มาปั่นเรตติ้ง

จากเว็บ thaisermons.com
“สอนวิชาอะไรก็สอนได้ แต่อย่าริสอนให้ใครเป็นนักเขียน เป็นกวี เพราะไม่มีวันสอนได้สำเร็จเด็ดขาด!” เป็นคำกล่าวของคุณณรงค์ จันทร์เรือง นักคิดและนักเขียนที่มีชื่อเสียงของไทย ในคอลัมน์มิตรน้ำหมึก
ของมติชนรายสัปดาห์ (ฉบับ ๒-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑)
นักเขียนเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ (หรือตามความเชื่อของคริสเตียนว่า มันเกิดขึ้นโดยพระเจ้าประทาน)และด้วยใจรักของคนนั้นเอง ลมจะพัด ดอกไม้จะบาน น้ำในลูกมะพร้าวไม่มีใครเอาไปใส่ มันเกิดขึ้นเองฉันใด นักเขียนก็เกิดขึ้นเองฉันนั้น
เมื่อสี่ห้าสิบปีก่อนมีครูบาอาจารย์หลายคน พยายามที่จะเปิดโรงเรียนสอนนักเขียน เช่น อาจารย์เปลื้อง ณ นคร (ที่มีนามปากกว่า “นายตำรา ณ เมืองใต้”) ได้เปิดโรงเรียนสอนการประพันธ์ทางไปรษณีย์ และอาจารย์เจือ สตะเวทิน ก็ออกนิตยสาร “สังคมประพันธ์”
เมื่อถามถึงเคล็ดลับแห่งความสำเร็จในการเป็นนักเขียน อาจารย์เปลื้องตอบว่า “ไม่มี ผมไม่ได้รับความสำเร็จในการเขียนหนังสือ ไม่ว่าเรื่องสั้นหรือเรื่องยาวใดๆทั้งสิ้น ผมมีแต่ภาคทฤษฎีที่มาจากนักเขียนโด่งดังทั่วโลก แต่ภาคปฏิบัติน่ะ พวกท่านทั้งปวงต้องแสวงหาด้วยตนเอง”
วิลาศ มณีวัต นักเขียนอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “เด็กที่มันเกิดมาสำหรับการจะเป็นนักประพันธ์นั้น มันย่อมมีแรงขับดันอยู่ภายใน สุดท้ายมันก็ระเบิดออกมาเป็นบทประพันธ์จนได้” “ไม่ต้องห่วง นักเขียนจะมีต้องอยู่เรื่อยๆ มันก็เหมือนพวกละครหรือลิเกนั้นแหละ จะต้องมีคนนำมาแสดงอยู่เรื่อยๆ”
อิงอร (นามจริงคือศักดิ์เกษม หุตาคม) เจ้าของฉายา “ปากกาชุบน้ำผึ้ง” ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ใครอย่าริสอนให้คนอื่นเป็นนักเขียน กวี หรือนักแต่งเพลงเสียให้ยากเลย เพราะหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีทางสอนได้สำเร็จ มันไม่เหมือนกับสอนให้คนเป็นช่างฟิต ช่างตัดผม ช่างไฟฟ้าหรือว่าช่างตัดเสื้อ จะเป็นนักเขียนเป็นกวีได้ต้องมีอารมณ์ ต่อให้ครูสอนแทบปากกาหัก แต่ตอนนั้นไม่มีอารมณ์ร่วม ซะอย่าง...”