เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 8
  พิมพ์  
อ่าน: 34581 มองมาเลย์ แล้วเหล่ดูไทย
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 29 พ.ค. 10, 08:03

มาดึงกระทู้ไม่ให้ตก    ด้วยการเอารูปมะละกาที่หาได้จากกูเกิ้ลมาให้ดู    รูปที่ถ่ายไว้ยังหาไม่เจอ
หรือต่อให้หาเจอก็คงไม่ได้มุมดีเท่านี้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 29 พ.ค. 10, 08:07

สามล้อบุปผชาติ กับคลองน้ำสะอาดของมะละกา เป็น ๒ อย่างที่ชอบที่สุด



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 29 พ.ค. 10, 09:26

ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ ที่เอาดอกไม้ใส่สามล้อมาประดับกระทู้นี้ให้ชุ่มชื่น
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 29 พ.ค. 10, 09:28

ขออนุญาตให้ผมมองมาเลย์ แล้วเหล่เมืองไทยในมุมมองของผมต่อ..

ตอนที่ตนกูอับดุล เราะห์มานได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคอัมโนคนใหม่ มีข้อขัดแย้งระหว่างคนในชาติซับซ้อน ในส่วนของคนมาเลย์นั้น ฝ่ายอำมาตย์น้อยใหญ่ก็ยังต้องการรักษาสถานะของตนเองอย่างเหนียวแน่น ในขณะที่กลุ่มปัญญาชนคนสามัญในพรรคก็พยายามต่อรองเอาอำนาจในการปกครองมาอยู่ในมือให้มากเท่าที่จะได้ ส่วนคนจีนนั้นถูกคนมาเลย์รังเกียจว่าเป็นไพร่ ก็ขัดแย้งกันเองในระหว่างกลุ่มคนมีโอกาส กับคนไม่มีโอกาส  ที่ท่านตนกูได้รับเลือกว่าเหมาะสมกับตำแหน่งทั้งๆที่เป็นเณรในเรื่องการเมือง ก็ด้วยคนกลุ่มใหญ่ในพรรคเห็นว่า ท่านมีลักษณะประนีประนอม และการเป็น“ตนกู”ก็น่าจะทำให้พวกอำมาตย์ด้วยกันเกรงใจ

ดาโต๊ะฮุสเซน ออนพลาดไปจากการเสนอให้คนจีนเข้าพรรคอัมโนได้ ท่านตนกูแก้ด้วยการชวนพรรคเถ้าแก่(สมาคมคนจีน)มาเป็นพันธมิตร  ตอนไปอังกฤษด้วยกันครั้งแรกกับนายตัน ตงไฮ เลขาธิการพรรคสัมพันธมิตร ทั้งคู่นอนโรงแรมห้องเดียวกัน (สมัยโน้นธรรมดาเพราะแปลว่าสนิทสนมกันมาก ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องโดนตั้งข้อสันนิฐานไว้ก่อนว่ามีความเบี่ยงเบนในรสนิยมประการใดบ้างหรือเปล่า) แต่ไม่ได้ล้มเหลวแค่เจรจากับอังกฤษไม่บรรลุผล กลับมาแล้วทั้งคู่ยังโดนข้อกล่าวหาจากฝ่ายของตน ท่านตนกูถูกเพ่งเล็งว่า ยอมให้พวกคนจีนตามที่ขอมากไป (ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาตลอดกาลที่ฝ่ายตรงกันข้ามในพรรคโจมตีท่าน) แต่นายตัน ตงไฮหนักหน่อย เจอข้อหาทรยศต่อกากี่นั้งคนจีน ที่ไปเดินตามก้นอำมาตย์  ที่ตอนหลังของชีวิตยิ่งชัดเพราะตนอับดุล ราซักเปลี่ยนศาสนาให้เป็นคนมุสลิม ชื่อเต็มยศว่าตันศรี มูฮัมมัด ตาเฮียร์  ตัน ตงไฮ

ตอนไปอังกฤษครั้งที่สอง จึงมีคนจีนร่วมคณะไปหลายคน และผู้แทนของสุลต่านรัฐละหนึ่งคน ติดตามไปด้วยเพื่อสังเกตุการณ์ว่าจะไปตกลงอะไรกัน เมื่ออังกฤษตั้งคณะทำงานอิสระเพื่อร่างรัฐธรรมนูญให้สหพันธรัฐมาลายูแล้วเสร็จ กฏหมายภูมิปุตรายังคงอยู่ และระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอการระเบิด


