เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 46
  พิมพ์  
อ่าน: 329697 ชะตากรรมของพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในสี่ทหารเสือคณะราษฎร์
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 360  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 16:36

หลังจากญี่ปุ่นขึ้นเมืองไทยตามที่ท่านผู้อ่านได้รับการปูท้องเรื่องมาอย่างดีแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำ สองสามเดือนต่อมาพระยาทรงได้รับจดหมายติดแสตมป์ลาวส่งมาถึงท่านหนึ่งฉบับ ภายในบรรจุกระดาษเขียนข้อความละเอียดยิบ3แผ่น ท่านจำได้ว่าที่จ่าหน้าซองมาเป็นลายมือของอาบู

มีกระดาษชิ้นเล็กๆปลิวลงมาขณะดึงจอหมายออกจากซอง ท่านอ่านข้อความในกระดาษชิ้นนี้ก่อน ผู้เขียนแจ้งว่าตนรับฝากจดหมายของอาบู กะจะถือมาให้ท่านโดยตรงด้วยมือตนเองเพื่อเสวนาเรื่องอื่นๆกันด้วย แต่ระหว่างปฏิบัติราชการอยู่ที่เวียงจันทน์ถูกเรียกตัวกลับกรุงเทพด่วน จึงจำเป็นต้องส่งจดหมายที่อาบูส่งมาให้ทางไปรษณีย์ พร้อมกับแจ้งว่า ตนจะมาอินโดจีนอีกครั้งหนึ่งในสองเดือนข้างหน้า ถึงตอนนั้นจะหาโอกาสมาหาท่านด้วยตนเอง

จดหมายของอาบูยืดยาว บรรยายการเดินทางเป็นอย่างไร ใครอุปถัมภ์ ใช้วิธีการสืบความอย่างไรจึงได้เรื่องว่าบุคคลสำคัญของไทยผู้ใดที่มีความคิดจะต่อต้านญี่ปุ่น จึงได้พยายามหาทางเข้าพบ ในชั้นต้น“ผู้ใหญ่”ที่ว่าไม่เชื่อถือว่า ผู้ที่ส่งสัญญาณมาจะเป็นพระยาทรง แต่หลังจากแสดงหลักฐานและภาพถ่าย จึงยอมเชื่อและให้ส่งข่าวมาบอกว่าตนยินดีที่สุดที่จะได้ติดต่อกันเพื่องานของชาติในอนาคต

“ผู้ใหญ่”ที่ว่านี้มี2คน เป็นคนสำคัญที่สุด ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเข้ามาเต็มเมืองไทยนั้น “ผู้ใหญ่”ทั้งสองอยู่กันคนละขั้ว  ยากที่จะร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ดังนั้นเพื่อมิให้พระยาทรงแคลงใจ อาบูจึงเขียนอธิบายยืดยาวว่าเหตุผลใดที่“ผู้ใหญ่”ทั้งสองหันมาจับมือกันได้

ท้ายของจดหมายได้เร่งเร้าให้พระยาทรงเริ่มดำเนินงานตามแผนที่คิดไว้โดยด่วน และสั่งการผ่านผู้ที่ถือหนังสือนี้มาติดต่อด้วย
เรื่องที่“ผู้ใหญ่”ทั้งสองจับมือกันนั้น พระยาทรงท่านยังไม่ปลงใจเชื่อจริงๆ ท่านจะรอจนกว่าจะได้ซักถามผู้ที่จะถือหนังสือจากเมืองไทยมาพบท่าน เพื่อทราบข้อมูลที่หนักแน่นกว่านี้

ผมไม่สามารถจะเป็นผู้เฉลยเสียเองว่า“ผู้ใหญ่”ทั้ง2ท่านเป็นใคร เพราะร้อยเอกสำรวจไม่ได้แจ้งนามไว้ในหนังสือที่เขียน แม้พอจะเดาได้ก็เก็บไว้ให้ท่านทั้งหลายเฉลยสู่กันในกระทู้นี้ดีกว่า ผมจะให้เวลาหนึ่งวันนะครับ แล้วจะเข้าสู่ตอนจบของเรื่องในวันพรุ่งนี้ ส่วนจะเป็นเวลาใดก็ขอให้ท่านติดตามกันต่อไป




บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 361  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 17:09

คุณนวรัตนอุบคำตอบว่าผู้ยิ่งใหญ่ ๒ คน ๒ ขั้วนั้นเป็นใคร  ยั่วให้ระทึกไปพลางๆ     
ถ้าใครอยากรู้คำตอบก่อนท่านเฉลย เห็นจะต้องหารายชื่อไปหย่อนลงตู้  แล้วค่อยติดสินบนคุณพอลยอดปลาหมึกให้เลือกตู้อีกที   ยิ้ม

กลับมาเรื่องจอมพล ป. กับญี่ปุ่น
หลังจากรัฐบาลไทยยอมให้พ่อดอกมะลิกรีฑาทัพผ่านไทย    โดยระหว่างผ่านก็มาประจำอยู่ในประเทศไทยไม่ว่ากัน   ๓  วันต่อมาคือ ๑๑ ธันวาคม   จอมพล ป.ก็แถลงกับค.ร.ม.อีกว่า ตอนนี้ญี่ปุ่นเขาอยากให้ร่วมมือกันมากกว่านี้ คือไม่ใช่แค่เปิดประตูให้ผ่านบ้านเข้ามาเฉยๆ   แต่ขอให้ร่วมรบ เรียกว่า military  co-operation
ในระหว่างรอคำตอบร่วมรบ   ญี่ปุ่นก็ปลดอาวุธตำรวจทหาร ในหลายจังหวัด  แม้แต่ข้าหลวงผู้ว่าราชการจ.ว. ของมหาดไทยก็โดนด้วย    ชาวอังกฤษอเมริกันในไทยที่ไทยส่งขึ้นรถเพื่อพาออกไปชายแดน  ญี่ปุ่นก็ดักจับเอาตัวเข้าค่ายไปดื้อๆเช่นกัน
จอมพลป.ก็ใช้นโยบายผ่อนปรน เช่นเดิม  ไม่สู้  ไม่ต่อต้าน ไม่ห้ามปราม   ปล่อยญี่ปุ่นทำไปตามความประสงค์   

