จุลลดา ภักดีภูมินทร์เล่าเรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง เดินขบวนครั้งแรก พุทธศักราช ๒๔๘๓
http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=5127&stissueid=2715&stcolcatid=2&stauthorid=13 ทว่า เมื่อถึงวันที่ ๘ ตุลาคม บรรดานิสิต นิสิตา นักเรียนเตรียมจุฬาฯ ก็รวมตัวกันที่บริเวณมหาวิทยาลัยแต่เช้า พากันเดินขบวน ชูป้ายที่ช่วยกันทำช่วยกันเขียนด้วยถ้อยคำต่างๆ คน ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ คน เดินกันไปตะโกนเสียงลั่นสนั่นไปตามท้องถนน เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ผู้คนจึงพากันตื่นเต้น และพลอยถูกปลุกให้เกิดความรู้สึกรักชาติขึ้นมาด้วย
เดินกันไปร้องตะโกนกันไปตามถนนจนถึงกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ไปกล่าวปราศรัยท่ามกลางเสียงโห่ร้อง แล้วจึงพากันเดินขบวนกลับ
ตอนบ่ายประมาณ ๑๕.๐๐ น. วันนั้น นักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ก็รวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยบ้าง แล้วเดินขบวนไปที่กระทรวงกลาโหม ครั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้มาปราศรัยเช่นกัน และได้นำนักศึกษา กล่าวคำปฏิญาณตนหน้ากระทรวงกลาโหม หันหน้าไปยังวัดพระแก้ว
ตั้งแต่วันที่ ๘ เป็นต้นมา ก็มีการเดินขบวนกันคึกคักทั่วพระนครแล้วลุกลามออกไปตามต่างจังหวัด พากันเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนกันอย่างครึกโครม
แต่การเดินขบวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการเดินขบวนของประชาชนหลายหมื่นคน ซึ่งมีทั้งองค์การต่าง ๆ และประชาชน ซึ่งมาชุมนุมกัน ณ ท้องสนามหลวง แล้วออกเดินถือป้ายแห่แหนไปทั่วพระนคร
เวลานั้นผู้เล่ายังเด็ก ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก แต่ผู้คนในบ้านนั้นหลายคนออกไปดูเขาบ้าง บางคนที่เป็นเด็กชายคะนองใกล้หนุ่มก็อาจพลอยไปสมทบเดินกับเขา โดยเฉพาะเด็กชายวัยรุ่นซึ่งมีหน้าที่รับใช้พ่อ ลุง อา กลับมาทำท่าเดินถือป้ายให้พวกทางหลังบ้านดู ปากก็ร้องว่า
“พูดดี ๆไม่ชอบต้องปลอบด้วยปืน”
ประโยคนี้ดูจะ ‘ฮิต’ ที่สุดขณะนั้น
ร้องถามว่า “ไปไหน”
แล้วตอบเอง “ไปปากเซ”
ถามอีก “ไปทำไม”
ตอบเอง “ไปรบกับมัน”
ย่าเดินออกมาจากทางหน้าเรือนพอดี ร้องถามว่า
“ปากเซอยู่ไหน เอ็งรู้กะเขาเรอะ”
เขาทรุดลงนั่งคุกเข่า หัวเราะแหะ ๆ
“ไม่ทราบครับผม”
ย่าด่าคำหนึ่งด้วยความเคยปากอย่างคนแก่สมัยโบราณ แต่ก็อดหัวร่อไม่ได้
ขบวนประชาชนหลายหมื่นคนนั้น มีอยู่คณะหนึ่งใช้ชื่อว่า ‘คณะเลือดไทย’ เขาแจกใบปลิวด้วยมีข้อความปลุกใจ และขอให้รัฐบาลดำเนินการเรียกร้องเอาดินแดนคืนมา
อ่านให้ย่าฟังแล้วแต่จำไม่ได้เลย จำได้แต่เนื้อเพลงปลุกใจที่หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แต่ง ที่ว่า
“เลือดไทยไหลริน ทาแผ่นดินไว้ชื่อ
ให้โลกได้รู้ร่ำลือ ว่าเลือดไทยกล้าหาญ”
เมื่อเด็ก ๆ เคยร้องได้จบ ส่วนมากร้องได้จบเกือบทุกเพลง เช่นเพลง ‘ข้ามโขง’
ต่อมายังไม่ทันได้ดินแดนคืน ก็เกิดรบกันขึ้นตามชายเขตแดนก่อน แล้วเลยเป็นสงครามใหญ่เหมือนกัน ที่เราเรียกว่าสงครามอินโดจีน รัฐบาลส่งกองทัพไปรบ จำได้แม่นยำ ๒ กองทัพ ที่จำได้เพราะมีเพลงปลุกใจออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง ซึ่งเราเด็กๆพากันร้องตาม มาถึงตอนนี้เหลือจำได้เพียงกระท่อนกระแท่น
“ทัพพรหมโยธี ไชโย (ชูกำปั้น) ยกเข้าโจมตี พวกไพรี แตกหนีพ่ายไป ไชโย...ไชโย” ตอนหนึ่ง
ส่วนอีกตอนหนึ่งจำได้ยาวหน่อย
“กองทัพเกรียงศักดิ์ ยกเข้าหาญหัก ไชโย (ชูกำปั้น) ได้จำปาศักดิ์ มาสมัครสมาน
พี่น้องเลือดไทย ล้วนใจชื่นบาน เทอดเกียรติทหารหาญ ของไทยยิ่งเอย”