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 29 พ.ค. 10, 09:31

กฏหมายภูมิปุตราคือผลลัพท์จากการตกลงกันได้ในฝ่ายของพวกมาเลย์เองที่จะประกาศให้ทุกคนรู้ว่า “พวกข้าเท่านั้นนะเว้ย.เฮ้ยพวกเจ้า ที่มีสิทธิ์ พวกเจ้าไม่เกี่ยว” ด้วยกฎหมายนี้ คนเผ่าพันธุ์ที่เกิดในมลายูแท้ๆ รวมทั้งเผ่าเงาะป่า ซาไกที่นับถือศาสนาอิสลาม ถูกนับว่าเป็นบุตรของแผ่นดินเจ้าของประเทศทั้งสิ้น (ต่อมามีการแก้ให้พวกที่อยู่มาดั้งเดิมก่อนคนจีน แม้ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เช่นชาวสยามที่อยู่ในรัฐตอนเหนือ ก็ถือว่าเป็นภูมิปุตราด้วย แต่ได้สิทธิ์ด้อยกว่าคนมุสลิมหน่อยนึง ถือเป็นภูมิปุตราชั้นสอง นอกนั้นแล้ว คือคนต่างด้าวถือสัญชาติมาเลเซียทั่วหน้าหมด

พวกภูมิปุตรามีสิทธิพิเศษในการถือครองที่ดิน การได้โควต้าเข้าศึกษาในระบบการศึกษาของรัฐ การมีสิทธิ์ซื้อพันธบัตรของรัฐบาล การกู้เงินจากธนาคารภูมิปุตราการมีสิทธิ์เป็นผู้เข้าประมูลในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ หยุมหยิมไปกระทั่งสิทธิ์ในการซื้อรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ

แต่ที่แสบก็คือ การจดทะเบียนการค้าของบริษัทใดๆ จะต้องมีผู้ถือหุ้นเป็นภูมิปุตรา30% และการจัดสรรบ้านและที่ดินภาคเอกชน จะต้องกันไว้10% เพื่อผู้ซื้อที่เป็นภูมิปุตราโดยต้องมีส่วนลดให้7% ด้วย สิ่งเหล่านี้พวกเถ้าแก่เจ้าของบริษัทอาจจะไม่คับแค้นเท่าคนจีนที่ทำมาหากินตัวเป็นเกลียวแต่จำเป็นต้องซื้อบ้านในราคาแพงขึ้น เพราะเท่ากับต้องจ่ายให้คนมาเลย์จำนวนหนึ่ง ซื้อของอย่างเดียวกัน แต่ราคาถูกกว่าไว้ขายทำกำไรในอนาคต การประมูลรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อของในวงราชการ แม้จะเป็นธุรกิจโดยตรงของคนจีน พวกเถ้าแก่ก็ต้องไปวิ่งหาพวกอำมาตย์มาออกหน้าเป็นผู้เข้าประมูลในนาม เหนื่อยแทบตาย อำมาตย์เอาค่าหัวไปเหนาะๆไม่ต้องเสียเหงื่อ เพราะออกแรงแค่ยกหูโทรศัพท์หาคอนเนคชั่น

กฏหมายภูมิปุตราสร้างความพอใจให้กับคนมาเลย์ทุกระดับชั้น เพราะทุกคนได้ประโยชน์หมด ใครกว้างขวางก็ยิ่งสามารถทำเงินได้มาก แต่ก็ไม่ทำให้พวกเถ้าแก่รวยน้อยลง คนจีนเพียงแต่เหนื่อยขึ้นหน่อย แต่คับแค้นใจมากขึ้นเท่านั้นเอง

แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ ผมคิดว่ากฏหมายภูมิปุตรานี้มิได้มีเฉพาะในมาเลเซีย ในกลุ่มอาหรับทุกประเทศมีกฎหมายลักษณะเดียวกันนี้มากบ้างน้อยบ้างกว่ากันเท่านั้นเอง ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ผมไปมีประสพการณ์อยู่บ้างนั้น คนอาหรับทั้งประเทศมีไม่ถึง15%ของจำนวนประชากร นอกนั้นเป็นผู้อยู่อาศัย ไม่มีสิทธ์เสียงทางการเมืองการปกครองอย่างใดทั้งสิ้น คนอาหรับมีอาชีพแค่เป็นทหาร ตำรวจผู้ถืออาวุธ หรือรับราชการระดับนาย พนักงานในกรมกองว่าจ้างชาวต่างชาติหมด คนอาหรับถ้าไม่ได้รับราชการก็นอนอยู่กับบ้าน รับจ็อบเป็นผู้อุปถัมภ์บริษัท (ตามกฏหมายใช้คำว่า sponsor) ที่ชาวต่างชาติมาทำธุรกิจทุกชนิดจะต้องมี1คนตามกฏหมาย  โดยจะต้องจ่ายส่วนแบ่งกำไร อย่างน้อย10%ให้สปอนเซอร์

