เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 27
  พิมพ์  
อ่าน: 160531 จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 285  เมื่อ 23 ส.ค. 10, 20:32

อ้างถึง
และคุณ Sirinawadee คะ ดิฉันมีหนังสือ ชีวประวัติท่าน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชเล่มที่ว่านี้ด้วยแหละค่ะ ท่านเขียนเล่าเรื่องตัวเองให้หลานฟัง และ ท่านก็เป็นคนซอยเดียวกันกับบ้านดิฉันด้วย

อ่านเพราะอยากรู้ว่า
ทำไมฟ้องเอาผิดอาชญากรสงคราม(จอมพล ป.)ไม่ได้
ว่าความเขาพระวิหารแพ้ได้อย่างไร
เป็นนายกก็ถูกเชิญให้ไปเลี้ยงหลานแทนเลี้ยงลิง
ทั้ง ๆ ที่ท่านเรียนเก่งขนาดเกียรตินิยม
อ่านจบก็ยังไม่ชัดเจนค่ะ คิดว่าทุกเรื่องมีเบื้องหลังทั้สิ้น เลยต้องมาเข้าชั้นเรียนวิชานี้ค่ะ

ไหนๆก็เข้ามาแล้ว เพื่อไม่ให้ผิดหวังมากนัก ผมจะเอาบทเขียนที่ผู้มีภูมิปัญญาระดับเดียวกันกับท่าน ได้วิจารณ์ท่านไว้ดังนี้ครับ




บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 286  เมื่อ 23 ส.ค. 10, 20:34

อีกเรื่องนึง


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 287  เมื่อ 23 ส.ค. 10, 20:37

ผู้เขียน นายบุญชนะ อัตถากร ครับ

ส่วนเรื่องอาชญากรสงครามที่เอาผิดจอมพลป.มิได้ อยู่ในมหากาพย์การเมืองตอน “หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น” หน้าตามที่โยงไว้ให้ ตั้งแต่คคห.341ไปครับ แต่ถ้าจะครบเครื่องต้องอ่านตั้งแต่คคห.1โน่นเลย แล้วอย่าลืมไปอ่านเรื่องพระยาทรงสุรเดชอีกด้วย

เอ๋..ให้การบ้านมากไปหรือเปล่า

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3419.240



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 288  เมื่อ 23 ส.ค. 10, 21:06

เคยได้ยินคำว่า ฤๅษีเลี้ยงลิง   และเคยได้ยินว่าม.ร.ว.เสนีย์เป็นนักเรียนกฎหมายที่เปรื่องปราดที่สุดของออกซฟอร์ด ขนาดมีวันเสนีย์หรืออะไรทำนองนั้นเป็นเกียรติ
ส่วนข้อหาว่าท่านควบคุมนักการเมืองในพรรคไม่ได้ ก็เคยอ่านพบเหมือนกันค่ะ  ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ในยุค 6 ตุลา 19

แต่อ่านของท่านอาจารย์บุญชนะแล้วก็เกิดคำถามกับข้อกล่าวหา     แม้ว่าไม่ใช่ปัญญาชนระดับท่านทั้งสอง แต่ก็อยากแก้ต่างให้ม.ร.ว.เสนีย์สักหน่อยว่า  ไอ้คดีที่ว่าแพ้ลูกศิษย์นั้น  อาจารย์บุญชนะก็แค่ได้ยินมา จะจริงเท็จหรือเปล่าก็ไม่อาจยืนยันได้     ต่อให้เป็นความจริงดิฉันก็ไม่รู้ว่าเนื้อหาเป็นคดีแพ่งหรืออาญาหรืออะไร  แพ้ชนะกันตรงจุดไหน     เพราะพูดเรื่องการตัดสินของศาลไทย จำได้ว่าตอนไปรับการอบรมเป็นอนุญาโตตุลาการ   ท่านผู้พิพากษาที่มาอบรมพวกเรา ท่านเอ่ยถึงบางคดีในอดีตว่า แพ้ชนะกันที่ติดอากรแสตมป์ครบหรือไม่ครบเท่านั้นเอง ดังนั้นก็อาจเป็นได้ว่าหลักฐานต่างๆนั้นไปเป็นคุณแก่ฝ่ายทนายลูกศิษย์ของท่านเสนีย์  หาใช่เพราะฝีมือท่านด้อยกว่าลูกศิษย์ไม่

