SILA
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 21 ก.ค. 10, 14:09
|
|
ถึงต้นศตวรรษที่ 20 การรักษาด้วยวิธีนี้จึงเริ่มลดบทบาทลงไป เมื่อมีการค้นพบความรู้และการรักษา ใหม่ๆ ทางการแพทย์ในโลกตะวันตก (แต่ไม่ถึงกับสูญหาย ยังคงถูกเขียนไว้ในตำราอายุรกรรม Principles and Practice of Medicine ปีพิมพ์ 1923 โดย Sir William Osler หนึ่งในแพทย์ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นไอคอนของการแพทย์สมัยใหม่)
รักษาสารพัดโรค
สารพัดโรคที่ตำราระบุว่าวิธีการนี้ใช้รักษาได้ ประกอบด้วย สิว หอบหืด มะเร็ง อหิวาต์ โคม่า ลมชัก เบาหวาน เกาท์ เนื้อตาย อาหารไม่ย่อย โรคจิต โรคเรื้อน กาฬโรค ทรพิษ วัณโรค อัมพาต และ โรคอื่นๆ อีกมากมาย นับร้อยโรค นอกจากนี้ยังใช้รักษาภาวะเลือดออก รวมถึงเลือดกำเดา ประจำเดือนมากผิดปกติ เลือดออกที่ริดสีดวงทวาร
(อธิบายตามหลักวิชาการสำหรับ การหลั่งเลือดเพื่อรักษาภาวะเลือดออกในอวัยวะบางแห่งนั้น ผู้ป่วยที่รอดตาย คงจะยังไม่ถึงฆาต หรือร่างกายมีกลไกสำรอง ปรับตัวจนหายได้ เพราะเมื่อผู้ป่วย เสียเลือดไป ปริมาณเลือดไหลเวียนในร่างจะลดลง ความดันโลหิตตก เมื่อถูกทำให้เสียเลือดมากขึ้นไปอีก ก็จะยิ่งทำให้ความดันตกลงไปอีก บางรายอาจจะใกล้ช็อค ณ จุดนี้ ที่ความดันต่ำลงมาก หลอดเลือดหดตัว เลือดที่ไหลเวียนไปสู่อวัยวะที่มีเลือดออกก็จะลดลงไปด้วย ร่วมกับขบวนการแข็งตัวของเลือดทำให้การตกเลือดลดลง ผู้ป่วยที่ร่างกายแข็งแรง บุญยังมี (เกือบ)ช็อคไม่รุนแรงและไม่นาน ก็คงจะรอด แต่ ถ้าช็อครุนแรง ร่างกายไม่แข็งแรง แน่นอนว่าไม่รอด)
ผู้ป่วยคนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เป็นตัวอย่างให้ได้เรียนรู้ถึงผลเสียหายร้ายแรงถึงตาย จากการเสียเลือดเพราะรักษา(ผิด)ด้วยวิธีนี้ก็คือ ประธานาธิบดี George Washington แห่งอเมริกา เมื่อปี 1799 ท่านได้รับการทำ bloodletting เพื่อรักษาการติดเชื้อในลำคอที่เรียกว่า - quinsy (ฝีหนองบริเวณปริทอนซิล - Peritonsillar abscess) แล้วเชื้อลุกลามถึงกล่องเสียง และปอด(ในยุคที่ไม่มียาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ) ท่านถูกเจาะเลือดออกไปมากถึง 5 pints (1.7 ลิตร) หรืออาจจะมากกว่า แล้วจึงเสียชีวิตลง ไม่นานหลังจากนั้น กล่าวได้ว่าท่านตายจากภาวะช็อคเพราะ ถูกเจาะเลือดออกอย่างมากมาย ร่วมกับภาวะติดเชื้อ ทางเดินหายใจที่รุนแรง ร่างกายขาดน้ำ และมีอาการหายใจลำบาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CVT
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 21 ก.ค. 10, 15:07
|
|
ขอบคุณ คุณ Sila มากครับ ที่มาช่วย ผมนึกคำ phlebotomy กับ Bloodletting ไม่ออกเลย น่าขายหน้าจริงๆ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 21 ก.ค. 10, 15:26
|
|
ยินดี ครับ เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเทียบกับบทความที่อาจารย์, คุณ NAVARAT C คุณวันดี คุณเพ็ญ คุณหลวง และท่านอื่นๆ พากเพียรเขียนลงกระทู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 22 ก.ค. 10, 10:55
|
|
ความไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรค ทั้งสาเหตุ พยาธิวิทยา กลไกการเกิด ยาและการรักษาที่ได้ผล ทำให้การรักษาด้วยวิธีที่ผิดๆ เช่น การดึงเลือดออกนี้คงอยู่ต่อเนื่องได้ยาวนาน เพราะคนไข้ไม่มีทางเลือก อย่างน้อยก็ยัง ได้ชื่อว่า ได้รับการรักษา และการทำอะไร "มากมาย ไม่น้อย" เช่นนี้ คงจะมีผลต่อผู้ป่วยทางจิตใจที่เรียกว่า placebo effect จากศรัทธา ความคาดหวังผลที่ดี ทำให้ผู้ป่วย(ปรุงแต่งความ)รู้สึกมีอาการดีขึ้น หลังได้รับการรักษาแล้ว ทว่าในความเป็นจริงแล้ว คนที่รอดตาย ทั้งที่โดนซ้ำเติมด้วยการดึงเลือดออกไปมากมายนั้น น่าจะ เป็นผู้ที่ยังไม่หมดบุญในโลกนี้ ร่างกายยังมีกลไกสำรองเข้มแข็งที่สามารถรักษาตัวเองให้หายไม่ตายได้ หรือ เป็นผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก และถูกดึงเลือดออกไปเล็กน้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 22 ก.ค. 10, 10:58
