ประวัติเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี(บุญศรี)
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก บุญศรีถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ต่อมาได้เป็นมหาดเล็กรายงานตรวจอาหารช้างเผือก
ครั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่านได้เป็นนายเวรมหาดเล็กในเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี
เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีสิ้นพระชนม์และถวายพระเพลิงแล้ว ท่านจึงไปถวายตัวในวังกลาง คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่ยังทรงกรมเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ อธิบดีกรมท่าว่าราชการต่างประเทศ ทรงบังคับบัญชาการกรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตำรวจหน้าแลหลัง ทรวกำกับกรมลูกขุนศาลหลวง แลเป็นอธิบดีศาลฎีกา
บุญศรี กำกับบัญชีกลาง กรมพระคลังมหาสมบัติ คู่กับ พระยาราชมนตรี(ภู่) นายบุญศรีมีหน้าที่บันทุกสินค้าลงสำเภา เมื่อถึงฤดูมรสุมสำเภาจะออกไปค้าขายเมืองจีน จึงเป็นผู้ชำนาญในกิจการทั้งปวงในกรมท่า ได้เป็นจ่ารงหุ้มแพร ได้เป็นผู้ครวจราชการโรงทองและพระคลังทอง โปรด ฯ เลื่อนเป็น จมื่นไวยวรนาถมหาดเล็กเวรขวา ได้กำกับกรมหมอ และ กรมลูกขุนศาลหลวง ได้เลื่อนเป็นพระยาพิพัฒน์โกษาปลัดทูลฉลองกรมท่า ได้รับพระราชทานเงินกลางปี
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรด ฯ เลื่อนเป็น พระยามหาอำมาตย์ แล้วเลื่อนเป็นเจ้าพระยาธรรมาธิกรณอธิบดี เสนาบดีกรมวัง
ในรัชกาลที่ ๕ โปรด ฯ เลื่อนเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี จางวางกรมวัง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่ออายุ ๘๖ ปี ๖ เดือน
ได้เทียบเคียงกับ การตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่มสีน้ำเงินแล้ว มหามุขมาตยา ฯ ให้รายละเอียดน่าอ่าน
ตอนที่เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ ปี ๒๔๑๗ มีข่าวลงในราชกิจจาฯ ปี ๒๔๑๗ หน้า ๑๕๓ ด้วย เนื้อความยาวเต็ม ๑ กระดาษ ดังนี้ (โดยสังเขป)
ข่าวตาย
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (บุญศรี) ม.ส.ม., ป.จ. เดิมเปนมหาดเล็กในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย
ครั้นล่วงแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ ขึ้นสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย
ท่านไม่ได้รับราชการจนสิ้นแผ่นดิน ด้วยท่านระแวงความผิด เพราะท่านเปนพระญาติอยู่ในกรมมหื่นศรีสุเรนทร์ กรมหมื่นศรีสุเรนทร์นั้นเปนโทษเมื่อในรัชกาลที่ ๒ ท่านจึงออกจากมหาดเล็กหลวง ไปเปนนายเวรมหาดเล็กอยู่ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ครั้นสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์น้นสิ้นพระชนม์แล้ว ท่านจึงได้มาฝากตัวอยู่ในพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ให้ทรงใช้สอย
ครั้นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ แล้ว จึ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นที่จ่ารง โดยโปรดเกล้าฯ ให้กำกับการโรงทอง ต่อมาได้เลื่อนเป็นที่เจ้าหมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็กเวรฤทธิ์ ในครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้ดูแลการในกรมหมอด้วย
ต่อมา รัชกาลที่ ๓ ทรงเล็งเห็นว่าท่านควรจะรับราชการในตำแหน่งกรมท่าได้ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่พระพิพัฒโกษา ปลัดทูลฉลองกรมท่า ได้รับพระราชทานเครื่องยศ ถาดหมากทองคำ ๑ เต้าน้ำทองคำ ๑ กระโถนทองคำ ๑ กับ