ส่วนเลือกใครบางคนที่ไม่เหมาะสมแต่พวกมากลากไป หรือยอมทำตามบางเรื่องในพรรคที่มีเสียงสนับสนุนพอสมควร     ฟังตามนี้ก็เห็นว่าท่านเสนีย์น่าจะถือหลักประชาธิปไตย   คือทั้งๆท่านไม่เห็นด้วย แต่เมื่อมีเสียงยกมือสนับสนุนมากพอ ท่านก็ต้องอนุโลมตามนั้น    แต่จุดอ่อนของประชาธิปไตยไม่ว่าในพรรคหรือในรัฐสภาเป็นอย่างนี้ คือเลือกเสียงข้างมาก  แต่ไม่ได้ดูว่าเสียงข้างมากนั้นถูกหรือผิด  เหมาะสมหรือไม่เหมาะ
ท่านอาจจะเหมาะเป็นนายกฯของประเทศที่สถานการณ์บ้านเมืองสงบเรียบร้อย  ประชาชนเข้าใจระบอบประชาธิปไตยดี   จะคิดจะทำอะไรก็ถูกต้องตามระเบียบ ก้ได้นะคะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 289  เมื่อ 23 ส.ค. 10, 22:20

กลับมาที่งานบุญดีกว่าครับ

สุดท้าย ท่านจอมพลก็ได้บวชสมมารตปรารถนาที่วัดไทยในพุทธคยา วัดนี้รัฐบาลไทยสมัยท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณให้สร้างขึ้นในวาระฉลองกึ่งพุทธกาลที่รัฐบาลอินเดียเชื้อเชิญให้ชาติที่นับถือพุทธศาสนาไปสร้างวัดที่นั่น โดยรัฐบาลอินเดียจัดที่ดินให้ วัดไทยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมจำลองจากโบสถ์วัดเบญจมบพิตร  ปัจจุบันดูมีสง่าราศีกว่าวัดของชาติอื่นๆมาก

ขณะที่ท่านทำพิธีอุปสมบทนั้น ตัวโบสถ์ยังสร้างไม่เสร็จ นั่งร้านยังค้างอยู่เต็ม แต่ก็พอทำพิธีได้ ครั้งแรกท่านคิดจะนิมนต์สงฆ์ชาติต่างๆที่ตั้งวัดอยู่ที่พุทธคยานั้นมานั่งหัตถบาทในพิธีอุปสมบท เพราะท่านคิดว่าท่านเป็นบุคคลระดับinternational

 แต่พระอุปัชฌาย์ของท่านคงอธิบายว่า เพราะพระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์ไทยเป็นหีนยาน จะมีที่เหมือนกันหน่อยก็สงฆ์ของศรีลังกาและพม่า แต่สงฆ์หลายชาติที่นั่นทั้งธิเบต จีน ญวน ญี่ปุ่นเป็นมหายาน ถือพระวินัยคนละเล่ม การปฎิบัติก็แตกต่างกันมาก แม้ศรีลังกาหรือพม่าก็ไม่ยังอาจร่วมสังฆกรรมกันได้


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 290  เมื่อ 23 ส.ค. 10, 22:34

จดหมายที่พระมีถึงโยมมารดา อ่านแล้วดูดี และทำให้เพิ่งทราบว่าถึงอายุปูนนี้แล้ว แม่ของท่านจอมพลยังมีชีวิตอยู่


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 291  เมื่อ 23 ส.ค. 10, 22:48

รูปไม่ชัด เอาใหม่ครับ



บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 292  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 08:08

