เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 46
  พิมพ์  
อ่าน: 328796 ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในสี่ทหารเสือคณะราษฎร์
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 135  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 16:58

^
^
ประวัติศาสตร์ย้อนรอยเสมอ อาจเปลี่ยนฉาก เปลี่ยนตัวละครบ้าง แต่เนื้อหาก็เดิมๆ เป็นกงกรรมกงเกวียน ยินดีที่คุณเข้ามาอ่านนะครับ เราต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไว้ หากมีเหตุการณ์ใดเวียนกลับมา จะได้ไม่ทำผิดๆซ้ำซาก
.
.
ก่อนจะติดตามชะตาชีวิตของพระยาทรงในอินโดจีนต่อไป เรามาทำความรู้จักกับประเทศนี้ในสมัยนั้นกันสักหน่อยก่อนดีกว่าไหมครับ
.
.
เมื่อฝรั่งเศสได้ญวนเป็นอาณานิคมแล้ว ก็ข่มขู่ว่าลาวและเขมรเป็นเมืองขึ้นของญวน หาเรื่องเข้ายึดดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงทั้งหมดที่สยามครอบครองอยู่เดิม อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของลาวและเขมรด้วย ผมคงไม่ต้องย้อนเรื่องไปถึงนะครับ ฝรั่งเศสเรียกประเทศใหม่ที่ยึดมาเป็นอาณานิคมของตนรวมกันว่าอินโดจีน แบ่งการปกครองออกโดยนิตินัยเป็นลาว เขมรและญวนดังเดิมที่ยังยอมให้มีกษัตริย์เก่าเป็นพระประมุขแบบหุ่นเชิด แต่โดยพฤตินัยแล้วฝรั่งเศสจะสั่งเอาอย่างไรก็ย่อมได้ ในอาณานิคมนี้ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะมีทรัพยากรให้กอบโกยมากนัก ฝรั่งเศสจึงใช้เป็นที่เนรเทศข้าราชการที่ไม่พึงปรารถนามาทำงาน เหมือนเมืองไทยสมัยก่อนที่เอะอะก็สั่งย้ายคนที่ควรจะไล่ออกไปอยู่แม่ฮ่องสอน คนพวกนี้ถ้าไม่อยู่ไปวันๆก็เป็นนักฉวยโอกาส หาทางกอบโกยให้ตุงกระเป๋าก่อนจะหมดเทอมแล้วย้ายกลับบ้าน ดังนั้นการได้อาณานิคมนี้มา รัฐบาลฝรั่งเศสดีดยี่ต็อกแล้วไม่ค่อยจะคุ้มเท่าไร เงินที่ลงทุนไปกับการก่อสร้างอาคารสถานที่ราชการต่างๆก็หมดไปเยอะ และยังต้องจ่ายงบประมาณประจำปีเป็นค่าบริหารจัดการกับเงินเดือนข้าราชการที่ว่าห่วยๆนั้นอีก ไม่สมดุลย์กับรายรับ ปิดงบทีไรติดลบทุกปี ไม่เหมือนกับอังกฤษที่ได้สินแร่ดีบุกมหาศาลในมลายู สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ สิงคโปร์ก็เป็นทำเลเหมาะสำหรับการเป็นเมืองท่าสำคัญของภูมิภาค พม่ามีไม้สัก ข้าวและทับทิม แม้ในญวนแม้จะยังค่อยยังชั่วหน่อยเพราะผลิตข้าวได้มาก แต่ในเขมรและลาว ฝรั่งเศสขาดทุนย่อยยับ




บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 136  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 17:15

