำจะกลายเป้นแหล่งเป็นล่ำเป็นสัน     รัชกาลที่ 1 - 3 พยายามปราบปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล   เกิดเรื่องอั้งยี่จนต้องฆ่ากันเป็นเบือ ก้มาจากฝิ่น      จนรัชกาลที่ 4  ทรงตั้งภาษีฝิ่นขึ้นมาถึงเลิกปราบปราม    เก็บเงินค่าภาษีเข้าคลังได้มาก    ใน  รัชกาลที่ 5  พยายามจะจำกัดให้ลดน้อยลง แต่ก็ทำได้แค่ให้ลด ละ แต่ชาวบ้านยังไม่เลิก    จนมาถึงยุคที่เล่ากันเนี่ยละครับ 
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 132  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 19:01

ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ที่จอมอัศวินอย่างเผ่าคิดว่าตนทำไม่ได้ เรื่องฝิ่นข้างบนถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเอาไว้ว่ากันใหม่ทีหลังเมื่อการเลือกตั้งเสร็จ  ครั้งนี้เห็นทีจะเอาชนะประชาธิปัตย์ด้วยคะแนนมนุษย์ไม่ได้ เผ่าก็คิดจะเอาคะแนนผีมาช่วยลูกพี่ให้ได้เป็นนายกอีกสักสมัยนึงให้สมปรารถนา

บรรดาหัวคะแนนของพรรคเสรีมนังคศิลานั้น เผ่าได้ทำแหนบเครื่องหมายตราไก่ประจำตัวของจอมพลป.ให้เสียบกระเป๋าโดดเด่น ไม่ใช่จะให้ไปใช้เบ่งกินข้าวมันไก่ฟรีที่ไหน แต่เอาไว้ให้พวกข้าราชการเห็นว่าข้านี่แหละโฟ้ย เด็กนาย แหนบนี้ใช้ได้ดีกับพวกตำรวจสำหรับการกระทำผิดเล็กๆน้อยๆ เช่นขับรถฝ่าไฟแดง หรือจอดในที่ห้ามจอด ตำรวจจะจับก็สามารถบอกว่าจะรีบไปหาเสียงให้นาย ขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกหน่อย ไม่ว่าหมวดหรือจ่าก็ต้องตาเบ๊ะเชิญครับท่าน

พอนักหนังสือพิมพ์ตั้งข้อสังเกตุว่า บรรดาหัวคะแนนของพรรคเสรีมนังคศิลาล้วนแต่เป็นพวกนักเลงทั้งนั้น เผ่าก็ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่การเป็นนักเลงไม่ได้เสียหายอะไรไม่ใช่รึ ในสมัยโบราณพวกนี้หมายถึง“ผู้กว้างขวาง”ในสังคมไง  คำว่าผู้กว้างขวางจึงติดมาจนถึงปัจจุบัน เวลาที่หนังสือพิมพ์จะเรียกใครสักตัวหนึ่ง แต่ไม่กล้าระบุว่าเป็นนักเลงอันธพาลอย่างตรงๆ ก็จะใช้ศัพท์นี้

ผู้กว้างขวางของเผ่าระดับมือเท่านั้นที่จะได้รับแหนบ แต่ระดับตีนจะได้รับเป็นบัตรพิมพ์เครื่องหมายตราไก่ ซึ่งถือเป็นบัตรประจำตัวของทีมงานพรรค แต่ผู้พกบัตรนี้ส่วนหนึ่งเป็นนักเลงอันธพาลที่ผมเล่าไปแล้ว สามารถเอาไปใช้ได้ดีในการประกอบอาชีพคุมบ่อนคุมซ่อง สร้างความอิดหนาระอาใจให้แก่ตำรวจแท้ๆที่ยังมีอยู่เป็นอันมาก

บรรดาผู้กว้างขวางเหล่านี้ได้ทยอยถูกเรียกไปรับจ๊อบสำคัญอย่างเป็นความลับ ทำอย่างไรพรรคของจ้าวนายจึงจะได้รับการเลือกตั้ง แต่ความลับดังกล่าวก็รั่วออกมาท่วมหัวท่วมหูหนังสือพิมพ์เสียอีกว่าจะมีทั้งพลร่ม เวียนเทียนและไพ่ไฟ ข่าวนี้ทำให้นายชลอ วนะภูติ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครผู้รับผิดชอบในการดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมต้องออกมาปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ รวมทั้งลงทุนสาบานว่าจอมพลป.เองท่านเรียกตนไปสั่งนักสั่งหนาให้ช่วยดูแลการเลือกตั้งให้ดีที่สุด อย่าให้มีทุจริต