จากนั้นเหตุการณ์วันประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้น  ในเดือนเดียวกันนั้นเอง  ถัดมาอีก ๑๐ วัน   รัฐบาลไทยยินยอมลงสัญญากติกาสัมพันธไมตรีกับญี่ปุ่น   มีใจความสำคัญคือตกลงเป็นพันธมิตรร่วมรบกัน  คือถ้าใครมารบกับญี่ปุ่นก็เท่ากับมารบกับไทยด้วย ว่างั้นเถอะ   นอกจากนี้ยังร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ  การเมืองและการทหาร 
สัญญานี้ ไปทำพิธีลงนามกันในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม   เบื้องพระพักตร์พระแก้วมรกต เพื่อให้แน่นอนมั่นคงว่าสาบานต่อหน้าพระแก้ว

ถัดมาอีก ๑ เดือนกว่าๆ    ไทยก็ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ    เป็นพระบรมราชโองการ   แต่ผู้ลงนามตัวจริงคือคณะผู้สำเร็จราชการ ประกอบด้วยพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา  (ในประกาศไม่ลงฐานันดรศักดิ์ว่าเป็นพระองค์เจ้า  ลงแต่ยศทางทหาร ว่า พล.ต. อาทิตย์ทิพอาภา)  เจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน( ลงยศว่า พลเอกพิชเยนทร์โยธิน) และคนสุดท้ายคือ นายปรีดี พนมยงค์   
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 362  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 17:30

มีรูปมาประกอบครับ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 363  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 17:32

ถ้าเรามองในแง่ที่ว่า ไทยเป็นประเทศเล็ก มหาอำนาจสองขั้วคือฝรั่งกับญี่ปุ่นเขากำลังยิงกันสนั่น  ไทยอยู่ตรงกลาง ทำยังไงถึงจะรอด  อย่างแรกคืออย่าไปยืนเกะกะขวางทางเขา   อย่างที่สองคือวิ่งหาที่กำบัง   จอมพล ป. ท่านก็คงเห็นอย่างนี้ ท่านก็เลยยินยอมให้ญี่ปุ่นมายืนบังจนมิด  เพื่อไทยจะได้ไม่ถูกกระสุนที่กำลังสาดใส่กัน
แต่ญี่ปุ่นไม่ได้มายืนบังเฉยๆ  จอมพลป.ท่านบอกว่าโกโบริยัดปืนใส่มือ  ให้ท่านช่วยยิงฝรั่งอังกฤษและอเมริกันด้วย   ท่านก็รับปืนมาช่วยยิง เพราะท่านบอกว่าไม่มีทางอื่น  
เมื่อรับปืนมายิง  ทางพันธมิตรอเมริกาและอังกฤษก็หันมาสาดกระสุนใส่ไทยเข้าบ้าง  เมื่อเป็นอย่างนี้บ้านเมืองไทยก็เข้าสู่ภาวะสงคราม ถูกระเบิดถล่มอยู่นานสามปี  บ้านเมืองยับเยินไปจริงๆ  
มองในแง่นี้ก็คือ  การยินยอมให้ญี่ปุ่นกรีฑาทัพเข้ามาโดยไม่สู้ ไม่ว่ากัน  ไม่ได้ทำให้ไทยรอดจากยับเยินจากภาวะสงครามไปได้  เพราะเมื่อยอมแล้ว ก็รัฐบาลไม่ได้หยุดอยู่แค่ยอมให้ผ่าน โดยพยายามหาทางออกว่าจะดึงรั้งเอาไว้แค่นี้ได้ยังไง   แต่รัฐบาลไปยอมขั้นที่ ๒ คือประกาศตัวเป็นฝ่ายเดียวกับเขาอย่างเต็มประตู  
ดิฉันเชื่อว่าจอมพล ป. ท่านน่าจะเชื่อด้วยใจจริงว่าญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะฝรั่ง    บวกเข้าไปจากความผิดหวังว่าเมื่อเกิดคับขันแล้วอังกฤษไม่เห็นจะช่วยอะไรไทยสักอย่าง      ถ้าญี่ปุ่นชนะ ท่านเข้าข้างฝ่ายชนะ  ยังไงก็ย่อมได้รับผลดีไม่มากก็น้อย    ท่านก็เลยเทคะแนนเป็นแฟนพันธุ์แท้ของโกโบริไป
อย่างไรก็ตาม แม้แต่นักการทหารชั้นยอด ก็อาจจะทำนายการรบผิดพลาดได้       ดังนั้นการคาดคะเนว่าญี่ปุ่นจะมีชัยเหนือฝรั่ง กลายเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชีย  จึงเป็นความฝันที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมา     อังกฤษและฝรั่งเศสที่ทำท่าร่อแร่ไปไม่รอด  ได้กำลังทัพและอาวุธมหาประลัยของอเมริกา โถมเข้ามาช่วย   พลิกสถานการณ์กลายเป็นฝ่ายได้ชัยชนะในอีก ๔ ปีต่อมา
เคยอ่านพบว่าตอนญี่ปุ่นบุกไทยนั้น  ญี่ปุ่นก็เปลี้ยลงมากแล้ว   จากการทำสงครามมายาวนานก่อนหน้านี้   แม่ทัพใหญ่ฝ่ายญี่ปุ่นก็ไม่อยากหักโหมโจมตีไทย   ตกลงกันได้ด้วยสันติก็ดี   ไม่เปลืองรี้พลของญี่ปุ่น    บางทีญี่ปุ่นคงดำเนินการทั้งลับและแจ้งเพื่อให้เป็นไปอย่างนี้
แต่ญี่ปุ่นเองก็รู้พิษสงไทย   จึงไม่ไว้ใจรัฐบาลไทยอยู่ดี ว่าจะพลิกผันไปจากวงไพบูลย์เมื่อใดก็ได้   ส่วนคนสำคัญของไทยบางคนก็รู้ข้อนี้เหมือนกันว่า จะไว้ใจใครกันไม่ได้เลย  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าขบวนการเสรีไทยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากคนสำคัญในไทย ที่เมื่อก่อนโอนอ่อนเข้าหาญี่ปุ่น    และคนนั้นก็ไม่ใช่นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งแสดงแต่แรกแล้วว่าไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับญี่ปุ่นมาแต่ไหนแต่ไร
ส่วนเป็นใครนั้น รอคุณพอลเฉลย   ถ้าคุณพอลไม่เฉลยก็รอท่านกูรูผู้ใหญ่กว่า     ระหว่างนี้ช่วยกันปั่นกระทู้ให้ถึงสัก ๕๐๐ ก่อนดีไหมคะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 364  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 17:47