บ้านเมืองในไซ่ง่อนเมืองหลวงทางญวนใต้ที่ฝรั่งเศสเรียกโคชินจีน Cochinchine (โคชินไชน่า)นั้นสวยงามดีอยู่ เพราะฝรั่งเศสก็อยากให้ทัดเทียมกับแรงกูน(ยั่งกุ้ง)ในพม่า และสิงคโปรของอังกฤษ แต่ก็สวยงามเฉพาะอาณาบริเวณที่พวกตนอยู่ ส่วนของคนญวนก็สกปรกตามสภาพ ยิ่งคนญวนนิยมฝังศพคนในครอบครัวที่บ้าน เมืองทั้งเมืองจึงดูราวกับสุสาน (เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นสภาพนี้) ความเป็นอยู่ทั่วไปคนต้องตีนถีบปากกัด หารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องและเสียภาษี  ฝรั่งเศสออกกฏหมายเก็บภาษีราษฎรแบบเหมาจ่าย กำนันของแต่ละตำบลเป็นผู้รับภาระแบบนายอากรสมัยต้นรัตนโกสินทร์ จ่ายให้รัฐบาลเป็นก้อนใหญ่แล้วไปหาทางรีดภาษีจากลูกบ้านเอาเอง ถ้ามีคนไปทำความเสียหายให้กับสิ่งของสาธารณะเช่นสะพาน ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ซ่อมไปเท่าไหร่เรียกเก็บจากคนในตำบลนั้น5เท่า จ่ายเป็นเงินไม่ได้ก็ยึดทรัพย์ไปตามมูลค่า เมื่อรถยนต์ที่มีคนฝรั่งเศสนั่งอยู่แล่นไปตามชนบท ชาวบ้านข้างถนนเห็นแล้วต้องเปิดหมวกกุยเล้ยเป็นการเคารพ ตามร้านอาหาร คอฟฟี่ช็อปในเมือง ถ้าคนฝรั่งเศสเข้าไปแล้วชี้จะเอาที่นั่งตรงไหน คนที่นั่งอยู่ก่อนต้องลุก ถ้าไม่ลุกเจ้าของร้านมีหน้าที่ออกมาช่วยกันไล่ตะเพิด โสเภณีต้องตีตั๋วเป็นการเสียภาษี ถ้าไม่มีแล้วถูกจับได้จะถูกนำไปขังในค่ายกักกันพิเศษ เป็นเหยื่อปลดปล่อยทางกามารมณ์ของพวกทหารต่างด้าว และทหารเกณฑ์ที่นำมาจากเมืองขึ้นทางอ้ฟริกา แทนค่าปรับ จนกว่าจะมีคนมาประมูลซื้อตัวออกไปจากนรก คนญวนเองฝรั่งเศสไม่เอามาเป็นทหารกองกำลังหลักเพราะไม่ไว้ใจ นอกจากให้เป็นตำรวจช่วยดูแลรีดไถคนชาติเดียวกันมาแบ่งกับจ้าวนาย

คนที่มีฐานะดีต้องการส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือต่อที่ฝรั่งเศส ก็ต้องหาครอบครัวที่จะส่งไปอยู่ด้วย แล้วจ่ายเงินหรือวางหลักทรัพย์เป็นประกันตามที่เขาจะเรียกร้อง ผู้ที่เรียนจบวิชาแพทย์ วิศวกรรม การบัญชี และกฎหมาย จะประกอบวิชาชีพตามที่เล่าเรียนมามิได้ นอกจากจะโอนสัญชาติเป็นฝรั่งเศสก่อน ซึ่งจะต้องเสียเงินเสียทองทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะเป็นหมื่นบาท

ราษฎรพื้นเมือง ถ้ามีเรื่องกับคนฝรั่งเศสจึงยากนักยากหนาที่จะชนะความ หากวิวาทกันถึงขั้นทำร้ายร่างกายเขา จะถูกโทษโบยและขังลืม คนไทยเองยังจำคุกขี้ไก่ที่ฝรั่งเศสทำไว้คราวยึดเมืองจันท์ได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีทรากอยู่ การต่อสู้ขัดขืนตำรวจ จะถูกจับยัดลงโอ่งที่เลี้ยงแมลงประเภทตะขาบและแมลงป่องไว้ ดิ้นได้ไม่นานก็ตาย ออกมาอีกทีก็เหลือแต่โครงกระดูก อ่านมาถึงตอนนี้แล้วจึงเห็นว่าระบอบพิบูลสงครามที่ว่าโหดเหี้ยมแล้ว ยังถือว่าเด็กๆถ้าเทียบกับระระบอบฝรั่งเศสที่ใช้ปกครองอาณานิคม คนไทยบางคนที่ชอบพูดว่าเมืองไทยถ้าตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งบ้าง ก็คงน่าจะดีกว่านี้ ผมอยากให้เข้ามาอ่านเรื่องที่ผมเอามาลงไว้ตอนนี้มาก