พล.อ.สฤษดิ์นั้น บอกกับหนังสือพิมพ์ว่าได้ข่าวดังกล่าวมาเช่นนั้นเหมือนกัน และรู้สึกเป็นทุกข์จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำไมคนช่างไปเข้าใจว่าคุณเผ่าจะโกงเสียเรื่อย ตนขอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เลขาธิการเผ่าไม่เคยสั่งให้ตนในฐานะกรรมการพรรคให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้หรือให้อยู่เฉยๆเลย แต่หากลูกน้องของเผ่าบางคนที่ภักดีเกินไปจะเล่นอย่างนั้น ตนก็ไม่รู้ด้วย

เพื่อให้เห็นว่าพูดจริงทำจริง สฤษดิ์ก็เรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั่วประเทศ ขอให้ทุกคนวางตนเป็นกลาง ในฐานะที่ทหารของชาติ ห้ามไม่ทำตามคำสั่งของพรรคการเมืองใดเป็นอันขาด พอหนังสือพิมพ์ลงข่าวไป สฤษดิ์ก็ได้เป็นพระเอกอีก


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 133  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 19:08

ผู้สมัครส.ส.ของพรรคเสรีมนังคศิลามีดังนี้  1 จอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี 2 พล.อ.ท มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษดิ์ รองนายกรัฐมนตรี  3 พล.อ.เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีคลัง 4 พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์  รัฐมนตรียุติธรรม 5 พลเอก มังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีศึกษาธิการ 6 .พลโท บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รัฐมนตรีคมนาคม 7 พลเอก หลวงสวัสดิ์สรยุทธ์ รัฐมนตรีช่วยวัฒนธรรม 8 พล.อ. เดช เดชประติยุทธ รัฐมนตรีช่วยมหาดไท 9 พ.ต. รักษ์ ปันยารชุน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศและมีตำแหน่งใหญ่อีกตำแหน่งหนึ่งคือ เป็นลูกเขยหัวหน้าทีม

เพื่อให้จำง่าย จึงเรียบเรียงให้คล้องจองกันว่า พิบูล-เวชยันต์-บริภัณฑ์-ลัดพลี-โยธี-บัญญัติ-สวัสดิ์-เดช-รักษ์ เจ้าบทเจ้ากลอนซะไม่มีใครเกิน

เมื่อวันเลือกตั้งมาถึง พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งตั้งให้หลวงอังคณานุรักษ์ เป็นหัวหน้าหน่วยจับโกงเลือกตั้ง ระดมคนของพรรคมาช่วยกันทำงานอย่างมีระบบ โดยได้นักศึกษาจากธรรมศาสตร์กลุ่มใหญ่มาช่วย ออกประจำทุกหน่วยเลือกตั้ง กะจะไม่ให้พรรคเสรีมนังคศิลานำพลร่มมาเวียนเทียนเข้าหย่อนบัตรซ้ำซากได้

น่าประหลาดที่หน่วยเลือกตั้งทั้งหลายจะมีบุรุษในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล ติดแหนบตราไก่เป็นคนคุมอยู่ ไม่รู้ว่ามีหน้าที่อะไรอย่างเป็นทางการ ส่วนผู้กว้างขวางประจำถิ่นก็ติดแหนบตราไก่อย่างเดียวกันนี้ มีหน้าที่ขนชาวบ้านออกมาลงคะแนนเสียงเป็นระรอกๆ พอมีคนทักว่าเมื่อกี้มีคนหน้าอย่างนี้มาลงคะแนนไปหมู่นึงแล้ว นี่เป็นชุมชนคนฝาแฝดหรืออย่างไร ผู้กว้างขวางก็จะมาช่วยตอบคำถามให้และข่มขู่บรรดาผู้สังเกตุการณ์ไม่ให้สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นจนเกินงาม

ที่หน่วยเลือกตั้งอุรุพงษ์ ซึ่งตั้ง ณ สมาคมสตรีไทยอันท่านผู้หญิงละเอียดเป็นนายิกาสมาคมอยู่ก็ทำอะไรๆปัญญาอ่อนให้เขาจับได้ ก่อนจะเริ่มเปิดให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเข้าหย่อนบัตร กรรมการไม่ยอมเปิดหีบให้ประชาชนดูตามระเบียบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นหีบเปล่า นอกจากนั้นผู้สังเกตุการณ์ยังได้เห็นบัตรลงคะแนนกองอยู่บนโต๊ะกรรมการ7 ปึกใหญ่เลยขอให้เปิดดูด้วย  กรรมการไม่ยอมอีกจนเกิดโต้เถียงกันเอะอะ ประชาชนก็เฮเข้าข้างประชาธิปัตย์ ผู้กว้างขวางติดแหนบก็ตีรวนทันทีหาว่าประชาธิปัตย์พยายามก่อกวนการเลือกตั้ง เกือบจะประทะกันอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบใครโทรแจ้งเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครทราบ และผู้ว่าชะลอพร้อมสารวัตรทหารอาวุธครบมือ3นายก็บึ่งมาหย่าศึกทันเหตุการณ์พอดี เมื่อตรวจดูก็พบว่าบัตรเลือกตั้งทั้ง 7 ปึกนั้น กาหมายเลข 25-33 ของทีมเสรีมนังคศิลาไว้เรียบร้อย กะรอจังหวะที่จะยัดลงในหีบเท่านั้น พอผู้ว่าชลอสั่งให้กรรมการเปิดหีบเจ้าปัญหา กรรมการก็กระซิบว่าท่านผู้ว่าอย่าดูเลย ในนั้นมีไพ่ไฟที่ท่านเผ่าสั่งให้ใส่ไว้ทั้งนั้น ผู้ว่าชลอบอกไม่ดูก็ไม่ดู แต่ขอยึดบัตรทั้งหมด พร้อมขอหีบคะแนนนั้นไปเก็บไว้ที่มหาดไทย โดยเอาหีบใบใหม่มาสลับให้แทน