ดูรูปไปพลางๆก่อน ประเด็นที่ท่านอาจารย์ใหญ่ชวนอภิปรายนั้นน่าขบคิดมาก^


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 365  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 18:14

ดิฉันไม่เห็นด้วยกับจอมพล ป.ในหลายๆเรื่องตั้งแต่กบฏบวรเดชเป็นต้นมา   แต่เรื่องเหล่านั้นเอาไว้ก่อน มันไม่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๒    แต่เรื่องที่ไม่เห็นด้วยมากที่สุดคือท่านตัดสินใจเร็วไปหน่อยที่จะเข้าร่วมรบเคียงข้างญี่ปุ่น  ตั้งแต่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
เหตุการณ์หลายๆอย่างบ่งชี้ให้คิดว่า จอมพลป. ทุ่มเทไปทางญี่ปุ่น ด้วยความเชื่อมั่นส่วนตัวบวกเข้าไปด้วย   ไม่ใช่แค่รักษาประเทศชาติให้รอดและรัฐบาลไม่ถูกปลดเท่านั้น     ท่านจึงตกลงไปทำสัญญาสาบานกันในวัดพระแก้ว     ปกติ เซ็นชื่อในสัญญาไมตรีที่ทำเนียบพร้อมค.ร.ม. ก็เป็นเกียรติมากพอแล้ว     ถึงจะอ้างว่าญี่ปุ่นเป็นฝ่ายต้องการ แต่ดิฉันเชื่อว่าเป็นความเต็มใจทางฝ่ายไทย

         ถ้าท่านจอมพลเคยอ่าน ไซ่ฮั่น ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงให้กรมพระราชวังหลังแปลไว้ เพื่อศึกษาพิชัยสงคราม  ก็จะพบตอนหนึ่งว่า
     -    อย่าทำอันตรายแก่ผู้ใด   ถ้าเห็นข้างไหนเพลี่ยงพล้ำ     จึงค่อยทำศึกเข้าข้างผู้ชนะต่อภายหลัง
        เตียวเหลียงสอนว่าเห็นเขารบกัน อย่าเพิ่งเข้าข้างฝ่ายไหนเต็มตัวแต่แรก  แต่ดูท่าทีก่อนว่าฝ่ายไหนเพลี่ยงพล้ำแพ้แน่นอน   แล้วค่อยเข้าข้างฝ่ายชนะ    เราก็จะชนะไปด้วย
           เรื่องทำนองนี้ต้องเชิญคุณวีมี มาร่วมอธิบายถึงไทยเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ ๑  แล้วจะมันส์ ค่ะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 366  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 18:42

อ้างถึง
ประเทศเล็กที่อยู่ระหว่างคมหอกคมดาบของมหาอำนาจที่ประจันหน้ากัน จะต้องทำตนอย่างไรจึงจะรักษาตัวรอดได้ คำตอบคือ ก็ต้องเลือกอยู่กับผู้ที่จะชนะในยกสุดท้าย นั่นน่ะของตาย พูดอีกก็ถูกอีก แต่แม้จะรู้ว่าใครใหญ่กว่าใครและเลือกข้างถูกก็จริง  แต่ตอนเขารบกันในบ้านเราก็ละเอียดอยู่ดี  แต่ละเอียดแล้วเป็นฝ่ายชนะย่อมดีกว่าละเอียดแล้วเป็นฝ่ายแพ้....