ผมมั่นใจว่าคนอังกฤษนั่นแหละที่เป็นคนคิดแม่บทกฏหมายอันนี้ขึ้นมาให้พวกเมืองขึ้นของตนเอาไปดัดแปลงเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 29 พ.ค. 10, 09:37

จะว่าไป ทุกประเทศก็มีกฏหมายว่าด้วยการทำธุรกิจของคนต่างด้าวในทำนองเดียวกันนี้ ในประเทศไทยก็มี แต่ทำไมจึงไม่เกิดความขัดแย้งเช่นกรณีย์ของมาเลย์
หากคนชาติใดก็ตามไปรวมกลุ่มกันมากๆผิดฐานถิ่น  ก็มีโอกาสเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้าถิ่นถึงเลือดตกยางออกได้  ในประวัติศาสตร์ไทยก็มีกบฎมักกะสัน ช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ที่มุสลิมอินโดโดนทหารปราบเรียบ หรือคนจีนอพยพในสมัยรัตนโกสินทร์จัดตั้งกลุ่มอั้งยี่ เป็นที่หนักอกหนักใจแก่เจ้าของบ้าน ถึงต้องออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำในลักษณะอั้งยี่ ร.ศ.116 มาปราม หนักเข้าก็ต้องปราบกันแรงๆ ทั้งกรุงเทพและหัวเมืองที่มีคนจีนไปอยู่มากๆ คนจีนถูกฆ่าตายเป็นเบือเหมือนกัน

คำว่าอั้งยี่เป็นภาษาจีนที่ราชการรับมาเป็นภาษาไทย เป็นสมาคมลับที่กลายพันธุ์มาจากสมาคมหงเมิน ใครอยากทราบว่าคนจีนอพยพไปอยู่ที่ไหนแล้วเจ้าของบ้านเขาจะต้องหนักใจเพียงใดก็ให้เข้าไปดูในเวปนี้

http://www.thaichinese.net/thaichineseblog/hongmen/

จุดต่างที่วิเศษทำให้เราไม่เหมือนมาเลเซียก็คือ วัฒนธรรมของชาวสยามแต่ไหนแต่ไรมามิได้รังเกียจคนต่างชาติที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสัมภาร กระทั่งพวกเชลยศึกที่กวาดต้อนมาก็เถอะ พวกนี้ไม่ได้ถูกเอามาเป็นทาส แต่เอามาเป็นพลเมืองสยาม ดังนั้นเพียงสองสามชั่วคน ลูกหลานของคนต่างเชื้อชาติศาสนา ก็เป็นคนไทย พูดภาษาไทย รักเมืองไทย แม้จะต่างศาสนาแต่ก็มีสำนึกของความเป็นคนชาติเดียวกัน

ตอนผมเป็นเด็กๆ แม่ชอบเอาไปเป็นเพื่อนเวลาไปซื้อของสำเพ็ง ยังจำได้ว่าทุกร้านค้าจะพูดจีนกันโขมงโฉงเฉง ภาษาไทยอีพู่กม่ายชัก  เดี๋ยวนี้หาพ่อค้าแม่ขายพูดภาษาจีนยาก ทุกคนชื่อเป็นไทยพูดไทยชัดแจ๋ว สมัยก่อนบัตรประชาชนที่ให้สัญชาติไทยแก่ลูกคนต่างด้าวที่เกิดในเมืองไทย นั่นก็นับว่าดีแล้ว แต่ยังต้องระบุเชื้อชาติ เช่นเชื้อชาติจีน สัญชาติไทย ทุกวันนี้ยิ่งดีไปใหญ่ทุกคนไม่ต้องระบุเชื้อชาติ เป็นคนไทยสัญชาติไทยก็พอแล้ว


