เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 11
  พิมพ์  
อ่าน: 60805 อดีตชาวสยามผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาของประเทศมาเลเซีย
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 19 พ.ค. 10, 14:57

ผมขอต่อเรื่องไปก่อนนะครับ แต่ถ้าท่านอยากจะเขียนเรื่องย้อนหลังเรื่องใดต่อ ก็เชิญนะครับ

ระหว่างเป็นนายอำเภอที่ปาดัง เท-รับ ท่านตนกูก็ได้ภรรยาอย่างเป็นทางการครั้งแรก เธอเป็นลูกสาวของนายหัวเหมืองแร่ดีบุกชื่อเถ้าแก่จง ท่านตนกูรู้จักมาก่อนเพราะเถ้าแก่คนนี้มาชวนพี่เขยและพี่สาวลงทุนเปิดเหมืองในเปรัก (เอกสารไทยชอบเรียกว่า เป-ระ) แล้วเจ้งเรียบร้อย เถ้าแก่เห็นว่าท่านตนกูยังไม่มีภรรยาจึงออกปากยกลูกสาวอายุ16ให้ ตอนแรกท่านก็เขินๆอยู่ พอดีถูกย้ายไปเป็นนายอำเภอ คราวนี้เถ้าแก่พาลูกสาวไปส่งถึงที่เลย พอดีสาวเจ้าเป็นคนสวยเข้าสเป๊ก พูดจามาดมั่นใจดี ท่านตนกูจึงตกลงรับเป็นภรรยาโดยไม่แจ้งให้ท่านผู้สำเร็จราชการทราบ แต่ให้แม่ป็นผู้จัดการแต่งงานตามประเพณีอิสลามให้ อาเหมยจึงได้กลายเป็นเมเรียม และเปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิม ดูเหมือนจะมีความเคร่งกว่ามุสลิมแท้ๆอดีตเพลย์บอยอังกฤษเสียอีกโดยเฉพาะในฤดูถือศีลอด ที่ท่านตนกูมักจะมีข้ออ้างขอเว้นเนื่องจากทำงานในตำแหน่งนายอำเภอเหนื่อยอยู่เนืองๆ

ทั้งสองมีบุตรชายและหญิงน่ารักด้วยกันสองคนดังรูป ก่อนที่เมเรียมจะติดเชื้อมาเลเรีย ซึ่งชุกชุมอยู่ในเมืองปาดัง เท-รับ เพราะเมืองนี้มีพื้นที่ชุ่มน้ำโดยรอบ ท่านตนกูพยายามยื้อชีวิตภรรยาอย่างถึงที่สุดด้วยการรีบพาไปรักษาที่ปินัง ที่นั่นมียาควินนินแบบฉีด ที่เป็นสิ่งเดียวที่อาจแรงพอจะต่อกรกับมาเลเรียได้ แต่อนิจจาเมเรียมแพ้ยานี้ เธอเสียชีวิตเกือบจะทันทีที่หมอฉีดยาเข้าเส้นเลือดของเธอ

คุณวิกี้ก็มีเรื่องภรรยาคนแรกของท่านตนกูเหมือนกัน

ท่านผู้หญิงมาเรียม จง อับดุลลาห์ (Lady Meriam Chong Abdullah) หรือ จง อา เหมย (Chong Ah Mei) หรือที่รู้จักกันในชื่อมาเรียม อับดุลลาห์ (Mariam Abdullah) ภรรยาคนแรกของตนกู อับดุล ราห์มัน นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศมาเลเซีย

ท่านผู้หญิงมาเรียมเป็นลูกสาวเจ้าของเหมืองชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีอิทธิพลในฝั่งไทย ชื่อ จง อา หยง (Chong Ah Yong) เธอมีเชื้อสายไทยแต่เธอเปลี่ยนมานับศาสนาอิสลาม เมื่อแต่งงานกับตนกู อับดุล ราห์มัน เมื่อพ.ศ.2476