.....การยอมยกธงขาวให้ญี่ปุ่นผ่าน เป็นการซื้อเวลาไม่ให้บ้านเมืองละเอียดเร็วเกินไป ก็พี่ยุ่นแกเล่นขู่จะใช้เครืองบินรบถล่มพระบรมมหาราชวังก่อนเลย


ผมนั่งคิดนอนคิด ถ้าเราเป็นจอมพล ป.ในตอนนั้นเราควรจะทำอย่างไร พระยาทรงท่านเลือกข้างฝรั่งเศส(หมายถึงสัมพันธมิตร) แต่ท่านไมได้เฉลยว่า ในยกแรกที่จะถล่มกัน ควรจะหยุดรบสงครามในรูปแบบตรงไหน ก่อนที่จะหนีไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในป่าหรือนอกประเทศ  ตรงที่กรุงเทพเละเป็นเซี่ยงไฮ้ไปแล้วหรืออย่างไร จอมพล ป.ท่านก็รบ แต่ที่หยุดเร็วไปหน่อยก็เพราะเสียดายบ้านเมือง ปราสาทราชวัง ส่วนการหุนหันไปร่วมวงไพบูลย์แห่งเอเซียกับญี่ปุ่น อาจจะเป็นด้วยท่านเชื่อว่าญี่ปุ่นจะชนะสงครามดังท่านอาจารย์ว่า มิใช่เพราะโดนบีบจนหน้าเขียวอย่างที่ผมเคยเข้าใจก็เป็นได้  ท่านปรีดีเองก็เถอะ ได้ชื่อว่าปราชญ์เปรื่อง แต่ก็คิดวิธีง่ายๆดังเช่นที่ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยในวอชิงตันได้กระทำไปไม่ออก ก็เพียงแต่เดินไปบอกรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาว่า รัฐบาลไทยสั่งให้ไอมายื่นหนังสือประกาศสงครามกับยู แต่ไอไม่ประกาศเพราะไม่เห็นด้วย ขอให้ยูช่วยสนับสนุนให้ไอตั้งขบวนการใต้ดินเพื่อขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศของไอจะได้ไหม รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันก็บอกว่าโอเค ถ้าท่านปรีดีคิดได้ในวิธีการนี้ และสั่งการในทางลับให้เอกอัครราชทูตในกรุงลอนดอนทำอย่างเดียวกันกับวอชิงตัน สถานภาพของไทยหลังสงครามจะดีกว่านี้มาก นี่เล่นไปลงนามประกาศสงครามกับเขาด้วยโต้งๆ อังกฤษจะเอาเราตาย

การที่สัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดกรุงเทพ ก็มิได้มีเป้าหมายจะทำลายสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทยเช่นที่ญี่ปุ่นขู่ เพราะมีขบวนการเสรีไทยคอยชี้เป้าไม่ให้สะเปะสะปะ และอเมริกันก็เห็นคุณค่าของศิลปวัฒนะธรรม ดังเช่นการเว้นเกียวโตมิให้ต้องระเบิดแม้เพียงลูกเดียว พระราชวังมัณฑเลย์ของพม่าไม่รอด อังกฤษทิ้งระเบิดเพลิงใส่จนเหลือแต่ทราก

ไม่ใช่ผมจะมองข้ามฝีมือและความพยายามของมนุษย์ แต่ก็อดคิดไม่ได้ที่ผู้หลักผู้ใหญ่บอกว่า บ้านเมืองของเรามีพระสยามเทวาธิราชปกป้องคุ้มครอง ผ่อนหนักเป็นเบาอยู่ จึงทำให้มีคนอย่างจอมพล ป. ที่ตัดสินใจยอมญี่ปุ่น บ้านเมืองจึงไม่พินาศในเบื้องต้น ส่วนเบื้องปลายก็มีขบวนการเสรีไทย ทั้งอเมริกาและอังกฤษ ทั้งสายนอกประเทศและในประเทศ มาช่วยทำให้ฝรั่งไม่ถล่มเราเละเทะเหมือนชาติผู้แพ้สงครามจะพึงโดนกระทำอื่นๆ กลายเป็นทุกขั้วความคิดล้วนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องหมด ไม่มีใครผิด

ท่านผู้อ่านว่ามั้ยครับ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 367  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 19:28

ดิฉันเชื่อในพระสยามเทวาธิราชนะคะ   แต่ก็เชื่อว่าท่านก็คงไม่ประสงค์จะแบกรับภาระทั้งหมดของประเทศไทยเอาไว้   ต้องให้คนไทยหาทางออกกันเองบ้าง  
ไม่งั้นลูกช้างชาวไทยทั้งหลายจะไม่รู้จักโต  เอะอะอะไรก็ไหว้ขอพระสยามไว้ก่อน  จนผิดพุทธพจน์ อัตตาหิ อัตโน นาโถ