ได้กำกับดูแลการช่าง ทำพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย กับพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ทั้งสององค์ นอกจากนี้ยังได้รับทำกรอบคัมภีร์งาแกะเปนลวดลายต่างๆ ทูลเกล้าฯ ถวายจนจบพระไตรปิฎกจบหนึ่ง
เมื่อล่วงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว เมื่อขึ้นสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเห็นว่า ท่านเปนผู้ใหญ่แลได้คุ้นเคยชอบพระราชอัธยาศัยมาแต่ก่อน จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่พระยามหาอำมาตย์ รับพระราชทานเครื่องยศ พานหมากเหลี่ยมทองคำ แล้วมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปนแม่กองสักเลข ฝ่ายหัวเมืองขึ้นในกรมมหาดไทย ท่านได้ขึ้นไปตั้งกองสักเลขอยู่ที่เมืองพิษณุโลก นอกจากนั้น
ท่านยังได้ทำตาลปัตรแฉกพุ่มข้าวบิณฑ์ แกะด้วยงาล้วน จำนวน ๑ คัน นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมา รัชกาลที่ ๔ ได้ถวายตาลปัตรแฉกงานั้นแด่กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ท่านได้สถาปนาพระอารามไว้ในตำบลที่ท่านเกิดอารามหนึ่ง รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯพระราชทานนามอารามนั้นว่า วัดบุญศิริมาตยาราม แล้วได้เลื่อนที่เป็นเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี ที่จตุสดมภ์ในกรมวัง
รับพระราชทานเงินรายวัน วันละ ๒ สลึง เบี้ยหวัด เดิมได้รับพระราชทานอยู่ ๗ ชั่ง ทรงเพิ่มขึ้นอีก ๘ ชั่ง รวมเป็น ๑๕ ชั่ง ในการพระราชพิธีสงกรานต์ ทรงรดน้ำ พระราชทานเงินตรา ปีละ ๑๐ ตำลึง ผ้าเสื้อ ๒ สำรับบ้าง ๓ สำรับบ้าง ทุกปีเสมอมา ครั้นล่วงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว ขึ้นแผ่นดินรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระราชดำริว่า ท่านชราภาพมาก จะให้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไป เห็นจะไม่ไหว จึงได้พระราชทานความสุข โดยโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี เป็นใหญ่ในตามที่ในกรมวัง พระราชทานตรามหาสุราภรร์มงกุฎสยาม ๑ และตราปฐมจุลจอมเกล้า ๑ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังได้พระราชทานเงินตรารดน้ำประจำเทศกาลสงกรานต์ ปีละ ๑๐ ตำลึง ผ้าเสื้อ ๒ สำรับบ้าง ๓ สำรับบ้าง เป็นเสมอมา ส่วนเบียหวัด เงินเดือนซึ่งได้เคยรับพระราชทานมาแต่ครั้งรัชกาลก่อน ก็ดปรดเกล้าฯ พระราชทานคงเดิม ไม่ได้ลดหย่อนแม้แต่น้อยหนึ่ง ท่านรับราชการล่วงมา ๔ แผ่นดิน ด้วยความสุจริต และปฏิบัติตนอยู่ในชอบธรรม
ต่อมา วันเดือนแปดบุรพาสาธ ขึ้นสามค่ำ ปีจอฉศก ท่านป่วยขัดปัสสาวะ ถ่ายปัสสาวะเป็นโลหิต รับประทานอาหารได้น้อยเท่าฝาถ้วยเล็ก นอนไม่หลับ พระประสิทธฺหัดถา หมอวังหน้า มารักษาอาการคลายลงแต่ยังแปรไป เป็นถ่ายวันละ ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง ๑๑ ครั้ง ๑๒ ครั้ง ได้หาหมอหลวงหมอเชลยศักดิ์มารักษา อาการก็ไม่ทุเลาลง รับประทานอาหารได้มื้อละช้อน หรือบางมื้อรับประทานอาหารไม่ได้ มือเท้าบวม ความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร ๕ ไตร ผ้าขาว ๘๐ ศอก ๑๐ พับมาให้ท่านทำบุญ แต่นั้นมาอาการของท่านก็อ่อนระหวยมากขึ้น
ครั้นวันพฤหัสบดี เดือน เก้า ขึ้นแปดค่ำ เวลา ๑๑ ทุ่ม เศษ ท่านถึงแก่อสัญกรรม อายุได้ ๘๖ ปี ๖ เดือน โปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศเหลี่ยมตู้บรรจุศพ ตั้งบนเครื่องชั้น ๒ ชั้น เครื่องสูงลายทอง ๘ คัน กลองชนะ ๕ คู่ จ่าปี่ ประโคมตามตำแหน่งยศ