ท่านผู้หญิงมาเรียมได้รับการคัดเลือกจากหม่อมเนื่อง นนทนาคร (Che Menjalara) มารดาของตนกู อับดุล ราห์มันให้เป็นเจ้าสาว ซึ่งมารดาของตนกู อับดุล ราห์มันมีเชื้อสายไทย ตามรายงานที่ปรากฏกล่าวว่า คุณเนื่อง นนทนาครบังคับให้แต่งงานกับตนกู ซึ่งตนกูปฏิเสธมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามพวกเขาได้แต่งงานตามประเพณีหลวงที่วังหลวงของเกดะห์

หลังจากที่แต่งงานกัน ก็ได้ให้กำเนิดบุตร 2 คน ได้แก่ ตนกู คอดิยะห์ และตนกู อาหมัดเนอรัง โชคร้ายในปีพ.ศ.2478 เพียง30 วันหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่สองตนกู อาหมัดเนอรัง ท่านผู้หญิงมาเรียมก็เสียชีวิตด้วยโรคมาเลเรีย



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 19 พ.ค. 10, 15:01

นักเรียนเก่าเคมบริดจ์อย่างคุณจ้อและคุณเปี้ยวแห่งวิชาการดอทคอม น่าจะรู้จักคำว่า pesioner
ดิฉันก็ไม่เคยเห็นคำนี้    ไม่รู้ว่าพิมพ์ผิดหรือเปล่า
แต่ดูจากบริบทแล้ว  น่าจะทำนอง resident

สรุปจากที่คุณ N.C. สแกนมาให้ดู  ท่านตนกูก็อยู่ในที่พักของนศ. ๓ ปี นับแต่เข้าเรียน    ไม่ได้อยู่ข้างนอกน่ะซีคะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 19 พ.ค. 10, 17:09

อ้างถึง
สรุปจากที่คุณ N.C. สแกนมาให้ดู  ท่านตนกูก็อยู่ในที่พักของนศ. ๓ ปี นับแต่เข้าเรียน    ไม่ได้อยู่ข้างนอกน่ะซีคะ


นั่นน่ะซิครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 19 พ.ค. 10, 17:22

แล้วท่านไปมี landlady ชื่อ Violet Coulson ได้ในช่วงไหนล่ะคะ   ยิ้ม
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 19 พ.ค. 10, 17:31

แหม่มไวโอเล็ต กิ๊กเก่าของท่านตนกูในลอนดอน เคยจากกันอย่างเข้าอกเข้าใจว่าจบเกมส์กันไปแล้ว เธอทำร้านอาหารที่กลายเป็นสโมสรอย่างไม่เป็นทางการของนักเรียนมาเลย์ในอังกฤษมาตั้งแต่เจอะเจอกับท่านตนกู และก็ยังทำกิจการนี้ของเธอต่ออยู่ ดังนั้นข่าวท่านตนกูแต่งงานเธอก็ทราบ ตกเป็นพ่อหม้ายอีกเธอก็ทราบ ครั้งหลังนี้เธอตัดสินใจฝากกิจการไว้กับญาติแล้วตีตั๋วลงเรือไปสิงคโปร เมื่อถึงที่นั่นแล้ว จึงจดหมายไปหาคู่รักเก่า

ท่านตนกูเองก็ใช่ย่อย ได้รับจดหมายก็รีบนั่งรถไฟไปสิงคโปร์ เมื่อพบเธอแล้วถ่านไฟเก่าก็ลุกโพลงขึ้นมาอีกดังถูกน้ำมันราด เป็นอย่างไรก็เป็นกัน หลังจากดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันจนอิ่มแปร้ ตนกูก็พานางไปมัสยิดแล้วทั้งสองก็แต่งงานกันแบบอิสลาม เสร็จแล้วจึงพาภรรยาแหม่มไปซ่อนไว้ที่ปินัง