ขอร่วมวงเสวนา จากที่คุณนวรัตนจุดประเด็นไว้

ดิฉันคิดว่าเจ้าคุณทรงท่านคงให้คำตอบไม่ได้ทะลุปรุโปร่งหรอกว่า คนไทยควรทำยังไงเมื่อญี่ปุ่นบุก    ตามวิสัยนักการทหารเขาต้องดูสถานการณ์ก่อน  ไม่พรวดพราดเข้าไปรบโดยไม่รู้จักคะเนกำลังฝ่ายข้าศึก  หรือไม่สนยุทธวิธีว่าอีกฝ่ายใช้แบบไหน ฉันจะใช้แบบนี้ลูกเดียว   อย่างนี้รบร้อยครั้งก็แพ้ร้อยครั้ง
ส่วนใหญ่จะรู้กันเป็นขั้นๆไปว่า เมื่อเจอแบบนี้จะหาทางออกกันยังไง  ขั้นต่อไป มันกลับกลายเป็นยังงี้ จะหาทางออกแบบไหนกันได้อีก เมื่อทางแรกไม่ได้ผลก็ต้องทางที่สอง ฯลฯ
มันเป็นไปได้ว่า เจ้าคุณทรงเองอาจใช้วิธีสันติ ไม่ปะทะตรงๆหากคะเนว่ากำลังเราสู้เขาไม่ไหวแน่    เรามีเครื่องบิน ๓ ลำ เขามี ๒๕ ลำ อย่างที่วัฒนานคร จะสู้อะไรไหว   แต่ในการประนีประนอม ไม่จำเป็นว่าต้องโถมเข้าไปเป็นฝ่ายเขาเต็มตัวแต่แรก    หาทางสงวนท่าทีไว้ก่อน  เพราะเรื่องอเมริกาจะแพ้ญี่ปุ่นนั้นไม่มีทาง   อย่างน้อยสงครามก็ต้องห้ำหั่นกันอีกหลายปี    ไทยต้องประคองตัวเองจนเห็นฝ่ายไหนแพ้แน่  จึงค่อยเข้าข้างฝ่ายชนะ    นี่คือการมองแบบเตียวเหลียง ผูู้ลงหลักปักฐานให้ราชวงศ์ฮั่นได้ด้วยสติปัญญาระดับเดียวกับขงเบ้ง
การตั้งสงครามกองโจรก็ดี  ขบวนการเสรีกู้ชาติก็ดี  เป็นฝีมือที่ประเทศเล็กมีกำลังคนน้อยทำได้อยู่แล้ว     เพียงแต่หาเงินหนุนหลังจากประเทศใหญ่ ก็จะทำสงครามได้ยืดเยื้อยาวนาน จนญี่ปุ่นแพ้พันธมิตรไปก่อนก็เป็นได้  ดูแต่คุณฉางผิงจีนเป็งเป็นตัวอย่างก็ได้ค่ะ  
แต่ดูว่าท่านจอมพล ป. ไม่ได้คิดข้อนี้เลย   แม้ค.ร.ม. ของท่านก็ไม่เผื่อข้อนี้ ดูได้จากกติกาสัมพันธไมตรีที่ไปสาบานกันในวัดพระแก้ว    จนกระทั่งนักเรียนไทยในต่างประเทศนั่นแหละทนไม่ไหว  ตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมา   อเมริกา อังกฤษ ก็เข้าหนุนหลังเต็มที่  
ส่วนที่คุณนวรัตนบอกในตอนท้ายว่าเรารอดมาได้ไม่เป็นฝ่ายแพ้    ผู้เชี่ยวชาญทางปวศ.ท่านหนึ่งที่ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ดิฉัน ท่านกระซิบบอกว่า ไทยไม่ได้รอดปลอดภัยหายห่วงหรอก  โดนอังกฤษเรียกค่าเสียหายจนอ่วม  พอๆกับเป็นฝ่ายแพ้น่ะแหละ  เขาชาร์จเรา เป็นค่าที่เขายกมือเห็นด้วยกับอเมริกา
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 368  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 19:57

ยังติดตามชีวิตเจ้าคุณทรง ด้วยความระทึกใจนะคะ      ชื่นชมท่านที่ไม่ยอมเป็นเครื่องมือของฝ่ายไหนทั้งสิ้น    แต่ก็รู้สึกว่า ถ้าท่านไม่ยอมเป็นเครื่องมือ  แต่ยังเคลื่อนไหวพยายามจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติ   ก็เหมือนไม่ยอมรับร่มจากใคร แต่ยังออกมาเดินกลางฝน  ท่านก็ต้องเปียกอยู่ดี
ในเมื่อท่านยังรู้ความเคลื่อนไหวทางกรุงเทพได้   ทางนี้เขาก็ต้องรู้ความเคลื่อนไหวของท่านเหมือนกัน   

กลับมาเรื่องพระบรมราชโองการประกาศสงครามอีกหน่อย    มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ควรรู้กันไว้  คือ ประกาศพระบรมราชโองการที่ลงชื่อโดยคณะผู้สำเร็จราชการ ๓ คน  นั้น  จริงๆแล้วเมื่อร่างกันเสร็จและลงชื่อกันนั้น ลงชื่อกันแค่ ๒ คน คือพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน   
นายปรีดีไปต่างจังหวัด  ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ จึงไม่ได้ลงชื่อด้วย
แต่มีความจำเป็นว่าจะต้องรีบประกาศให้ทันเวลาเที่ยง    พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯก็รับสั่งว่า ให้ประกาศชื่อของนายปรีดี พนมยงค์ลงไปก็แล้วกัน   แม้ไม่ได้ลงนามก็ตาม   ท่านจะทรงรับผิดชอบเอง
ก็เลยประกาศออกมาทางการ  คือประกาศรบกับอังกฤษและอเมริกา
ถ้าถามว่านายปรีดีกลับจากต่างจังหวัดมาลงนามไหม  หรือว่าท่านไม่ได้ลงนามจนแล้วจนรอด  คำตอบคือท่านกลับมาลงนามในภายหลัง

พอสงครามจบลง   ญี่ปุ่นแพ้    ไทยก็ประกาศว่าการประกาศสงครามครั้งนี้เป็นโมฆะ  เพราะเวลาประกาศไม่ได้ลงนามครบ ๓ คน   ฝ่ายพันธมิตรและสหประชาชาติซึ่งมีอเมริกาเป็นพี่เอื้อยหนุนหลังไทยอยู่แล้ว  ก็เออวยเห็นด้วยว่า ประกาศสงครามที่ไทยทำครั้งนั้นเป็นโมฆะ   ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายญี่ปุ่น
ส่วนมันเป็นโมฆะจริงหรือไม่    โดยตัวของประกาศเอง ขอเชิญท่านผู้อ่านเรือนไทยพิจารณาเองตามอัธยาศัยค่ะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 369  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 20:07