คนญวนจะโดนบีบบังคับสาหัสที่สุด วิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาได้คือการพาตนไปเข้าโบสถ์คาธอลิก พึ่งบารมีบาทหลวงฝรั่งเศสให้คุ้มครอง ผ่อนหนักให้เป็นเบา คนญวนจึงเป็นคริสเตียนกันมาก และเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ฝรั่งเศสประสพความสำเร็จในการเผยแผ่คริสตศาสนา ดังนั้นความแค้นของคนญวนจึงเหมือนภูเขาไฟประทุอยู่ในหัวอก ต่อมาได้รับการติดอาวุธจากจีนคอมมิวนิสต์ จึงระเบิดออกมาอย่างวินาศสันตะโร กระจุยทั้งฝรั่งเศสทั้งอเมริกัน หนีกลับประเทศเกือบจะไม่ทัน




บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 137  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 17:23

ในเขมรและลาวนั้น ความจริงฝรั่งเศสไม่ค่อยได้เอาใจใส่ หลังจากปล้นศิลปวัตถุไปจากนครวัตอย่างมากมายแล้ว ชาวเขมรและลาวมีชีวิตที่ไม่กระตือรือล้นเหมือนคนญวน ฝรั่งเศสก็ขายฝิ่นให้สูบ เหล้าให้ต้มกินกันเอง นอกหน้านาก็ปล่อยให้เล่นการพนันกัดปลาตีไก่ไปวันๆ ข้าราชการบ้านเมืองจะหยุดนอนกลางวันตามวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ปิดที่กระทำการในเวลา11-15น. ตอนนั้นทุกสิ่งในเมืองจะสงบนิ่ง ผู้คนกลับบ้าน รถราจอดเข้าร่มข้างถนน ในพนมเปญมีบริษัทของฝรั่งเศสมาเปิดทำการค้าอยู่เพียงสี่ห้าบริษัท นอกนั้นก็เป็นพวกมาลงทุนทำไร่ และปลูกยางพาราด้านชายแดนติดๆกับไทยทางตราดและจันทบุรี แต่ฝรั่งเศสต้องวางกำลังทหาร ทั้งกองพันต่างด้าวอันโด่งดัง เพราะประกอบด้วยฆาตกรอาชีพจากทั่วโลกที่ฝรั่งเศสจ้างมาสวมเครื่องแบบ มีหน้าที่เข่นฆ่าเจ้าของประเทศเดิมเพื่อให้ความสะดวกคนฝรั่งเศสเข้าไปครอบครอง ผลงานโด่งดังโหดเหี้ยมของพวกนี้มีมากเช่นในแอลจีเรีย มอรอคโค และไนจีเรีย ฝรั่งเศสเอากองพันทหารต่างด้าวมาไว้ที่เขมรเพราะไม่ไว้ใจไทย และยังเอาทหารเกณฑ์ตัวดำๆจากอาฟริกามาสมทบอีกหลายกองพล รวมกันแล้วถึง 80000คน นับว่ามากมายค่าใช้จ่ายบานเบอะ เพียงเพื่อจะยึดครองดินแดนแห่งนี้รักษาศักดิ์ศรี  แต่พอกองกำลังบูรพาบุกข้ามแดนมาจริงๆ พวกทหารรับจ้าง กับทหารเกณฑ์ก็สู้ความฮึกเหิมของทหารไทยไม่ได้ ถูกตีถอยรูด ทิ้งศพและพรรคพวกให้ตกเป็นเชลยศึกมากมาย ให้ไทยยึดธงไชยเฉลิมพลของของพันได้