ตามกฏหมายของเคด่ะห์ สมาชิกราชวงศ์ไม่สามารถแต่งงานกับช่าวต่างด้าวได้ก่อนได้รับอนุญาตจากสุลต่าน ถ้าละเมิดจะถูกตัดออกจากกองมรดก  เป็นที่ทราบดีอยู่ว่าตนกูอิบราฮิมผู้สำเร็จราชการเป็นผู้ที่คัดค้านการแต่งงานข้ามสายพันธ์อย่างรุนแรง แต่เผอิญท่านถึงพิราลัยไปก่อนหน้า ผู้สำเร็จราชการคนใหม่ ท่านตนกูมามูดน้องของท่านสุลต่านเป็นคนใจกว้างกว่าในเรื่องอย่างนี้ แต่ท่านตนกูก็ต้องออกแรงไม่น้อย ที่จะทำให้การแต่งงานที่ผ่านมาได้รับการรับรองว่าถูกต้องตามกฏหมาย แต่ก็ถูกผู้ใหญ่เขม่นแล้วแกล้งย้ายให้ท่านไปลังกาวี คือเอาไปปล่อยเกาะว่ายังงั้นเถิด ลังกาวีอยู่ติดเกาะตะรุเตาที่ไทยใช้คุมขังนักโทษ คิดดูเถิด ที่นั่นไม่มีถนนหนทาง ผู้คนน้อยนิด ความเจริญยังไม่เฉียดกราย แต่หาดทรายละเอียดและน้ำทะเลสีครามใสก็เป็นที่ชื่นชอบของคุณนายยิ่งนัก คนอังกฤษเคยแต่ทะเลสีมอๆ หาดกรวดกระด้าง น้ำเย็นเฉียบ เมื่อเจอทะเลอันดามันเข้าก็เห็นว่าเป็นสวรรค์บนดิน คนที่คิดว่าแหม่มอังกฤษจะทนอยู่เกาะไม่ได้ ต้องรีบเผ่นกลับลอนดอนไปโดยเร็วจึงต้องผิดหวัง

ตนกูเป็นคนเก่งไม่อยู่เฉย เมื่อมาอยู่ลังกาวีก็หางบประมาณมาทำท่าเทียบเรือ กรุยทางทำถนน และรื้อฟื้นตำนานของมัสซุรี หรือประไหมสุหรีผู้ต้องโทษประหารเพราะคำใส่ร้าย เลยสาปให้แผ่นดินนี้ไร้ความเจริญไปอีกเจ็ดชั่วโคตร ท่านตนกูเอาผู้นำชุมชนมานับนิ้วให้ดูว่ามันพ้นคำสาปไปแล้ว จึงช่วยกันค้นหาหลุมศพ และก็เจอว่าถูกทอดทิ้งไว้ในรกชัฎ ท่านจึงตั้งกองทุนรับบริจาคเงินมาบูรณะกุโบร์ของมัสซุรี ดาษพื้นใหม่ด้วยหินอ่อนสีขาวทำแลนด์สเคป(ดูรูปประกอบ) เมื่อนายฝรั่งที่รัฐบาลอังกฤษตั้งขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาของสภาแห่งรัฐเคดะห์มาเยี่ยมชมเกาะ เห็นแววท่านตนกูเลยกลับไปเสนอให้ย้ายตำแหน่งไปอยู่เมืองสุไหงปาตานี(ไม่เกี่ยวกับเกี่ยวกับปัตตานีนะครับ แต่เป็นเมืองใหญ่รองจากอลอร์ สะตา) ตนกูเลยยุ่งกับงานทั้งวันไม่มีเวลาให้เมียเลย  เมืองที่ว่าใหญ่ก็แค่บ้านนอก แหม่มลอนดอนเลยออกอาการ ทั้งเบื่อทั้งเครียด นั่งเรือกลับไปทำร้านอาหารต่อดีกว่า

อีกสองปีต่อมา เมื่อตนกูกลับไปอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองได้ตกลงทำหนังสือหย่ากันด้วยความสมัครใจ เพราะไวโอเล็ตเองก็กำลังอยากจะแต่งงานใหม่กับอเมริกันชนคนหนึ่ง เป็นถึงอัยการทหาร

เรื่องนี้จบลงแบบ ภาษามวยเรียกว่าพลิกไปพลิกมา ท่านแก้วเก้าจะเอาเรื่องจริงนี้ไปเป็นพล็อตแต่งนวนิยายจากบ้างก็ได้นะครับ ท่านตนกูคงชอบ




บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 19 พ.ค. 10, 17:55

นวนิยายหรือจะมีสีสันเท่าชีวิตจริงได้     ดูแต่ "เมืองนิมิตร" เป็นตัวอย่าง ยิ้ม
ผู้หญิงในรูปวาดเป็นภรรยาของท่านตนกูหรือคะ?