อ้างถึง
ส่วนที่คุณนวรัตนบอกในตอนท้ายว่าเรารอดมาได้ไม่เป็นฝ่ายแพ้    ผู้เชี่ยวชาญทางปวศ.ท่านหนึ่งที่ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ดิฉัน ท่านบอกว่า ไทยไม่ได้รอดหรอก  โดนอังกฤษเรียกค่าเสียหายจนอ่วม  พอๆกับเป็นฝ่ายแพ้น่ะแหละ  เขาชาร์จเราเป็นค่ายกมือเห็นด้วยกับอเมริกา



คือผมถือว่าเราเจ๊าครับ ไม่ได้เจี๊ยะแต่ก็ไม่ได้เจ๊ง

อ้างถึง
ขบวนการเสรีไทย...... มาช่วยทำให้ฝรั่งไม่ถล่มเราเละเทะเหมือนชาติผู้แพ้สงครามจะพึงโดนกระทำอื่นๆ



การเลิกสถานะคู่สงคราม

สหรัฐอเมริกาได้ประกาศรับรองในทันทีว่า คำประกาศสงครามของไทยเมื่อ พศ. 2485 เป็นโมฆะ และได้แสดงน้ำใจไม่เรียกร้องให้ ชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด แต่อังกฤษมีท่าทีแตกต่างไป เพราะรัฐบาลอังกฤษได้ประกาศสงครามตอบไทยด้วย อังกฤษยื่นข้อเสนอให้ไทยปฏิบัติมากมาย เพื่อยกเลิกสถานะคู่สงคราม อเมริกาได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยเจรจาต่อรอง ในที่สุดอังกฤษและไทยก็ได้ลงนามใน "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อยุติภาวะสงคราม ระหว่างไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย" ที่สิงคโปร์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2489 มีใจความสำคัญคือ ไทยจะต้องคืนดินแดนในมลายูและรัฐฉานที่ได้มาระหร่างสงคราม ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ทรัพย์สินของอังกฤษที่ถูกไทยยึดครองระหว่างสงคราม และต้องชดใช้เป็นข้าวสารจำนวน 1.5 ล้านตันแก่อังกฤษ ซึ่งนับว่าไทยได้รับการผ่อนผันมากพอสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาประเทศฝ่ายอักษะด้วยกัน เพราะไทยไม่ต้องถูกยึดครอง และไม่มีข้อผูกมัดทางการเมืองและการทหารใดๆ ที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียเอกราชและอธิปไตย

นอกจากนั้นไทยยังต้องทำการตกลงกับฝรั่งเศษในการที่จะเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติด้วยการคืนดินแดนที่ได้มาจากกรณีพิพาทอินโดจีนเมื่อปีพศ. 2483 ให้แก่ฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศส เรียกร้องที่จะให้ไทยมอบพระแก้วมรกตให้แก่ฝรั่งเศษ ซึ่งฝรั่งเศษอ้างว่า พระแก้วมรกตเคยอยู่ในลาวมาก่อนถึง 200 กว่าปี ก่อนที่จะมาอยู่ทีกรุงเทพฯ และเมื่อลาวเป็นดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศษแล้ว ไทยจึงควรจะต้องคืนพระแก้วมรกตให้แก่ลาวด้วย แต่ไทยก็อ้างว่า การค้นพบพระแก้วมรกตครั้งแรกนั้น เป็นการค้นพบในประเทศไทย และการที่พระแก้วมรกตต้องอยู่ในประเทศ ลาวถึง 200 กว่าปีนั้น เป็นเพราะว่า พระไชยเชษฐาได้นำพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงใหม่ไปไว้ในเมืองหลวงพระบาง และเมืองเวียงจันทน์ในที่สุด ดังนั้น การที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อันเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ยังกรงธนบุรีและกรุงเทพฯ ตามลำดับนั้น เป็นการนำกลับคืนมาสู่สถานที่เดิม ข้อเรียกร้องของฝรั่งเศษข้อนี้จึงตกไป เพราะอังกฤษกับอเมริกาเห็นด้วยกับไทย


ส่วนข้าวสาร1.5ล้านตันนั้น ต่อมาไทยได้เจรจาต่อรอง และอังกฤษยอมจ่ายเงินเป็นค่าข้าวให้บ้าง แมัจะไม่ให้เท่าราคาที่ไทยเรียกร้องเพราะอังกฤษเอาไปบริจาคเลี้ยงผู้อดอยากจากพิษสงครามในเครือจักรภพ มิได้เอาไปขายเอากำไร
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 370  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 20:10

ถ้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น โดยส่วนตัวคิดว่าอีกคนที่น่าจะพูดถึงคือ นายควง อภัยวงศ์ ครับ ถึงแม้ท่านจะดูกลับกลอกไปมา แต่ก็เพราะความมีไหวพริบ(ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ต้องอุทานว่า "พริ้ว") จึงทำให้ค่อนข้างจะผ่อนหนักเป็นเบาได้ในหลาย ๆ ครั้ง อย่างกรณีญี่ปุ่นเริ่มจะจับได้ว่ามีการสร้างสนามบินลับในหลาย ๆ จังหวัด หรือแม้แต่กรณีการโดดร่มของเหล่าเสรีไทย ก็ได้ไหวพริบปฏิภาณของท่านผู้นี้ช่วยไว้หลายครั้ง แม้อุปนิสัยของท่านคนภายนอกมองว่าไม่ค่อยตรง แต่ผมว่าในสถานะการณ์อย่างนั้น คนแบบนี้เหมาะที่สุดแล้วครับที่จะรับภาระกิจสำคัญ ๆ แบบนี้

น่าคิดว่า ถ้านายควง รับบทนายกฯ เสียแต่แรกก่อนญี่ปุ่นจะบุก หน้าตาผลภายหลังสงครามโลกของเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร