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 138  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 17:27

แต่ถึงกระนั้น ถนนหนทางจากด่านชายแดนไทยไปยังพนมเปญเมืองหลวงก็ลาดยางอย่างดี ขณะที่ฝั่งไทยเป็นถนนลูกรังฝุ่นตลบ  ที่ทำการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของฝรั่งเศสเป็นตึกโก้ มีสวนไม้ดอกไม้ประดับ เสาธงชาติสูงใหญ่สง่างาม นายด่านแต่งเครื่องแบบภูมิฐาน แต่ฝั่งไทยเจ้าหน้าที่ชอบนุ่งผ้าขาวม้า ไม้กั้นด่านบนถนนเป็นไม่ท่อนคดๆงอๆตัดเอาแถวนั้น เสาธงเป็นไม้รวก ธงชาติเก่าสีซีด แต่ภายในเข้ามามีตลาดใหญ่คึกคัก พ่อค้าส่วนใหญ่เป็นคนจีนมีสินค้าในโกดังเพียบ ล้วนแต่เกินฐานะที่คนแถวนั้นจะซื้อ แต่สินค้าหรูหราฟุ่มเฟือยเหล่านี้จะข้ามชายแดนไปมากับฝั่งโน้นด้วยการลักลอบไม่เสียภาษี แน่นอนต้องจ่ายใต้โต๊ะทั้งสองฝั่ง แต่พ่อค้าก็รวยดี  ครั้งหนึ่งนายด่านทางฝรั่งเศสใกล้โยกย้ายก็ส่งเสริมให้ขนสินค้าเถื่อนขนานใหญ่ แต่แล้วก็นำจับรับเงินกึ่งหนึ่งของมูลค่าของตามระเบียบของศุลกากรก่อนกลับประเทศ เล่นเอาตลาดวาย พ่อค้าจีนส่วนใหญ่ต้องหมดตัว แถมติดคุกติดตะราง บางคนถึงกับฆ่าตัวตายหนีหนี้ไปเลย




บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 139  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 17:57

มาปั่นกระทู้ตามเดิมค่ะ
รูปจักรพรรดิองค์สุดท้ายของญวน - จักรพรรดิเบาได๋


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 140  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 18:02

ผู้หญิงญวนในปลายศตวรรษที่ ๑๙  ตอนนั้นญวนเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้ว


บันทึกการเข้า
proudtobethai
มัจฉานุ
**
ตอบ: 79


ความคิดเห็นที่ 141  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 18:07


ทุกวันนี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่าผู้ถูกลงโทษทั้งหมด เป็นแพะรับบาปที่ถูกสามสหายร่วมรุ่นโรงเรียนนายร้อย ได้แก่หลวงพิบูล หลวงอดุลเดชจรัส และหลวงพรหมโยธี สร้างสถานะการณ์หาหลักฐานพยานเท็จมาปรักปรำว่าร่วมกันกระทำความผิด เพราะเพียงเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนทางการเมืองเท่านั้น การกำจัดบุคคลเหล่านี้ก็ใช้อำนาจของศาลพิเศษที่บรรดาผู้พิพากษาคือผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้ง และไม่ให้มีทนายจำเลยตามหลักยุติธรรมสากล กบฏพระยาทรงสุรเดช คือการกบฎที่รัฐบาลประกาศเอาเองทั้งๆที่ไม่มีการเคลื่อนไหวกำลัง หรือมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร นอกจากที่เป็นข่าวกับหลวงพิบูลสงคราม3ครั้งดังกล่าวข้างต้น ซึ่งนอกจากครั้งแรกที่เชื่อว่าหลวงพิบูลถูกนายพุ่มยิงจริงๆแล้ว อีกสองครั้งต่อมาล้วนเป็นการจัดฉากของบรรดาคนสนิท แต่หลวงพิบูลทราบหรือไม่ให้ทราบก็แล้วแต่ เพราะเขาต้องการให้ดูแนบเนียนเท่านั้น และเรื่องลงนามคำสั่งประหารเหยื่อการเมืองทั้ง18คนนี้ หลอกหลอนหลวงพิบูลและหลวงอดุลตลอดเวลาเมื่อถูกซักถามในภายหลังเมื่อเวลาผ่านไปพ้นยุคที่ตนมีอำนาจบาตรใหญ่ ต่างคนก็ต่างโทษกันว่ากระทำไปโดยที่ตนมิได้รู้เห็น ไม่สมกับที่เป็นชายชาติทหาร