ท่านตนกูน่าจะมีไวโอเล็ตเป็นรักแรก (ซึ่งมักจะแรงกว่ารักครั้งหลังๆ)     ส่วนคุณมิเรียมนั้นผู้ใหญ่จัดการให้ ก็เลยปฏิเสธไม่ได้   พอเธอตายจากไป   ถ่านไฟเก่าเลยโชนแสงขึ้นมาอีก
คุณนายแหม่ม ก็คงรักเจ้าชายมาเลย์ด้วยน่ะแหละ  ไม่งั้นคงไม่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงสิงคโปร์   อยู่กันได้ตั้งหลายปี จนกระทั่งน้ำผึ้งขมไปเอง  ด้วยสถานการณ์แวดล้อม   
ก็ดีที่ผู้หญิงตะวันตกมักมีกำลังใจจะตั้งต้นใหม่ได้อีกครั้ง   ไม่อาภัพเหมือนนางเอกนิยายไทยรุ่นเก่า ที่ผิดหวังเมื่อไรก็ตายลูกเดียว 
 
ชีวิตสองคนนี้ เหมือน Rudyard Kipling เคยเปรียบเปรยไว้ว่า  “East is East, and West is West, and never the twain shall meet” แต่คำนี้คงไม่จริงอีกแล้ว ในโลกไร้พรมแดน
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 19 พ.ค. 10, 21:58

หามิได้ครับ ผู้หญิงในรูปวาดนั้น มีนามว่ามาซูรี   

นางเป็นหญิงสยามที่มีถิ่นกำเนิดบริเวณชายหาดกมลา เกาะภูเก็ต ต่อมาบิดามารดาได้อพยพโยกย้ายไปอยู่ที่เกาะลังกาวี นางจึงได้สมรสกับน้องของสุลต่านแห่งลังกาวี ซึ่งมีชายาอยู่แล้วหนึ่งคน

มัสซูรีเป็นที่รักของพระสามีมาก และให้กำเนิดบุตรที่น่ารักน่าเอ็นดู ตามกฏแล้ว ชายาที่มีบุตรจะได้รับตำแหน่งเอกภรรยา จึงเป็นที่ริษยาของชายาคนแรกเป็นอย่างยิ่ง เพราะนางมีเพียงธิดา เมื่อสามีต้องไปรบกับชาวสยามที่มาตีเมือง นางก็ถูกใส่ร้ายว่าคบชู้กับชายชาวชวาที่เรือแตกมาติดเกาะ และนางได้ช่วยเหลือให้ข้าวให้น้ำประทังชีวิต

ในที่สุดสุลต่านให้ลงโทษประหารด้วยการใช้กริชแทง แต่กริชใดๆก็ไม่ระคายผิวของนาง จนนางต้องบอกให้ใช้กริชของสามีแทงปักหัวใจ ก่อนจะตาย นางได้กล่าวว่า ถ้าไม่ได้ทำผิด ขอให้เลือดที่ไหลออกมาเป็นสีขาวประดุจน้ำนม และสาปแช่งไว้ว่า....ขอให้ลังกาวีประสบทุพภิกขภัย แห้งแล้งกันดาร ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ไฟไหม้ทุ่งนาทุกครั้งที่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว และให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปจนครบเจ็ดชั่วโคตร ปรากฏว่าเลือดของนางป็นสีขาวจริงๆ นางจึงได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า เจ้าแม่เลือดขาว

แผ่นจารึกที่ทางการได้สลักไว้หน้าหลุมศพ แสดงปีที่นางถูกประหารชีวิต ตรงกับปี ค.ศ. 1819 หรือ พ.ศ. 2362  อันเป็นรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เมื่อสามีกลับจากการรบ แล้วพบว่านางถูกประหารชีวิต ก็โศกเศร้ายิ่งนัก อุ้มลูกน้อย หนีลงเรือไปขึ้นฝั่งที่หาดกมลา เกาะภูเก็ต และอยู่ที่นั่นจนตลอดชีพ ส่วนโอรสก็สมรสกับสาวไทยและมีลูกหลานสืบเชื้อสายต่อกันมา ส่วนที่ลังกาวีก็แห้งแล้งกันดานสมคำสาปจริงๆ