พอกลับมาถึงที่ทำงาน บัดเดี๋ยวอึดใจหนึ่งก็มีลูกน้องเอาหูโทรศัพท์มายื่นให้ พอฮาโล่ว์ไปยังไม่ทันสิ้นพยางค์ เสียงตวาดก็ลั่นสวนมาว่าไอ้ลอ มึงเอาหีบบัตรของกูกลับมาหา..อะไร ท่านผู้ว่าได้เตรียมกาย วาจา ใจ ไว้แล้วก็แถลงเหตุผลกลับไป เสียงทางโน้นก็ส่งตามสายกลับมาชัดแจ๋วว่า งั้นมึงเตรียมตัวตาย กูต้องเอามึงออกให้ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวตั้งแต่คืนนั้น ผู้ว่าก็ไม่กลับไปนอนบ้าน แต่ไปนอนที่ไหนบ้างคุณหญิงก็ยังไม่ทราบได้ เพราะแนบเนียนไปหมด

ไม่เท่านั้น ท่านยังทำหนังสือลาออกสั้นๆไปถึงจอมพลป.ในฐานะที่ควบรัฐมนตรีมหาดไทยด้วย เหตุผลนั้นคือ ไม่สามารถจะรักษาสถานการณ์แห่งการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม และไม่สามารถจะปกครองนายอำเภอบางคนได้ แต่ปลัดกระทรวงได้ช่วยขอให้จอมพลป.ระงับใบลาออกและส่งไปดูงานต่างประเทศแทน อ้างว่าเป็นการเนรเทศเพราะกะจะให้ไปเป็นปี แต่แล้วไม่กี่เดือนก็ได้กลับมานอนบ้านใหม่เพราะพล.อ.สฤษดิ์ปฏิวัติ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 134  เมื่อ 13 ส.ค. 10, 19:29

ท่านกูรูใหญ่กว่า ส่งศัพท์เทคนิคการเมืองเข้ามาในเลกเชอร์ครั้งนี้หลายคำ  เช่นไพ่ไฟ พลร่ม เวียนเทียน     คนที่เกิดทันก็คงเข้าใจว่าคืออะไร  แต่นักเรียนรุ่นเยาว์  โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองอาจนึกไม่ออก
เลยขอทำเชิงอรรถไว้ให้ค่ะ
๑   ไพ่ไฟ  คือบัตรปลอมหรือเรียกกันว่าบัตรผี      เตรียมไว้เป็นฟ่อนอย่างค.ห.ข้างบนนี้ที่เล่าไว้    สมมุติว่าเขตนี้มีผู้มีสิทธิ์ 7000 คน  ยังไงก็รู้ว่ามาลงไม่ถึงครึ่ง   เพราะหัวคะแนนบอกแล้วว่าจูงมาลงให้พรรคเป้าหมายได้แค่ 2000 คนอย่างมาก    ก็เตรียมไพ่ไฟไว้อีก 2000 ล้วนแต่ลงคะแนนให้พรรคที่ต้องการ  ถึงเวลาก็ใส่บัตรลงหีบนับรวมกันไป  ยังไงก็ต้องชนะ
๒   พลร่ม  คือกลุ่มคนจากถิ่นอื่น โดดมาจากไหนก็ไม่รู้ ถึงเวลาก็ดิ่งมาลงคะแนนในเขตเป้าหมายได้เลย  เพิ่มคะแนนเสียงให้ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ลง
๓     เวียนเทียน  คือลงคะแนนแล้ว  เวียนกลับมาลงคะแนนอีก   นับเพิ่มเข้าไปตามจำนวนหนที่ลงคะแนน ทำให้คะแนนน้อยกลายเป็นคะแนนมาก  คนจำนวนน้อยก็กลายเป็นจำนวนมาก

ชื่อคุณหลวงอังคณานุรักษ์ เหมือนจะคุ้นๆนะคะ  ยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 27
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 20 คำสั่ง