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 29 พ.ค. 10, 10:42

อ้างถึง
จุดต่างที่วิเศษทำให้เราไม่เหมือนมาเลเซียก็คือ วัฒนธรรมของชาวสยามแต่ไหนแต่ไรมามิได้รังเกียจคนต่างชาติที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสัมภาร กระทั่งพวกเชลยศึกที่กวาดต้อนมาก็เถอะ พวกนี้ไม่ได้ถูกเอามาเป็นทาส แต่เอามาเป็นพลเมืองสยาม ดังนั้นเพียงสองสามชั่วคน ลูกหลานของคนต่างเชื้อชาติศาสนา ก็เป็นคนไทย พูดภาษาไทย รักเมืองไทย แม้จะต่างศาสนาแต่ก็มีสำนึกของความเป็นคนชาติเดียวกัน

เห็นด้วยค่ะ  โดยเฉพาะเรื่องจีนกับไทย  แม้ว่ามีปัญหาอั้งยี่ขึ้นมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๓   แต่คนไทยก็ไม่ได้รังเกียจคนจีนที่ทำมาหากินเป็นปกติ
จาก นิราศเมืองแกลง ของสุนทรภู่
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวาง                  มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง                    ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง               พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์

ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ              พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซ                       สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 11:23

ช่วงก่อนและหลังสงครามโลก ประเทศจีนมีนโยบายที่จะใช้คนจีนโพ้นทะเลให้ทำงานรับใช้ประเทศจีน เริ่มต้นด้วยการบังคับต้องส่งเงินกลับไปให้รัฐบาลผ่านสมาคมคนจีนต่างๆ ส่งสายลับเข้ามาแทรกซึมในทุกประเทศที่มีคนจีนอพยพ  เมืองไทยก็เช่นกัน พอสงครามเลิกประเทศจีนนับเป็นประเทศผู้ชนะสงครามด้วย ส่วนไทยนั้นการที่ไปร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่นจีนถือว่าเป็นฝ่ายผู้แพ้ มีพ่อค้าจีนลุกขึ้นแต่งเครื่องแบบทหารก๊กมินตั๋งกันหลายคนคล้ายๆตอนญี่ปุ่นบุก ตากล้อง หมอฟันชาวญี่ปุ่นต่างปิดร้าน พากันสวมเครื่องแบบคาดซามูไรออกไปต้อนรับกองทัพลูกพระอาทิตย์ที่สวนสนามเข้าเมือง คนไทยมองอ้าปากหวอตาค้างไปตามๆกัน

ที่ว่าเมืองไทยมีพระสยามเทวาธิราชอภิบาลนั้นน่าจะจริง รัฐบาลไทยรีบออกตัวว่าการประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ และรีบปลดอาวุธญี่ปุ่นก่อนที่กองทัพต่างชาติจะเข้ามาปลด แล้วส่งสัญญาณผ่านเสรีไทยให้อังกฤษรีบเข้ามาก่อนที่กองทัพจีนจะขยับ บังเอิญในเมืองจีนก็เกิดรบกันเองอีกระหว่างทหารก๊กมินตั๋งกับกองทัพแดงของเหมาเจ๋อตุง เรื่องจีนจึงหมดห่วงไปเปลาะ ส่วนเรื่องฝรั่งก็ยังได้อเมริกา ขี่ม้าขาวมาช่วยคานอำนาจอังกฤษกับฝรั่งเศส จะทำกับไทยในฐานะผู้แพ้สงครามไม่ได้  เมืองไทยจึงรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างเหลือเชื่อ


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 11:37

พอกองทัพคอมมิวนิสต์ชนะในเมืองจีน เหมาก็เริ่มรื้อฟื้นการส่งออกลัทธินี้ผ่านเครือข่ายคนจีนที่อดีตเคยสร้างไว้

ผมคิดว่า การปลุกระดมมวลชนจำนวนมากขึ้นมาเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงรัฐนั้น จะต้องประกอบด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างนี้รวมกันในสัดส่วนที่ต่างกันตามแต่เหตุการณ์ กล่าวคือ หนึ่ง-ความเชื่อมั่นถือมั่นของคนหมู่มากร่วมกันว่าตนถูกกดขี่จนทนไม่ได้แล้ว เป็นไงก็เป็นกันขอสู้ตาย เพราะถ้าเหตุการณ์บานปลายก็มีสิทธิ์จะได้ตายจริงๆ หากไม่ก็ติดคุกหัวโต สอง-คือทุนทรัพย์ อะไรๆก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ยิ่งงานมวลชนประเภทนี้แกนนำยิ่งต้องใช้มากเสียจนคนส่งน้ำเลี้ยงคำนวณไม่ถูก