ขออนุญาตยกมือถามข้อสงสัยหน่อยนะคะ

หลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าท่านเหล่านั้นเป็นแพะรับบาป แล้วทางรัฐบาลในสมัยนั้น มีการลบล้างมลทินให้กับผู้ถูกกล่าวหายังไงคะ ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวของท่านเหล่านั้น หรือวิธีการอื่นๆ หรือว่า ปล่อยเลยตามเลยคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 142  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 20:09

ระหว่างรอคำตอบ  ขอเอาภาพมาคั่นโปรแกรมอีก ๒ ภาพ 
ภาพแรก ทหารไทยในลาว เมื่อพ.ศ. 2436 (ในรัชกาลที่ ๕)
ภาพที่สอง  กองทัพไทยพร้อมปืนใหญ่



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 143  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 20:33

อ้างถึง
ขออนุญาตยกมือถามข้อสงสัยหน่อยนะคะ

หลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าท่านเหล่านั้นเป็นแพะรับบาป แล้วทางรัฐบาลในสมัยนั้น มีการลบล้างมลทินให้กับผู้ถูกกล่าวหายังไงคะ ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยให้กับครอบครัวของท่านเหล่านั้น หรือวิธีการอื่นๆ หรือว่า ปล่อยเลยตามเลยคะ


หลังจากนักโทษการเมืองปี2476สมัยกบฏบวรเดชได้ถูกเนรเทศไปคุมขังที่ทัณฑสถานเกาะตะรุเตาแล้วย้ายมาเกาะเต่า ส่วนนักโทษการเมืองปี2482ที่รอดจากโทษประหาร ถูกขังอยู่ที่เรือนจำบางขวางทั้งหมด มีเพียง2คนเท่านั้นที่ถูกเนรเทศไปเกาะเต่าด้วย วันหนึ่งในขณะที่นักโทษต้องทนทุกข์ทรมานด้วยไข้ป่าและถูกบังคับให้ทำงานกรรมกรประจำวัน เครื่องบินทหารลำหนึ่งได้มาบินเวียนขวากระทำทักษิณาวรรตเหนือเกาะในระดับต่ำ แล้วโคลงปีกด้านขวาเป็นสัญญาณแสดงความยินดี นักบินโผล่ออกมาโบกมือให้เหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ก็เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์หลังจากนั้นจึงได้ทราบว่า รัฐบาลหลวงพิบูลแพ้มติในสภาต้องลาออกไป แล้วนายควง อภัยวงศ์ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทน เรื่องแรกๆที่รัฐบาลใหม่รีบดำเนินการก็คือ ออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่นักโทษการเมือง ทั้งคดีกบฏบวรเดช พ.ศ.2476 กบฏนายสิบ พ.ศ.2481 และคดีกบฏพระยาทรง พ.ศ.2482  ทางการกำหนดให้นำนักโทษการเมืองจากเกาะเต่ามาทำพืธีปล่อยตัวที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 20 ตุลาคม 2487 ให้ทุกคนเป็นอิสระกลับไปหาลูกเมีย พ่อแม่พี่น้องที่รักของตน