สำหรับท่านจอมพลฯ โดยส่วนตัวผมคิดว่า แกน่าจะเก่งกับคนไทยด้วยกันเองมากกว่า จะไปเก่งกับคนต่างชาติครับ
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 371  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 20:14



นอกจากนั้นไทยยังต้องทำการตกลงกับฝรั่งเศษในการที่จะเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติด้วยการคืนดินแดนที่ได้มาจากกรณีพิพาทอินโดจีนเมื่อปีพศ. 2483 ให้แก่ฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศส เรียกร้องที่จะให้ไทยมอบพระแก้วมรกตให้แก่ฝรั่งเศษ ซึ่งฝรั่งเศษอ้างว่า พระแก้วมรกตเคยอยู่ในลาวมาก่อนถึง 200 กว่าปี ก่อนที่จะมาอยู่ทีกรุงเทพฯ และเมื่อลาวเป็นดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศษแล้ว ไทยจึงควรจะต้องคืนพระแก้วมรกตให้แก่ลาวด้วย แต่ไทยก็อ้างว่า การค้นพบพระแก้วมรกตครั้งแรกนั้น เป็นการค้นพบในประเทศไทย และการที่พระแก้วมรกตต้องอยู่ในประเทศ ลาวถึง 200 กว่าปีนั้น เป็นเพราะว่า พระไชยเชษฐาได้นำพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงใหม่ไปไว้ในเมืองหลวงพระบาง และเมืองเวียงจันทน์ในที่สุด ดังนั้น การที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อันเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ยังกรงธนบุรีและกรุงเทพฯ ตามลำดับนั้น เป็นการนำกลับคืนมาสู่สถานที่เดิม ข้อเรียกร้องของฝรั่งเศษข้อนี้จึงตกไป เพราะอังกฤษกับอเมริกาเห็นด้วยกับไทย [/color]


ตรงนี้ต้องขอยกย่อง บุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้แก้ข้อกล่าวหานี้ไว้ครับ จำชื่อท่านไม่ได้เสียแล้ว ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็น กรมหมื่นพิทยลาภฯ หรือไม่ครับ ?
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 372  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 20:23

เราคงพอจะมองเห็นว่า ความคิดเห็นของจอมพล ป. และนายปรีดีในเรื่องชาติและญี่ปุ่น ไม่ลงรอยกันนักมาตั้งแต่ญี่ปุ่นบุก   ในรายงานการประชุม มีหลายครั้งที่แสดงว่านายปรีดีพยายามทัดทานมิให้จอมพล ป.สนับสนุนญี่ปุ่นมากเกินไปนัก     ในประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา  นายปรีดีไปต่างจังหวัด ลงชื่อไม่ทันในครั้งแรก   ก็น่าจะแสดงถึงการปฏิเสธในระดับหนึ่ง เพราะเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนั้น   รัฐมนตรีคลังก็คงไม่ไปไหนไกลจนตามตัวไม่ทัน
ความขัดแย้งระหว่างพญาเสือสองตัวในถ้ำเดียวกันเห็นชัด เมื่อจู่ๆปีต่อมา คือเมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๘๕ จอมพล ป. ก็นำค.ร.ม.ถวายบังคมลาออกทั้งชุด  โดยไม่มีสาเหตุแน่ชัดว่าอะไร    และพอลาออกปุ๊บ  ก็ได้รับพระบรมราชโองการลงนามโดยคณะผู้สำเร็จราชการให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งเดิมปั๊บ   แต่ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นของนายปรีดี เปลี่ยนมือไปเป็นรมว.ใหม่ คือนอ.เทียน เก่งระดมยิง   ส่วนนายปรีดีอยู่ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
การที่นายปรีดีพ้นตำแหน่งรมว.คลังและพ้นจากตำแหน่งในรัฐบาลไป  ว่ากันว่าญี่ปุ่นพอใจ  เพราะนายปรีดีไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับญี่ปุ่นในหลายๆเรื่อง    เมื่อท่านพ้นตำแหน่งบริหารไปแล้ว  ก็จะได้ไม่เป็นที่กีดหน้าขวางตาอีก      แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ญี่ปุ่นก็ไม่รู้ว่า นายปรีดีได้ดำเนินการลับประสานงานกับเสรีไทยนอกประเทศ

ถ้าใครยังติดตามเรื่องวัธนธัมอยู่    ก็ขอตอบว่า ในยามสงคราม  วัธนธัมไทยก็ยังเดินหน้าต่อไปเต็มที่    เหมือนเมื่อตอนก่อนสงคราม  คนไทยสวมหมวกกันทั้งหญิงชายมาตลอดเวลาที่ระเบิดลงตูมตามอยู่บนหัว
ล่วงมาจนปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา  นโยบายใหม่ของจอมพล ป. คือสร้างฐานทัพใหม่ที่เพชรบูรณ์    เป็นศูนย์เชื่อมการติดต่อกับกรุงเทพ ขึ้นเหนือไปจนลำปาง  และต่อเชื่อมไปจนถึงยูนนานใต้    ท่านให้เหตุผลว่าเพื่อจะใช้ทำศึกกับญี่ปุ่น  เพราะเห็นว่ากำลังของญี่ปุ่นชักจะอ่อนลงมากแล้ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 373  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 20:32

เคยอ่านพบชื่อผู้แทนที่ไปเจรจาทางฝ่ายไทยเรื่องพระแก้วมรกต   ไม่ใช่กรมหมื่นพิทยลาภ ฯ แต่เป็นเชื้อพระวงศ์ระดับม.ร.ว.  ลืมชื่อไปเสียเฉยๆค่ะ   ต้องถามท่านกูรูใหญ่กว่า  เผื่อท่านนึกออก