เดือนมีนาคม ๒๕๐๓

ณ บ้านพัก No. 9 ฮาราอิกาตา มาฉิ ชินจุกุ โตเกียว

การสนทนาและตกลงใจเกี่ยวกับการบวชของท่านจอมพลเริ่มต้นขึ้น

ท่านจอมพล  :  ความปรารถนาที่เราจะต้องทำให้สำเร็จยังมีอีกอย่างนะเธอ

ท่านผู้หญิง   :  เธอปรารถนาอะไรคะ

ท่่านจอมพล  : บวชที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียวยังไงล่ะ ก่่อนบวชฉันอยากจะได้ไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งให้ทั่วเสียก่อน

ท่านผู้หญิง   :  โมทนาสาธุ เธอขา ดิฉันดีใจเหลือเกินถ้าเธอไปบวชจริง ๆ แล้วได้บวชที่วัดไทยพุทธคยาด้วย แต่..วัดสร้างเสร็จแล้วหรือเธอ?

ท่านจอมพล  : ข่าวว่ายังไม่เสร็จดี แต่ไม่เป็นไรนี่เธอ ถ้าบวชได้ก็บวช บวชยังไม่ได้ เราก็คอยไปก่อนจนกว่าจะบวชได้ก็แล้วกัน

ท่านผู้หญิง   :  ประเสริฐเลย ตกลงแน่นะเธอ แล้วเธอตั้งใจจะไปเมื่อใด เราจะต้องเตรียมเก็บข้าวของทางบ้านนี้ เพราะเราจะไม่อยู่ แล้วก็ต้องบอกให้ลูกทางกรุงเทพฯ เตรียมเครื่องบวชให้พร้อม ส่งตรงไปที่อินเดียเลย

ท่านจอมพล  :  แน่ซี เธอเตรียมเก็บข้าวจของทางบ้านและที่จะเอาไปด้วยเถอะ แล้วเขียนจอดหมายบอกลูกทางกรุงเทพฯ ให้เตรียมเครื่องบวชให้พร้อม ฉันก็จะเขียนถึงลูกด้วย จีจะกลับกรุงเทพฯ หรือจะไปอินเดียกับพ่อแม่ล่ะลูก

จีรวัสส์         : จะมีโอกาสไหนที่เป็นบุญกุศลยิ่งกว่านี้สำหรับจี่ีที่จะได้มีโอกาสติดตามไปรับใชัคุณพ่อและจะได้ช่วยคุณแม่เวลาคุณพ่อบวช จึถือว่าจีมีบุญมากนักที่ีได้รับใช้คุณพ่อคุณแม่ที่อินเดียค่ะ

ท่านจอมพล  :  ดีแล้วลูก ได้ไปเป็นเพื่อนพ่อแม่ เราเตรียมการกันได้

 ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 293  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 08:29

^
เหมือนบทละครวิทยุเลยนะครับนั่น
.
.

ท่านจอมพลที่ครองผ้ากาสาวพัตร์เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่ได้24วัน ท่านก็ลาสิกขาตามกำหนด การหยุดชีวิตเพื่อหยุดดูตนเองแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ท่านก็เกิดปัญญาขึ้นมาก

เมื่อไม่เป็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม ท่านจอมพลมีชีวิตบนกองทุกข์ทางการเมืองมามาก แต่สมัยรุ่งเรืองท่านเสพย์ติดกับมันโดยไม่เห็น เข้าใจผิดนึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกเช่นเดียวกับความสุข เดี๋ยวอันโน้นก็มาเดี๋ยวอันนี้ก็ไป บัดนี้ท่านพอจะเข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องของกิเลศมนุษย์ทั้งสิ้น แม้แต่การเมืองในระบบสังคมของโลก



บันทึกการเข้า
proudtobethai
มัจฉานุ
**
ตอบ: 79


ความคิดเห็นที่ 294  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 08:49

แวะเข้ามาเช็คชื่อค่ะ
ช่วงนี้งานยุ่งมากๆ แถมคอมพิวเตอร์ก็ไม่ดีอีก นานๆจะได้เข้ามารายงานตัวซักครั้ง
ขอตัวไปตามบทเรียนก่อนหน้านี้ก่อนนะคะ  ยิ้มกว้างๆ เดี๋ยวคอมพิวเตอร์เกเร อดอ่านกันพอดี
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 295  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 09:08