ปีต่อมา มีการเปลี่ยนรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง นายปรีดี พนมยงค์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการตราพระราชบัญญัติคืนยศ บรรดาศักดิ์ เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ และสิทธิในการรับเบี้ยหวัดบำเหน็จและบำนาญ พ.ศ.2489 และฉบับที่2 ในปีพ.ศ.2491 ให้รัฐบาลนำความขึ้นกราบบังคมทูล ขอพระราชทานคืนยศ บรรดาศักดิ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และสิทธิในการรับเบี้ยหวัด บำเหน็จและบำนาญ แก่บุคคลที่ต้องโทษทางการเมืองหรือเสียสิทธิเพราะการกระทำทางการเมืองในคดีดังกล่าวทุกคน

นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วเท่าที่ผู้ก่อการคณะราษฎร์ส่วนหนึ่ง จะชดเชยต่อการกระทำของผู้ก่อการคณะราษฎร์อีกส่วนหนึ่งได้ ทุกอย่างต่อจากนั้นให้เลิกแล้วกันไป...อโหสิ


อ้อ อดีตนักโทษการเมืองส่วนหนึ่งได้ร่วมตั้งพรรคการเมือง และลงสมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรครับ หลายๆคนได้รับเลือก และหลายคนได้เป็นรัฐมนตรีด้วย แต่เป็นได้สักพักเดียวทหารก็ปฏิวัติอีก ไม่นานจอมพลแปลกก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกเป็นสมัยที่2 เรียกว่ารัฐบาลจอมพลป.(ไม่เรียกหลวงพิบูล2นะครับ)  ส่วนเสด็จในกรมชัยนาททรงได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันยังทรงศึกษาอยู่สวิตเซอร์แลนด์ครับ
  
 
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 144  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 21:00

   เรื่องที่ได้อ่านในกระทู้นี้ทำให้นึกถึงคำคมซึ่งผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูด  แต่เคยอ่านผ่านตามาบอกว่า  ความดีของมนุษย์จะสิ้นสุดลงเมื่อเล่นการเมือง  

  



ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็นอริสโตเติล ไม่ก็เพลโต ครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 145  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 21:05

.
เมื่อฝรั่งเศสได้ญวนเป็นอาณานิคมแล้ว ก็ข่มขู่ว่าลาวและเขมรเป็นเมืองขึ้นของญวน หาเรื่องเข้ายึดดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงทั้งหมดที่สยามครอบครองอยู่เดิม อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของลาวและเขมรด้วย

การ์ตูนภาพล้อ สะท้อนเหตุการณ์เมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจากสยาม   ลงในหนังสือพิมพ์ Punch ของอังกฤษ
เป็นรูปหมาป่าฝรั่งเศสกำลังจะขย้ำแกะสยาม


บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 146  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 21:12

ขอเสริมเรื่องสงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเพื่อชิง พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ สักนิดนะครับ

โดยเฉพาะสมรภูมิบ้านพร้าว ซึ่งเป็นสมรภูมิที่รบกันหนักที่สุด และเป็นสมรภูมิที่ไทยสามารถทำให้ฝรั่งเศสได้อายมากที่สุด เพราะทหารไทยสามารถละลายกองพันของฝรั่งเศสได้อย่างหมดจด ด้วยการบัญชาการของ พันตรีขุนนิมมาณกลยุทธ (นิ่ม ชโยดม)

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า การบังคับบัญชาของท่านขุนฯ ดันไปฝืนคำสั่งของท่านผู้บังคับการกองพลเสียอย่างนั้น ซึ่งผู้บังคับบัญชากองพลนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาเป็นเพื่อนของ จอมพล ป. นั่นเองครับ

ยังผลให้ ท่านขุนฯ โดนต่อว่าต่าง ๆ นานา และไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปอีกเลย ทั้ง ๆ ที่สมรภูมิบ้านพร้าวนี่แหละ ที่ทำให้ทหารไทยได้ยึด "คัว เดอ แกร์" หรือก็คือ ธงไชยเฉลิมพลของฝรั่งเศสได้

เพื่อนคนนี้ของ จอมพล ป. จะเป็นใคร ลองหาคำตอบในเนื้อหาของกระทู้นี้ดูนะครับ คุณอา NAVARAT ได้เฉลยคำตอบไว้แล้ว...ฮา