ว่ากันไปถึงว่า มีการค้นพบสาวไทยชื่อ ศิรินทรา ยายี  ที่บ้านกมลา ภูเก็ต และพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นผู้สืบเชื้อสายรุ่นที่ 7 ของมาซุรี โดยมีหลักฐานคือกริชและธงประจำตระกูล ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียสมัยมหาเธร์ได้เชิญน้องศิรินทรา(ซื่อมาเลย์-Wan Aishah Wan Nawawi) กลับไปอยู่ลังกาวี รูปข้างล่างเป็นรูปของน้องและรูปของมาซูรีที่จิตรกรสร้างมโนภาพขึ้นจากใบหน้าของน้องเค้า

ปัจจุบันลังกาวีพ้นคำสาป และกลับมาอุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของมาเลเซีย แข่งกับภูเก็ตไปแล้ว



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 20 พ.ค. 10, 09:57

การกลับไปอังกฤษของตนกูครั้งนั้นมิได้มีจุดหมายที่ไวโอเล็ต ท่านเจออุปสรรคสำคัญในระหว่างการทำหน้าที่นายอำเภอในสุไหงปาตานี เพราะไม่เห็นด้วยกับนโยบายของเลขาธิการรัฐชาวอังกฤษคราวหนึ่ง จนถูกคำสั่งย้ายด่วนภายใน24ชั่วโมงไปอยู่อีกอำเภอ จนคิดว่าตนควรลายาวเพื่อกลับไปเรียนเนติบัณฑิตให้ผ่านจะดีกว่า ภายหน้าจะได้สามารถกลับมาทำอาชีพอิสระด้วยการเป็นทนายความหากไม่สามารถฝืนใจรับราชการได้

เพื่อความเข้าใจอันดี ผมขอกล่าวถึงการปกครองของอังกฤษในมลายูยุคก่อนสงครามสักเล็กน้อยพอเป็นพื้น ผมไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องการเมืองการปกครองหรอกครับเพราะจะไม่สนุก แต่จำเป็นต้องแตะบ้าง การปกครองมลายูตอนนั้นแบ่งออกเป็น3ระดับ

1 อังกฤษปกครองโดยตรง ได้แก่ เกาะปีนัง เกาะสิงคโปร์ และมะละกา กลุ่มนี้เป็นดินแดนที่อังกฤษได้มานานแล้วด้วยการเช่าจากสุลต่าน เรียกว่า ราชอาณานิคม (Crown Colony) โดยอังกฤษส่งผู้ว่าการ (Governor) มาบริหารในฐานะประมุขของรัฐ ขึ้นต่อกษัตริย์อังกฤษโดยตรง

2 รัฐที่อังกฤษใช้กำลังเข้าไปยึดครอง มี4รัฐ ได้แก่ เปรัก ปาหัง เซลังงอร์ และนครีเซมปิลัน อังกฤษจะส่งข้าหลวง (Resident) ไปประจำเพื่อกำกับระบบปกครองของสุลต่านอีกทีหนึ่ง ต่อมาได้รวมรัฐทั้งสี่เป็นสหพันธรัฐมลายู(Federated Malaya States - FMS) ประมุขของรัฐคือ ข้าหลวงใหญ่ (High Commissioner) บริหารผ่นสภาสหพันธ์ (Federal Council) ชึ่งมีข้าหลวง (Resident) ของแต่ละรัฐ และคนท้องถิ่นอีกสี่คน ต่อมาเพิ่มให้เป็นแปดคน  ในปี พ.ศ. 2470 เจ้าผู้ครองรัฐทั้งสี่ในสหพันธ์ได้ร่วมกันเขียนรัฐธรรมนูญ สภาสหพันธ์ขึ้น ให้เพิ่มสมาชิกเป็น24คน ในแต่ละรัฐประกอบด้วยเจ้าผู้ครองนคร ข้าหลวง (Resident) และสภาแห่งรัฐ (State Council) เป็นที่ปรึกษา