^
เอาเลยครับ ไม่ต้องรีบ

ท่านจอมพลกลับจากอินเดียไปอยู่ที่ญี่ปุ่นในบ้านเช่าหลังหนึ่ง คงจะเห็นว่าไม่ควรจะรบกวนเจ้าของบ้านเดิมที่ให้อยู่ฟรีๆในระหว่างที่ยังไม่ทราบจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรนั้นอีกต่อไปแล้ว ท่านจัดการให้ขายสมบัตินอกกายรวมทั้งที่ดินในกรุงเทพเพื่อจะไปปักหลักชีวิตระยาวของท่านในญี่ปุ่น ด้วยว่าโอกาสจะกลับมาเมืองไทยขณะนั้นยังมองไม่เห็น

หลายปีต่อมา ธรรมะของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ซึมซับไว้ยังคงอยู่ และทำให้จิตท่านสงบลงด้วยอโหสิกรรมแท้จริง ดังที่สะท้อนออกมาในจดหมาย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 296  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 09:21

แล้วจอมพลสฤษดิ์ก็เสียชีวิตไปก่อนท่านในวันที่8ธันวาคม2506
ศพยังไม่ทันเผา หนังสือพิมพ์ก็เริ่มลงข่าวถึงขุมทรัพย์อันมหาศาล ว่ากันว่ามีถึงพันล้านบาททีเดียว

เงินพันล้านบาทสมัยนั้นฟังดูมากมายมหาศาล ถ้าเทียบสมัยนี้ก็คูณ10เข้าไป นักการเมืองไทยยุคหลังนี้เห็นตัวเลขแล้วคงจะยิ้มๆ
หมื่นล้านนี่มันฝีมือเด็กๆ

ท่านจอมพลท่านปลงจริงๆ รวมถึงประโยคสุดท้ายที่ผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายช่วยแปลความกันด้วย


บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 297  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 10:36

กราบขอบพระคุณ ๆ Navarat C ที่ให้ความกระจ่าง และ ให้การบ้านกองโต จะตามไปอ่านแน่ ๆ ไม่ลดละค่ะ

ประเด็นที่สงสัยนั้น คือ เรื่องร่องรอยของการแทรกแซงจากตะวันตก ที่ทำให้บ้านเมืองเราในช่วง2490 เป็นต้นมาเริ่มวิปริต

แม้แต่กรณีแพ้คดีเขาพระวิหาร ก็มีข่าวว่า คนในกระทรวงต่างประเทศนั่นเองที่ แอบซ่อนหลักฐานสำคัญไว้ หรือ เอาไปให้ฝ่ายตรงกันข้าม ดังนั้น ขอให้ benefit of doubt แก่อาจารย์เสนีย์ในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการตั้งข้อสังเกตุของอาจารย์เทาชมพุที่ว่า
อ้างถึง
ดังนั้นก็อาจเป็นได้ว่าหลักฐานต่างๆนั้นไปเป็นคุณแก่ฝ่ายทนายลูกศิษย์ของท่านเสนีย์  หาใช่เพราะฝีมือท่านด้อยกว่าลูกศิษย์ไม่

ในหนังสือชีวประวัติ ม.ร.ว.เสนีย์ มีรูปสีน้ำมันฝีมือของท่าน และ ผลงานโคลงกลอน รวมทั้ง ภาพที่มีความสุขกับเปียโน
ดิฉันออกจะเห็นด้วยกับคุณ Navarat ว่าท่านเป็นศิลปินมากกว่าอย่างอื่น

และการเมือง เป็นเรื่องของอำนาจ และ การรักษาดุลย์อำนาจ ต้องมีความรู้ทั้ง ศาสตร์และ ศิลป์ที่จะผสมผสานกันได้อย่างมี ประสิทธิภาพค่ะ