รายละเอียดของการยุทธ เชิญที่ Link นี้ครับ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=104600

http://www.tigerarmy.in.th/home/about/war.php


บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 147  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 21:14

อีกเรื่องครับ เสียมราฐ คือการเรียกแบบคนไทย แต่ถ้าเป็น เสียมเรียบ(สยามพ่าย) จะเป็นชื่อเรียกแบบเขมรครับ เพราะฉะนั้นจะเรียกแบบไหนก็ลองพิจารณาดูให้ดี ๆ นะครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 148  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 21:28

   เรื่องที่ได้อ่านในกระทู้นี้ทำให้นึกถึงคำคมซึ่งผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูด  แต่เคยอ่านผ่านตามาบอกว่า  ความดีของมนุษย์จะสิ้นสุดลงเมื่อเล่นการเมือง  

  


ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็นอริสโตเติล ไม่ก็เพลโต ครับ
*****************
ไม่น่าจะเป็นเพลโตนะคะ   แต่เป็นของอริสโตเติลหรือไม่  ยังนึกไม่ออก
เพลโตเคยพูดว่า "“Those who are too smart to engage in politics are punished by being governed by those who are dumber.”
"คนที่นึกว่าตัวเองฉลาดเกินกว่าจะเล่นการเมือง ก็จะลงเอยด้วยการถูกคนโง่กว่ามาปกครอง"
แสดงว่าเพลโตก็ไม่ได้เห็นการเมืองเป็นสิ่งเลวร้าย จนไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 149  เมื่อ 29 มิ.ย. 10, 22:03

รายชื่อแม่ทัพในสงครามอินโดจีน
      ๑๓  พฤศจิกายน  ๒๔๘๓     ฝ่ายไทยได้แต่งตั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แม่ทัพบก แม่ทัพเรือ และแม่ทัพอากาศ
         กองทัพบก      ได้จัดกองทัพบกสนาม  โดยมีนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นแม่ทัพบก ประกอบด้วย    กองทัพบูรพา  กองทัพอีสาน  กองพลผสมปักษ์ใต้  กองพลพายัพ และกองพลผสมกรุงเทพ ฯ  มีการประกอบกำลัง ดังนี้
         กองทัพบูรพา   นายพันเอก หลวงพรหมโยธี  เป็นแม่ทัพ     
         มีภารกิจ    เข้าตีด้านประเทศเขมร  เพื่อเข้ายึดกรุงพนมเปญ  บรรจบกับกองทัพอิสานที่พนมเปญ    แล้วทั้งสองกองทัพกวาดล้างข้าศึกขึ้นไปทางเหนือ  ตามแนวแม่น้ำโขง เพื่อบรรจบกับกองพลพายัพที่กวาดล้างลงมาทางใต้   
        ประกอบด้วย  กองพลพระนคร  กองพลลพบุรี  กองพลปราจีนบุรี  กองพลวัฒนานคร  กองพลจันทบุรี  โดยตั้งกองบัญชาการอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี
       กองพลพระนคร    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่  ๑, ที่ ๒  และ ที่ ๓
       กองพลลพบุรี    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๔, ๖, ๓๗, ๑ (หนุน), ๒๙ (หนุน) และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๔ 
       กองพลปราจีนบุรี    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๕, ๘, ๔๕, ๓๑ (หนุน) (จัดแบบกองพันอัตราศึก) และ  ๑ กองพันทหารปืนใหญ่
      กองพลวัฒนานคร    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่
      กองพลจันทบุรี      ประกอบด้วย    กองพันนาวิกโยธินที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓, กองพันทหารม้าที่ ๔ (ม.พัน ๔ ), กองพันทหารปืนใหญ่นาวิกโยธิน,  กองทหารช่าง (ทบ.) และ กองทหารสื่อสาร (ทบ.) 