ในเมืองไทย คนจีนไม่ได้รู้สึกว่าถูกคนไทยข่มเหงเท่ากับที่ถูกพวกอั่งยี่รีดไถ และในบรรดาแกนนำคนจีนเองก็ยังมีคนสนับสนุนจีนคณะชาติเยอะ งานใต้ดินยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวพอจะปลุกระดมมวลชนได้ ฝ่ายซ้ายในสภาซึ่งเป็นซ้ายอุดมการณ์ก็ถูกตำรวจลับเอาไปยิงทิ้งเสียดื้อๆแล้วบอกว่าเป็นฝีมือโจรจีนมลายู ดังที่ผมเล่าไปแล้วในกระทู้โน้น พอจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ทำรัฐประหารในปี2500 พวกคอมมิวนิสต์เมืองไทยก็เหมือนผึ้งแตกรัง พากันหนีตายเข้าป่า หรือไปอยู่เมืองญวนเมืองจีนหมด เพราะท่านเป็นเผด็จการที่เกลียดคอมมิวนิสต์ สามารถเอาคนที่หมายหัวไปทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาให้ศาลพิพากษา

ในมลายู กฏหมายเปิดให้จัดตั้งพรรคการเมืองได้ แม้จะห้ามพรรคคอมมิวนิสต์ พวกคนจีนฝ่ายซ้ายก็จัดตั้งเป็นพรรคกรรมกร มีสมาชิกเยอะมากพอสมควร นับเป็นฝ่ายค้านที่ทรงอิทธิพล รัฐบาลท่านตนกูมักจะกล่าวหาเนืองๆว่าพรรคนี้คอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้หนุนหลังทางด้านการเงิน


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 11:46

ความบางตอนจากกระทู้ที่แล้ว

อ้างถึง
ตอนแรกคิดจะเขียนแตะเข้าไปในเรื่องการเมืองที่ท่านตนกูเล่น และที่มันกลับมาเล่นท่านเสียเองอยู่เหมือนกัน แต่สถานการณ์ในบ้านเราขณะนี้ไม่มีบรรยากาศที่จะทำตัวทำใจให้เป็นกลางได้ เดี๋ยวจะไปแขวะเอาเค้าเข้า กระทู้จะเละเสีย

อ้างถึง
...เรื่องไปแขวะใครนั้น  หากกระทู้เละ  ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว   ที่ไปอาราธนาเจ้าของกระทู้เข้าก่อน
เชื่อว่าจะมีผู้แอบฟังอยู่เงียบเชียบ มาเชียร์กันเงียบๆหลายคน   ดูจากเรตติ้งละกันค่ะ


ผมผลัดผ่อนท่านอาจารย์เทาชมพูเรื่องการเมืองไว้ ไม่อยากเอาไปปนกับกระทู้โน้นเพราะไม่แน่ใจว่า เรื่องที่ท่านตนกูมีเหตุต้องวางมือนั้น มีคนวางแผนให้การเมืองย้อนกลับมาเล่นงานท่าน หรือมันเป็นไปเองตามธรรมชาติของมัน ถ้าเขียนก็ต้องไปแตะเหตุการณ์ May 13 Incident ที่อ่านหนังสือสองสามเล่มแล้วสรุปก็ตะขิดตะขวงใจตนเอง เพราะป่านนี้ยังโต้กันในเวปไม่จบว่าใครก่อเหตุ ใครสมควรถูกประนาม ผู้สนใจอยากติดตามไปปวดหัวต่อก็ขอให้ป้ายเอาภาษาอังกฤษข้างปนไปแปะถามอากู๋ดู จะขึ้นมานับสิบหน้า

เมื่อ13พฤษภาคม 2512 ไพร่มาเลเซียเชื้อสายจีน ฮึดต่อสู้พวกอำมาตย์เชื้อสายมลายู ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่าบาดเจ็บล้มตายกันเป็นอันมาก มันมีความเหมือนที่แตกต่าง กับช่วง13พฤษภาคมปีนี้ ที่คนไทยพวกหนึ่งเรียกตนเองว่าไพร่ ยกพลพรรคแดงทั้งแผ่นดินมายึดถนนในกรุงเทพอยู่เป็นเดือนเพื่อจะล้มอำมาตย์ที่กินความหมายสูงแค่ไหนก็ทิ้งให้เป็นปริศนา ในที่สุดก็ปะทะกับผู้มีหน้าที่รักษาความสงบของแผ่นดินเข้าจนได้ ทั้งไพร่ทั้งทหารบาดเจ็บล้มตาย บ้านเมืองของคนไทยด้วยกันเองแถบหนึ่งถูกเผาวายวอด