|
|
หลั่งเลือดรักษาโรคในโลกปัจจุบัน
เป็นที่ชัดเจนและยอมรับไปทั่วแล้วว่า การดึงเลือดออกนั้นนอกจากจะไม่มีประโยชน์ทางการรักษาแล้ว ยังเป็นอันตรายอย่างมาก ยกเว้น ในบางโรคที่วิธีการนี้มีประโยชน์และใช้เป็นวิธีรักษา ได้แก่ hemochromatosis (ภาวะเหล็กเกินในร่างกาย ประเภทที่เกิดจากสาเหตุทางกรรมพันธุ์) ภาวะหัวใจล้มเหลวจนน้ำท่วมปอด (- ไม่ทำแล้ว) และ polycythemia vera (ภาวะเลือดข้นเนื่องจาก จำนวนเม็ดเลือดแดงสูงขึ้น จากโรคไขกระดูก ไม่ใช่เลือดข้น จากการเป็นไข้ ขาดน้ำ หรือในคนสูบบุหรี่จัด คนอาศัยอยู่ในที่สูง อ็อกซิเจนจาง) ซึ่งจะเรียกกันว่า bloodletting
ส่วน phlebotomy นั้นปัจจุบันใช้กับการดูดเลือดจำนวนไม่มากเพื่อนำส่งตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 22 ก.ค. 10, 11:04
|
|
เมื่อมองจากปัจจุบันย้อนไปในอดีต ได้พบกับความเชื่อ การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องต่างๆ แล้วสะท้อนถอนใจ บางคนอาจจะเห็นเป็นขบขันปนเย้ยหยัน เพราะเราใช้มาตรฐานปัจจุบัน เป็นตัวตั้งตัดสิน แต่หากลองจินตนาการไปข้างหน้าสัก 50 - 100 ปี พวกเราก็อาจจะเป็นฝ่ายถูกมอง โดยคนรุ่นนั้นอย่างน่าเห็นใจปนขันเช่นกัน - ถ้า ตอนนั้นโลกยังอยู่ และอยู่อย่างเจริญก้าวไกล ไม่เกิดวิกฤตจนถดถอยไปล้าหลังตั้งต้นใหม่
ภาพ - July 26, 2009
แพทย์ชาว Palestinian ให้การรักษาผู้ป่วยชายด้วยวิธีการ bloodletting และ cupping ที่ค่ายผุ้อพยพ - Rafah refugee camp ในฉนวน - Gaza Strip คำบรรยายบอกสรรพคุณของการรักษาด้วยวิธีนี้ว่า ใช้ได้กับ โรคไขข้อ rheumatism, มะเร็ง, เป็นหมัน, ความดันโลหิตสูง, ปวดหลัง, ผื่นผิวหนังอักเสบ,เบาหวาน และ ฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 22 ก.ค. 10, 11:25
|
|
ภาพสำหรับคุณ CVT ครับ
มีรายงานภาวะกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจากการทำ bloodletting with cupping ต่อเนื่องจนทำให้เกิดภาวะซีดรุนแรงเรื้อรังและหัวใจโต
Echocardiography (อัลตราซาวนด์หัวใจ) เปรียบเทียบ ซ้าย (A) - หัวใจโต และ ขวา (B) - สามเดือนต่อมาหัวใจมีขนาดลดลงเป็นปกติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 22 ก.ค. 10, 13:19
|
|
หมอฝรั่งที่รักษาพระยาทรงสุรเดช ให้ท่านเสียเลือดไปไม่มากก็น้อย อาจทำให้สุขภาพท่านทรุดฮวบ ถึงขั้นนำไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นไปได้ไหมคะ เพราะท่านอายุห้าสิบกว่าแล้ว ลำบากตรากตรำมามาก พอป่วยเข้า เลยไปง่ายๆ ไปค้นรูป bloodletting มา เห็นแต่ละรูปแล้วไม่อยากเอามาลง ใครอยากเห็นลองไปเสิชดูเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 22 ก.ค. 10, 16:13
|
|
พระยาทรงฯ น่าจะมีสุขภาพทรุดโทรมจากการตรากตรำและความเครียด และโรคประจำตัวตามวัย เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ครั้นเจ็บป่วยยารักษาก็ไม่มี ในวันแรกที่ทำ bloodletting แล้วได้ยาถ่ายในผู้ป่วยที่(น่าจะ)กินได้น้อย ย่อมมีผลเสียทำให้ร่างกาย"ขาดน้ำ"ได้ (จากการเสียเลือดและขับถ่าย) แต่ไม่ชัดมากแบบ กรณีท่านประธานาธิบดีวอชิงตัน เมื่อเจาะเลือดในครั้งที่สองแล้วไม่ได้เลือด แสดงว่า ความดัน หัวใจ การไหลเวียน ทรุดลงแล้ว การกรีดและ cupping คงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่พอดีกับภาวะหัวใจอ่อนแรง จนในที่สุดเต้นไม่ไหว ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 22 ก.ค. 10, 22:02