         กองทัพอีสาน    นายพันเอก หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต  เป็นแม่ทัพ     
            มีภารกิจ    เข้าตีตามแนวชายแดนด้านเขมรตั้งแต่เขตจังหวัดสุรินทร์  ไปถึงด้านลาว  ตั้งแต่เขตจำปาศักดิ์  ไปถึงด้านเหนือ  คือเวียงจันทน์    ด้านเหนือ  ให้ทำการบรรจบกับกองพลพายัพที่เวียงจันทน์   แล้วให้รุกลงมาทางใต้ตามแนวลำน้ำโขง       
            ประกอบด้วย  กองพลอุดร   กองพลอุบล   กองพลสุรินทร์  กองพลธนบุรี  กองพลนครราชสีมา หน่วยขึ้นตรงกองทัพฝ่ายกิจการพิเศษ   กองหนุนกองทัพ และหน่วยทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 
            กองพลอุดร    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๒, ๒๒, ๒๒(หนุน), ๑ กองพันทหารปืนใหญ่, กองทหารช่าง,กองทหารสื่อสาร  และกองกำลังสำรอง   
            ปฏิบัติการอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดอุดรธานี  เลย  หนองคาย  นครพนม  และสกลนคร

           กองพลอุบล    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๑๙, ๒๐, ๒๑, ๓๐, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๘, กองทหารม้าที่ ๕, หมวดรถรบ, กองทหารช่าง, กองทหารสื่อสาร, กองกำลังสำรอง  และกองพลาธิการกองพล
            ปฏิบัติการอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี  และศรีสะเกษ   

           กองพลสุรินทร์    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๗,๒๙,๑๙ (หนุน),กองพันทหารม้าที่ ๓, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๐, กองทหารช่าง, กองทหารสื่อสาร  และ กองกำลังสำรอง
            ปฏิบัติการอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดสุรินทร์  และบุรีรัมย์

           กองพลธนบุรี    เป็นกำลังหนุนเพิ่มเติม   ตั้งขึ้นภายหลังการทำสัญญาพักรบ   
           มีภารกิจแก้ปัญหาเมื่อฝรั่งเศสไม่ปฏิบัติตามสัญญาไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น   
          ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๒๘, ที่ ๒ (หนุน), ที่ ๓ (หนุน), กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๖, กองทหารสื่อสาร  และ กองกำลังสำรอง
 
          กองพลนครราชสีมา    เป็นกำลังหนุนเพิ่มเติม   ตั้งขึ้นภายหลังการทำสัญญาพักรบ   
          มีภารกิจเช่นเดียวกับกองพลธนบุรี
         ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๒๑, ที่ ๒๑ (หนุน), ที่ ๑๙ (หนุน) และ ที่ ๑๙ (หนุน) 

         กองพลผสมปักษ์ใต้   ประกอบด้วย  กองพลสงขลา และกองพลนครศรีธรรมราช  มีนายพันเอก หลวงเสนาณรงค์  เป็นผู้บัญชาการกองพล 
          กองพลสงขลา    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๕, ที่ ๔๑, ที่ ๔๒  และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๗
         กองพลนครศรีธรรมราช    ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๓๘, ที่ ๓๙, ที่ ๔๐  และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๓

          กองพลพายัพ      นายพันโท หลวงหาญสงคราม  เป็นผู้บัญชาการกองพล     
         มีภารกิจ    เข้าตีเพื่อยึดหลวงพระบาง  เวียงจันทน์     แล้วกวาดล้างข้าศึกลงมาทางใต้ ตามแนวลำน้ำโขง  เพื่อทำการยุทธบรรจบกับกองทัพอิสาน
         ประกอบด้วย    กองพันทหารราบที่ ๓๐,ที่ ๓๑,ที่ ๒๘ (หนุน),ที่ ๓๐ (หนุน)  และกองทหารสื่อสาร 
          กองพลผสมกรุงเทพ ฯ    ประกอบด้วย กองพันทหารม้าที่ ๑, กองพันทหารช่างที่ ๗,  กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๖,  กองสื่อสารและกองรถรบ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 46
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.135 วินาที กับ 20 คำสั่ง