ภาพข้างล่างนี้ เอามากฝากอาจารย์เทาชมพูค่ะ ตัดมาจากหนังสือประวัติคุณจำกัด พลางกูรค่ะ คงจะตอบได้ดีว่า บ้านใครอยู่ตรงไหนในซอยดังกล่าว




บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 298  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 10:43

จอมพลป.ท่านอยู่ในฐานะที่จะเข้าใจโลกธรรม ๘  มีสุขก็เสื่อมสุข  มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา  ก็มักจะปลงได้เป็นธรรมดา   คนส่วนใหญ่มักจะปลงได้ต่อเมื่อประสบด้วยตัวเองครบ ๘ อย่างแล้ว  แต่ถ้าปลงได้ตั้งแต่ยังมีแค่สุข ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยยังไม่ทันเสื่อม  ก็จะปล่อยวางได้มากกว่า  มีทุกข์น้อยกว่า
การบ้านในประโยคสุดท้ายที่คุณนวรัตนให้ไว้   ว่า " เป็นเรื่องตามโบราณเขาทำกันมา"   ไม่รู้ท่านจอมพลคิดอะไร  ดิฉันขอเดาว่า ท่านคงเห็นว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการสะสมเงินทองของคนใหญ่โต    เขาก็ทำกันมาแต่โบราณแล้ว  ไม่แปลกอะไร
อ่านประโยคแค่นี้ ไม่มีขยายความ เลยเดาต่อไม่ถูกว่าท่านเจาะจงหมายถึงใครเป็นพิเศษหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 299  เมื่อ 24 ส.ค. 10, 10:53

เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยสำหรับเรื่องบ้านม.ร.ว.เสนีย์นะคะ

หัวมุมปากซอยร่วมฤดี มี 2 ด้าน ๆ ที่ติดกับทางรถไฟ และ ด้านที่เคยเป็นอาคารร่วมฤดีที่ติดกับมหาทุนพลาซ่า

บ้านคุณจำกัด คือ หัวมุมตรงอาคารร่วมฤดี เลขที่ 566  ต่อมาเป็นของ รศ. สลวย กรุแก้ว
ตัวบ้านเดิม ยังพอมองเห็นได้สมัยที่อาคารร่วมฤดียังอยู่ เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สีเทา ๆ แอบอยู่ด้านหลัง
ปัจจุบันรื้อถอนหมดแล้ว

และ ฝั่งเดียวกัน ถัดเข้าไป ไม่ลึกนัก ก็เป็นที่ดินของ ม.ร.ว.บุญรับ ที่เคยให้อาจารย์เสนีย์พักอาศัยตอนเป็นอาจารย์สอนกฏหมาย ก่อนต้องไปเป็นทูต

พอเกิดสงคราม ญี่ปุ่นเข้าไปยึดอาศัย และ ทำบ้านโทรมจนกลับเข้าไปไม่ได้ ท่านต้องย้ายไปอาศัยบ้านที่ซอยพระพินิจชนคดี และต่อมา ต้องเอาบ้านนี้ให้คนเช่า หลังจากถูกปลดจากราชการในตำแหน่งสุดท้าย คือ นายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
เพราะ บำนาญ 600 บาท ไม่พอเลี้ยงครอบครัวค่ะ ท่านต้องว่าความ และประกอบอาชีพอิสระ จนสามารถสร้างบ้านที่เอกมัยได้ค่ะ

เรืองเหล่านี้ ท่านเล่าไว้ในชีวประวัติท่านค่ะ คนในซอยร่วมฤดี เรียกแถวเพลินจิตว่า สวนฝรั่ง ไม่แน่ใจว่า เพราะมีสวนฝรั่ง หรือ เพราะมีบ้านฝรั่งเยอะ ก็ไม่ทราบ

เกรงใจเจ้าของกระทู้ค่ะ จะหลบไปคุยเรื่องบ้านที่กระทู้บ้านโบราณดีกว่า ตอนนี้ขอไปทำการบ้านที่อาจารย์ Navarat C ให้ไว้ก่อนค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 27
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.064 วินาที กับ 19 คำสั่ง