|
|
ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน ขอบพระคุณที่ได้ค้นคว้าความรู้ดีๆเช่นนี้มาฝากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 23 ก.ค. 10, 08:08
|
|
สนใจปลิง (leech) ที่คุณศิลาเอ่ยถึง อยากรู้ว่ามันเป็นปลิงชนิดไหนกันแน่ เหมือนกับปลิงที่อยู่ตามห้วยหนองคลองบึงสมัยดิฉันยังเด็กๆอยู่หรือเปล่าคะ
หนุ่มสาวชาวกรุงเทพคงไม่รู้จักปลิง เหมือนไม่รู้จักหมามุ่ย เลยเอารูปมาให้ดูค่ะ
คนไทยสมัยโบราณรู้จักปลิงเป็นอย่างดี น่าจะเจอกันบ่อยๆเพราะทุ่งนาล้อมรอบเมืองอยู่ ใครอยู่หัวเมืองนาก็อยู่ติดบ้าน จึงมีสำนวนว่า "กินน้ำเห็นปลิง" แปลความหมายคล้ายๆ หอกข้างแคร่ แต่ค่อนไปในทางตะขิดตะขวง รังเกียจ ไม่สนิทใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 23 ก.ค. 10, 13:56
|
|
ย่นย่อจากคุณวิกี้ ครับ
ปลิงจัดเป็นสัตว์กลุ่ม (phylum) annelida ("ringed worms" จาก Latin - anellus - "little ring") ที่ประกอบด้วยสัตว์จำพวกหนอนปล้อง - segmented worms อยู่ใน class Hirudinea มีทั้งพวกที่อาศัยอยู่ในน้ำจืด น้ำทะเล (Aquatic Leech) และบนดิน (Land Leech) เป็นสัตว์สองเพศในตัวเดียว ปลิงส่วนใหญ่จะไม่ดูดเลือดคน เหยื่อของมันคือสัตว์ไร้กระดูกสันหลัง ที่มันจะกินทั้งตัว
พวกที่กินเลือด - haematophagous leeches ถูกนำใช้ในการรักษาเป็น Medicinal leeches มีหลาย species ด้วยกัน แต่ที่แพร่หลายที่สุดคือ Hirudo medicinalis - the European medicinal leech
ส่วนชนิดอื่นร่วม genus ที่นำมาใช้ได้ ได้แก่ Hirudo orientalis, Hirudo troctina, Hirudo verbana, ของ Mexican ก็มี Hirudinaria manillensis และ ปลิงของ North American คือ Macrobdella decora
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 23 ก.ค. 10, 13:58
|
|
เจ้าปลิงนี้มี แว่นดูด - sucker อยู่ที่ด้านหน้าและด้านท้าย โดยแว่นท้ายใช้ยึดเกาะ ส่วน แว่นหน้านั้นประกอบด้วยขากรรไกร และ ฟัน พัฒนาการของสัตว์ดูดเลือดชนิดนี้ทำให้มันมีถึง สามขากรรไกร ที่มีลักษณะเหมือนเลื่อย แต่ละเลื่อยประกอบด้วยฟันคมนับร้อย เวลาที่มันดูดเลือด มันจะปล่อยสารที่ทำให้เหยื่อชาไม่รู้สึกเจ็บ และ เอ็นไซม์จากต่อมน้ำลาย เพื่อให้เลือดไม่แข็งตัว เรียกว่า hirudin และ สารประเภท Histamine ช่วยกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว บันทึกการใช้ปลิงทางการรักษาที่เก่าแก่ที่สุด โดย แพทย์ Greek - Nicander in Colophon (197-130 BC)และปัจจุบัน ยังมีการใช้ปลิงในทางศัลยกรรมโดยเฉพาะการผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์และ ศัลยกรรมตกแต่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 23 ก.ค. 10, 14:18
|
|
และปัจจุบัน ยังมีการใช้ปลิงในทางศัลยกรรมโดยเฉพาะการผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์และ ศัลยกรรมตกแต่ง เอาปลิงเข้าไปช่วยยังไงคะ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
proudtobethai
มัจฉานุ
 
ตอบ: 79
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 23 ก.ค. 10, 14:23
|
|
อื๋ออออ น่ากลัวจังค่ะ .. สมัยเด็กๆเคยเห็นพี่โดนปลิงเกาะบ่อยๆ เพราะชอบไปเล่นน้ำคลอง เลยกลัวปลิงไปเลยค่ะ... แต่เอาปลิงมารักษาโรคนี่ คงต้องมองปลิงใหม่เสียแล้วนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|