3 รัฐทั้งสามที่อังกฤษได้ไปจากสยาม รวมกับรัฐยะโฮร์ (Johore) อังกฤษปกครองแบบรัฐนอกสหพันธ์ (Unfederated States) ให้สุลต่านและคนท้องถิ่นปกครองตนเอง แต่จะส่งคนอังกฤษมาเป็นเลขาธิการรัฐ (Secretary of State) ทำหน้าที่ที่ปรึกษา แทรกแซงกิจการต่างๆได้ทุกเรื่อง

รัฐเคดะห์นั้น จึงถือว่าอังกฤษปกครองแบบเบาที่สุดแล้ว ท่านตนกูยังโดนจนได้ ถึงขนาดเกิดความมุ่งมั่นที่จะตั้งใจเรียน เพียงปีเดียวก็สอบผ่านทุกวิชาที่กำหนดในภาคแรกที่คราวที่แล้วใช้เวลาไป3ปีเต็มก็ยังไม่ผ่าน แต่แล้วเหตุการณ์สำคัญในยุโรปก็ระเบิดขึ้น ฮิตเลอร์ส่งกองทัพบุกเข้าโปแลนด์ทำให้อังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมันทันที ในฐานะที่ยังเป็นข้าราชการอยู่ ท่านตนกูถูกเรียกตัวกลับประเทศทันที



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 20 พ.ค. 10, 10:48

ขอเลี้ยวแยกซอยไปหน่อยนะคะ เรื่องนางเลือดขาว
ตำนานนางเลือดขาวทางใต้ มี ๒ ตำนาน    นางเลือดขาวที่พัทลุงน่าจะเป็นอีกตำนานหนึ่ง ไม่เกี่ยวกัน เผอิญมีเลือดขาวแบบเดียวกัน   แต่เรื่องราวไปกันละทาง
ส่วนนางเลือดขาวคนเดียวกับเจ้าแม่เลือดขาวมาซูรี  น่าจะเป็นคนเดียวกับที่อยู่ในตำนานวัดพระนางสร้าง ที่ภูเก็ต  แต่รายละเอียดผิดเพี้ยนกันไปจากของมาเลย์เซีย
สงสัยว่าวัดพระนางสร้างอาจจะสร้างโดยลูกหลานของพระนางมาซูรี ที่อพยพมาอยู่ภูเก็ตและสมรสไปกับคนไทยก็ได้    คงมีคนไหนสักคนที่นับถือพุทธศาสนา  แต่ที่นับถือศาสนาอิสลามก็ยังมีอยู่

คำว่าเจ็ดชั่วโคตร   ของไทยนับย้อนกลับไป ๓ ชั่วคนคือพ่อ ปู่ ทวด  และลงไปอีก ๓ ชั่วคนคือลูก หลาน เหลน   รวมตัวเองด้วยเป็น ๗    ประหารทีก็ลากผู้เฒ่าผู้แก่และลูกเด็กเล็กแดงมาโดนหมด
แต่เจ็ดชั่วโคตรที่พระนางมาซูรีสาปไว้ น่าจะนับลงอย่างเดียวไม่นับย้อนขึ้น  คือเป็น ๗ เจนเนอเรชั่น     

คำถามซอกแซกคือไม่รู้ว่าเจ็ดชั่วคนของใคร    เพราะแต่ละตระกูลมีอายุสั้นยาวไม่เท่ากัน    ตระกูลไหนมีลูกตอนอายุมากหน่อย   เช่นแต่ละคนมีลูกเมื่ออายุ ๔๐ ปี    กว่าจะครบ ๗ ชั่วคนก็สองร้อยกว่าปี   ตระกูลไหนมีลูกเมื่ออายุน้อยหน่อยก็ครบ ๗ เร็วหน่อย อาจจะแค่  ๑๐๐ ปี
ท่านตนกูท่านนับเก่ง   ไปชวนชาวบ้านลังกาวีมานับชั่วคนว่าเลย ๗ ชั่วคนมาแล้ว  ในสมัยท่าน ไม่รู้ว่านับจากตระกูลไหน  แต่คนในตระกูลคงมีลูกตอนยังหนุ่มสาวมากๆ ครบเจ็ดชั่วคนได้ในหนึ่งร้อยกว่าปี    ท่านเลยฟื้นฟูเกาะได้เร็ว
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 54  เมื่อ 20 พ.ค. 10, 20:20