ผมได้พยายามทำใจให้เป็นกลาง หวังจะเขียนให้เป็นเรื่องสร้างสรรในระหว่างที่บ้านเมืองและจิตใจผู้คนเป็นอย่างนี้ แต่หากเขียนออกมาแล้วจะถูกด่าว่าไม่เห็นเป็นกลาง(อาจจะด่าลับหลังนะครับ เข้ามาด่าโต้งๆในห้องนี้เดี๋ยวถูกคุณครูประจำชั้นตี) ก็คงจะยอมรับโดยดีว่าถูกของท่านผู้ด่า การทำใจเป็นกลางไม่ใช่ทำตัวเป็นกลางนะครับ คนละความหมายกัน วิญญูชนพึงใช้ปัญญาแยกแยะผิดชอบชั่วดี  และยืนให้ถูกฝ่ายอย่าไปอยู่ฝ่ายเลว หากอยู่ตรงกลางเขาเรียกว่านกสองหัว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 12:43

“If you are neutral in situations of injustice, you have chosen the side of the oppressor. If an elephant has its foot on the tail of a mouse and you say that you are neutral, the mouse will not appreciate your neutrality.”
 Bishop Desmond Tutu
 
"ถ้าคุณถือความเป็นกลางเมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรม   ก็คือคุณเลือกแล้วที่จะยืนอยู่ข้างผู้ข่มเหง  
ถ้าช้างกำลังเหยียบหางหนูเอาไว้    แล้วคุณบอกว่าคุณไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด   หนูย่อมไม่นิยมยินดีกับความเป็นกลางของคุณแน่นอน"
บิช็อป เดสมอนด์  ตูตู


“The hottest place in Hell is reserved for those who remain neutral in times of great moral conflict.”
Employing Dante's words   Martin Luther King, Jr.
 
" ที่ร้อนที่สุดในนรก สงวนไว้ให้ผู้ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เมื่อยามเกิดศึกความขัดแย้งระหว่างธรรมะกับอธรรม"
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง  อ้างจากบทกวีของดังเต
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 14:10

ท่านอาจารย์ยกมากล่าวดั่งนี้ชอบแล้ว
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 14:14

การจะนำความขัดแย้งของสังคมไปสู่จุดระเบิดนั้น ต้องมีคนสองขั้วประกอบกัน ขั้วหนึ่งเป็นพวกอุดมการณ์ อีกขั้วหนึ่งเป็นพวกฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ โดยทั้งสองฝ่ายต้องการเวลาเป็นตัวบ่มเพาะ ผมไม่ทราบว่าใครเป็นขั้วไหนในมาเลเซีย แต่เขาเริ่มจุดไฟแห่งความเกลียดชังขึ้นที่ปินังครั้งแรกในปี 2500 วันฉลองสถานภาพของรัฐมาเลย์ใหม่ที่อังกฤษมอบให้ ขบวนแห่ของคนจีนแวะตีกับกลุ่มคนดูชาวมาเลย์ คนตาย4บาดเจ็บครึ่งร้อย เหตุการณ์ร้ายยุติลงเร็วก่อนที่จะระบาดไปทั่วรัฐเพราะตำรวจคาดไว้แล้วล่วงหน้าและเตรียมการไว้ดี อีกสองปีต่อมาที่เกาะปังกอร์ ใต้ปีนังลงมา พวกแว้นมาเลย์ตีกับพวกตี๋เกียน ตายไปฝ่ายละคนสองคน แต่บ้านเรือนชาวบ้านพลอยถูกเผาพินาศไปหลายหลัง ต่อจากนั้นทั้งสองเชื้อชาติก็มีเรื่องวิวาทกันไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนระดับพ่อค้าแม่ขายในตลาด เกิดเป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง แต่ตำรวจก็เข้าจัดการเด็ดขาดทุกครั้ง เป็นอย่างนี้นับทศวรรษ