อ้างถึง
ส่วนที่คุณนวรัตนบอกในตอนท้ายว่าเรารอดมาได้ไม่เป็นฝ่ายแพ้    ผู้เชี่ยวชาญทางปวศ.ท่านหนึ่งที่ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ดิฉัน ท่านบอกว่า ไทยไม่ได้รอดหรอก  โดนอังกฤษเรียกค่าเสียหายจนอ่วม  พอๆกับเป็นฝ่ายแพ้น่ะแหละ  เขาชาร์จเราเป็นค่ายกมือเห็นด้วยกับอเมริกา



คือผมถือว่าเราเจ๊าครับ ไม่ได้เจี๊ยะแต่ก็ไม่ได้เจ๊ง

อ้างถึง
ขบวนการเสรีไทย...... มาช่วยทำให้ฝรั่งไม่ถล่มเราเละเทะเหมือนชาติผู้แพ้สงครามจะพึงโดนกระทำอื่นๆ



เห็นด้วยค่ะ
แฟนคลับมาชูป้ายร่วมวงเสวนากันคึกคัก ไม่เงียบเชียบเหมือนเมื่อวาน     ดีใจแทน เดอะ สตาร์จริงๆ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 374  เมื่อ 10 ก.ค. 10, 20:59

เสียดาย ดิฉันไม่มีหนังสือประวัติและผลงานของนายควง อภัยวงศ์อยู่ในมือเลย  เลยไม่สามารถจะเล่าได้  ต้องขอเชื้อเชิญผู้รู้มาร่วมแจมเรื่องนี้
จำได้ว่าชอบท่านเรื่องหนึ่งที่พอขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาลแล้ว   ก็เลิกห้ามคนไทยกินหมาก ใส่หมวก  นุ่งโจงกระเบนก็ได้ไม่ว่ากัน

โครงการจังหวัดเพชรบูรณ์นี้เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าว่า จอมพลป.ท่านจะย้ายเมืองหลวงไปที่นั่น  รัฐสภาเองก็รับรู้เช่นนั้น   แต่จอมพล ป. ท่านอธิบายว่าเหตุผลแท้จริง คือเป็นฐานทัพแห่งใหม่เพื่อรบขับไล่ญี่ปุ่น     ดิฉันได้ยินคำบอกเล่ามาเช่นกันว่า การสร้างเส้นทางเชื่อมเพชรบูรณ์นั้นลำบากทุรกันดารมาก ทำเอาแรงงานที่เกณฑ์มาล้มตายไปมากมายเพราะไข้ป่าและกันดารของภูมิประเทศ   

ผลก็คือ รัฐบาลก็ต้องลาออกเพราะแพ้คะแนนเสียง เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ๒๔๘๗  ช่วงนั้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใกล้จะสิ้นสุด  ฝ่ายค้านในสภาเห็นว่า  เพชรบูรณ์เต็มไปด้วยป่าเขาและโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เหมาะจะเป็นเมืองหลวง  และที่อพยพหลบภัย  นอกจากนี้ส.ส.ยังไม่เห็นด้วยกับการเกณฑ์แรงงานไปสร้างถนนหนทางและสถานที่ราชการ   การขับไล่คนต่างด้าวมิให้เข้าไปทำมาหากินในเขตเพชรบูรณ์  ล้วนถูกหยิบยกมาเป็นข้อคัดค้าน

การแพ้คะแนนโหวตจนจอมพล ป.ต้องลาออกนี้   มีหนังสือกล่าวถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังเอาไว้ ๒ เรื่อง  คือ หนังสือ "จอมพล ป.พิบูลสงคราม" โดย อ. พิบูลสงคราม   เล่าไว้ว่า  การสร้างเมืองใหม่เป็นอุบายของท่านจอมพล ปกปิดมิให้ญี่ปุ่นระแวงว่าที่จริงเรากำลังสร้างฐานทัพไว้ขับไล่ญี่ปุ่นต่างหาก  มีแผนยุทธศาสตร์ประสานกับจีนทางใต้อย่างที่ดิฉันเล่าไว้ในค.ห.ข้างบนนี้ 
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้อธิบายว่า
"รัฐบาลอยากพูดก็พูดไม่ได้     ส่วนส.ส.ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทราบว่าเป็นอุบายของรัฐบาล แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ทราบ     ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจำต้องปิดปากตัวเอง   และภายหลังจากถูกโจมตีตรงจุดอ่อน จนรัฐบาลบอบช้ำ ไม่มีทางสู้อย่างไรต่อไปแล้ว  สภาฯก็ลงมติไม่อนุมัติพ.ร.ก.ฉบับนี้ด้วยคะแนน ๔๘ ต่อ ๓๖"

ผู้เขียนยังเล่าต่อไปว่า
" ในวันนั้นจอมพลป.มิได้ไปชี้แจงที่สภาด้วยตัวเอง  เพราะในระหว่างสงคราม ท่านมักไม่มีโอกาสได้ไปประชุมสภาฯบ่อยครั้งนัก     เพราะท่านไม่เคยข่มขู่สภาฯ โดยวิธีของระบอบเผด็จการ  แต่ในการที่สภาไม่อนุมัติ พ.รก. ...สภาถูกนัก " ประชาธิปไตย"คนใดข่มขู่ไว้ด้วยกลอุบายอันสกปรกโสมมอย่างไร  ก็คงเป็นที่ประจักษ์กันได้ดีแล้ว    และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดจากนักการเมืองพลเรือน ไม่ใช่ทหาร"

บุคคลปริศนาในค.ห.นี้ เป็นใคร ไม่ทราบ    เชิญท่านทั้งหลายเดาเอาเอง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 46
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.246 วินาที กับ 19 คำสั่ง