เรื่องข้อเท็จจริงในตำนานผมขอผ่านครับ แต่เรื่องข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ผมขอยกนิ้วให้ท่านตนกูในการใช้รัฐประศาสนศาสตร์ กู้ความเชื่อมั่นในแผ่นดินของคนท้องถิ่นที่เอาไปผูกกับตำนานได้เป็นคนแรก ไม่ทราบว่าท่านนับวิธีไหนว่าครบเจ็ดชั่วอายุคนแล้ว

ผมพอจะจำได้ว่าเมื่อรัฐบาลมาเลเซียสมัยท่านมหาเธร์พยายามผลักดันให้ลังกาวีเป็นWorld Class Resort แบบภูเก็ต โดยทุ่มเงินลงทุนลงไปอย่างมหาศาลในการตัดถนนรอบเกาะ สร้างสนามกอล์ฟ และทำสนามบินรองรับเครื่องจัมโบในขณะที่ตอนนั้น มาเลเซียน แอร์ไลน์ใช้เครื่อง737บินวันละไม่กี่เที่ยว และผู้โดยสารยังไม่เต็มลำ เนื่องจากท่านมหาเธร์เป็นชาวลังกาวีแท้ๆ คนมาเลย์เลยหาเรื่องชมท่านว่าเหมือนท่านบรรหาร ณ สุพรรณบุรี ผมเคยไปเกี่ยวกับงานของผมในลังกาวีสองสามครั้ง เห็นความห่างไกลเมื่อเทียบกับภูเก็ตในเรื่องความนิยมของนักท่องเที่ยว โรงแรมห้าดาวที่ไปนอนตอนนั้นอยู่มีแขกพักไม่ถึง10% ผมได้ไปเที่ยวที่กุโบร์ของมาซูรีด้วย

แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี ก็ได้ยินข่าวการค้นพบตัวเด็กสาวชาวภูเก็ตที่ว่าเป็นเชื้อสายของแม่นาง หนังสือพิมพ์ในกรุงเทพก็ลง ในมาเลเซียหนักหน่อย ท่านมหาเธร์ลงมากำกับลับๆ ทางการมาเลเซียนำเด็กไปออกทีวี และของให้โอนสัญชาติ สุดท้ายที่ได้ข่าวคือได้รับทุนการศึกษาให้เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งมลายา เป็นข่าวต่อเนื่องกันอยู่หลายเดือน กระแสเรื่องลังกาวีพ้นคำสาปแล้วก็แรงขึ้นมาอีก มีนักลงทุนใหญ่น้อยกล้าไปทำกิจการที่นั่นมากขึ้น ประกอบกับได้นักท่องเที่ยวคนไทยแห่กันเข้าไปเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งเพื่อซื้อของปลอดภาษี โดยลงเรือที่สตูล ตลาดท่องเที่ยวเริ่มขยายตัวตามธรรมชาติของมัน ทัพหน้าของนักท่องเที่ยวยุโรปก็สะพายเป้ ขึ้นรถเมล์จากภูเก็ตและกระบี่สู่ลังกาวี เพราะธรรมชาติยังบริสุทธิ์กว่า พอพวกนี้ได้ปักหมุดเอาลังกาวีลงในแผนที่นิตยสารท่องเที่ยวที่ออกในยุโรปแล้ว กลุ่มสามดาวและห้าดาวก็ตามมาอีกที

ผมไม่ได้ไปลังกาวีอีกในระยะสิบกว่าปีมานี้ แต่ดูในรูป เห็นลังกาวีเจริญขึ้นมากทีเดียว ก็ต้องยกนิ้วให้ท่านมหาเธร์อีกคนหนึ่งเหมือนกัน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 55  เมื่อ 20 พ.ค. 10, 20:51

ท่านตนกู เก่งในการผสมผสาน  โน้มน้าวความเชื่อของชาวบ้านเข้ากับการพัฒนาประเทศได้  ไม่หักล้าง และไม่ปฏิเสธ  ซึ่งจะนำมาสู่การหันหลังให้แก่กัน
สะดุดใจมาตั้งแต่อ่านของคุณ N.C. ตอนที่ว่าท่านตนกูช่วยชาวบ้านนับเวลาว่าผ่านมา ๗ ชั่วโคตร  ลังกาวีพ้นคำสาป
ก็ในเมื่อเด็กสาวที่มีเชื้อสายเจ้าแม่เลือดขาว  เธอเป็นรุ่นที่ ๗  เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๕๒๘  ท่านตนกูรับราชการที่ลังกาวีตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม    ก็ต้องก่อนน้องหนูเธอเกิดอยู่นานโข  ท่านคงมีวิธีนับ ๗ ชั่วคนได้สั้นกว่านี้มาก  และเนียนดีด้วย   ชาวบ้านถึงเชื่อถือ