2509 รัฐบาลมาเลเซียประกาศลดค่าเงินริงกิตลงเล็กน้อยเพื่อแก้วิกฤตการคลังในประเทศ แต่พรรคกรรมกรถือเป็นเหตุที่จะปลุกระดม ประกาศเดินขบวน“ประท้วงทั้งแผ่นดิน”(ผมแปลตามศัพท์พิเศษที่พวกซ้ายคิดมาใช้เรียกว่า“ฮาตัล(Hatal)” ขึ้นที่ปินังซึ่งมีเชื้อแห่งความเกลียดชังถูกบ่มเพาะรออยู่แล้ว พอถึงจุดหนึ่ง การเดินขบวนแบบอหิงสาก็เปลี่ยนไปยั่วยุให้พวกแก้งค์ไพร่ทำร้ายคนมาเลย์ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในเกาะปินัง มีคนตายและบาดเจ็บมากมาย รถยนต์ทุกทุบหลายคัน บ้านเรือนถูกเผาวอดวายไปหลายหลัง

ขณะประเทศอยู่ระหว่างการเผชิญหน้ากับอินโดนีเซีย เด็กหนุ่มจีนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มาเลย์(ใต้ดิน)สมัครไปฝึกการยุทธในสงครามที่มิได้ประกาศในเกาะสุมาตรา และถูกนำมาโดดร่มลงในป่า แล้วถูกทหารมาเลย์จับได้รวม11คน ศาลใช้เวลากว่าสองปีพิพากษาในเดือนมิถุนายน2511ตัดสินในข้อหาจารชนให้ประหารชีวิต หัวหน้าพรรคกรรมกรหาคนมาร่วมลงนามได้หลายหมื่นคนเพื่อขอฎีกาคำสั่งศาล และปลุกระดมคนหลายพันไปขว้างปาขวดน้ำและก้อนอิฐอยู่หน้าคุก รถของประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาก็โดนไปด้วย แต่กรรมการพิจารณาฎีกาตัดสินยืน การต่อสู้ตามครรลองคลองธรรมก็ยังดำเนินต่อ มีการขอให้เปลี่ยนคณะกรรมการชุดนี้ ยื่นหนังสือให้กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประขาชาติ โทรเลขถึงโป๊ป และถึงซูการ์โนเองให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะสถานะการณ์เผชิญหน้าก็สิ้นสุดลงไปแล้ว ตอนนั้นท่านตนกูอยู่ในอังกฤษแต่ได้รับรายงานตลอด คณะรัฐมนตรีไม่มีใครกล้าแทรกแซงอำนาจศาล เมื่อท่านกลับมาเห็นสถานการณ์ด้วยตนเองแล้ว ความที่เป็นผู้ที่มีจิตใจเห็นแก่ทุกข์ของคนอื่น ท่านเห็นว่าเด็กพวกนี้น่าจะได้รับความเมตตา อย่างน้อยก็โดนขังคุกมาสองปีแล้ว  การให้อภัยจะทำให้สัมพันธภาพระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซียดีขึ้นด้วย ท่านจึงตัดสินใจทำหนังสือเรียกร้องถึงสาธารชน แจงเหตุผลดังกล่าว และความไม่คุ้มค่าถ้าสังคมจะแตกแยกกันด้วยเรื่องนี้ สองวันต่อมากรรมการพิจารณาฎีกาชุดที่ตั้งขึ้นมาใหม่มีคำสั่งให้ชลอการประหารชีวิตจำเลยไปก่อน และไม่นานต่อมาสุลต่านของรัฐยะโฮว์ และเปรักที่นักโทษถูกจำคุกรอการประหาร ได้มีคำสั่งให้ลดโทษประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 17:05

เมื่อเรื่องนี้จบลงไป ผู้ที่แสดงความยินดีต่อสิ่งที่ท่านตนกูกระทำก็คือพรรคการเมืองคนจีนฝ่ายขวา และคนมาเลย์บางส่วน แต่มีไม่น้อยแสดงความไม่พอใจที่ท่านไปอ่อนข้อให้คนจีน ความเคารพท่านในฐานะบิดาของมาเลเซียหม่นหมองลงเรื่อยๆ ที่แรงที่สุดคือมีโพสเตอร์เขียนภาพล้อว่าท่านกำลังคีบตะเกียบล้อมวงล่อหมูหันอยู่กับพวกเถ้าแก่ เป็นครั้งแรกที่ท่านรู้สึกว่าเจ็บปวดมาก ส่วนพรรคฝ่ายซ้ายจริงๆกลับหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความเห็นในเรื่องนี้ แม้ผิดหวังว่ามวลชนหันไปเห็นดีเห็นชอบกับพวกฝ่ายขวาที่ต้องการสมัครสมานกับพวกมาเลย์มากขึ้น
 
10 พฤษภาคม 2512 เป็นวันกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ อันที่จริงพรรคแรงงานประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งนี้หลายเดือนล่วงหน้ามาแล้ว แต่สองสัปดาห์ก่อนหน้านั้น คนของพรรคอัมโนคนหนึ่งถูกรุมฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหดด้วยหลาวไม้ไผ่ขณะเดินบนถนนมุ่งจะกลับบ้าน โดยกลุ่มวัยรุ่นของพรรคแรงงาน ศพถูกเอาสีแดงละเลงหน้าอย่างเอน็จอนาจ แต่พรรคอัมโนตกลงจัดพิธีศพอย่างมีเกียรติแต่ไม่เอิกเริก

และ6วันก่อนกำหนดวันเลือกตั้ง คืนนั้นสายตรวจของตำรวจในเมืองเกปง เขตชานกัวลาลัมเปอร์เมืองหลวง เจอสามวัยรุ่นกำลังป้ายคำขวัญของพรรคกรรมกรคัดค้านการเลือกตั้งอยู่บนพื้นถนน พอตำรวจเข้าจับ คนทั้งหมดขัดขืนและต่อสู้ด้วยเหล็กท่อน และฟืน ตำรวจจำเป็นต้องป้องกันตัวและยิงสวนไปหนึ่งนัด .ไปตายที่โรงพยาบาล

พรรคกรรมกรรอโอกาสอย่างนี้อยู่แล้วประตุจดังแร้งที่จ้องจะกินศพ จึงประกาศจัดพิธีแห่โลงไปฝัง โดยปลุกระดมมวลชนไปร่วมด้วย ตามกฎหมายการแห่ศพไปบนถนนหลวงจะต้องได้รับอนุญาตจากตำรวจเสียก่อน แต่แม้จะตายหลายวันแล้วก็ไม่รีบจัดการ จำเพาะเจาะจงขอจะจัดในวันที่9 ก่อนหน้าวันเลือกตั้งเพียงวันเดียว

เรื่องขนาดนี้ตำรวจทำต้องรายงานตามลำดับขั้นถึงฝ่ายการเมืองอยู่แล้ว ตนอับดุล ราซักในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย ขณะนั้นอยู่ระหว่างการหาเสียงในรัฐไกลออกไป ตอบผู้บัญชาการตำรวจที่โทรศัพท์ไปปรึกษา แนะนำตำรวจให้หลีกเลี่ยงการกระทำยั่วยุให้ฝ่ายค้านที่เตรียมเดินแห่ศพ มาเป็นเดินขบวนประท้วงก่อนวันเลือกตั้งเพียงวันเดียว

ส่วนท่านตนกูนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 30 พ.ค. 10, 17:56

คนจีนในไทย อยู่ในสถานภาพคนละแบบกับคนจีนในมาเลเซีย   การแบ่งแยกชนชั้นในสังคมไทย ไม่ขึ้นกับเชื้อชาติ ศาสนา  สีผิว    แต่ก็ไม่วายจะมีการสร้างขึ้นมาจนได้   ด้วยคำว่า "ไพร่" และ "อำมาตย์"
บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่า มันขีดคั่นแบ่งแยกกันได้หนักแน่นยังงั้นเชียวหรือ    ดูแต่"นายผี" ซึ่งต่อสู้เพื่อ "ไพร่" มาตลอดชีวิต ( มาตั้งแต่สมัยที่ไม่มีใครเรียกคนยากไร้ในสังคมว่าไพร่)   ท่านก็ยังเขียนบทกวีบันทึกถึงตระกูลของท่านด้วยความภูมิใจ   
"พลจันทร์"  เป็นอำมาตย์เต็มความหมาย   เป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรีตั้งแต่รัชกาลที่ ๑

ประวัติศาสตร์จากมาเลเซีย จึงน่าเรียนรู้ 
ถ้าดูประวัติศาสตร์มาเลเซียเป็นตัวอย่าง    ความวุ่นวายในประเทศไทยก็คงยังดำเนินไปอีกหลายปี  ไม่จบลงง่ายๆ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 19 คำสั่ง