ส่วนท่านมหาธีร์ ก็ปชส. และรณรงค์  ในการพัฒนาประเทศ ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ      ไม่แปลกที่มาเลย์เซียก้าวไปลิ่วๆ ในอาเซียน  
ไปเที่ยวที่นั่นทีไร  ไม่ว่าเมืองใหญ่เมืองเล็ก ก็อยากร้องไห้โดยไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผล
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 56  เมื่อ 20 พ.ค. 10, 22:33

วันนี้ถ้าออกไปเที่ยวเมืองหลวงของไทยก็อาจจะร้องไห้โดยไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลเหมือนกัน


ท่านตนกูถูกเรียกตัวกลับจากอังกฤษให้ไปเป็นนายอำเภอที่กูลิมเมืองเล็กๆตามเดิม ข่าวว่ามีแนวโน้มที่สงครามจะลามมาในประเทศแถบนี้มีขึ้นเรื่อยๆ คนญี่ปุ่นเข้ามาเปิดร้านถ่ายรูปบ้าง ร้านทำผมบ้างในสุไหงปาตานีที่มีสนามบินของอังกฤษตั้งอยู่ และในอลอร์ สะตา รัฐบาลอังกฤษสั่งให้บรรดานายอำเภอตั้งกองอาสารักษาดินแดนขึ้น มีคนมาร่วมกับท่านตนกูมากเพราะความนิยมในตัวท่านที่เป็นลูกสุลต่านและเป็นนายอำเภอคนเดียวที่ไม่ใช่คนอังกฤษ ท่านได้จัดทำแผนอพยพผู้คนไว้ด้วย โดยการหาทุนไปสร้างค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ในทำเลที่น่าจะปลอดภัย

ระหว่างนี้ ท่านได้พบและสมรสครั้งที่3กับสุภาพสตรีนางหนึ่งโดยการชักนำของหม่อมเนื่องมารดา เป็นลูกสาวขุนนางของอลอร์ สะตา ชื่อ ชารีฟ๊ะห์ โรเซียะห์ เธอคนนี้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านตนกูยาวนาน ทั้งคู่ไม่มีลูกด้วยกันไม่มี นอกจากเลี้ยงดูบุตรธิดาสองคนแรกของสามีแล้ว ยังรับลูกบุญธรรมไว้อีกถึง4คน

เมื่อมีอายุมากแล้ว ท่านตนกูอยากจะมีลูกเล็กๆของตนเองอีกจึงมีภรรยาเป็นคนที่สี่ เป็นลูกสาวคนจีนชื่อ บีบี้ จง ทั้งคู่มีธิดาด้วยกันสองคน



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 57  เมื่อ 21 พ.ค. 10, 11:30

แล้วญี่ปุนก็บุกเข้าแหลมทองจริงๆ ในวันที่8ธันวาคมพ.ศ. 2489 โดยยกพลขึ้นบกพร้อมกันในสยามและมลายู กองทัพอังกฤษพยายามต้านทานแต่สู้ไม่ไหว ต้องถอยร่นระนาวไปสิงคโปร์ก่อนที่จะถอนตัวโดยสิ้นเชิงไปตั้งรับที่อินเดีย แค่เวลาเพียง2เดือนเท่านั้นที่เจ้าอาณานิคมใหญ่ที่สุดในโลกพ่ายแพ้แบบหมดราคา ทิ้งคนหลายพันให้ญี่ปุ่นเอาไปกักกันไว่ที่ค่ายเชลยศึกชางยี (เดี๋ยวนี้กลายเป็นที่ตั้งของสนามบินดีที่สุดในภูมิภาคไปแล้ว) ชายฉกรรจ์ทั้งหมด ญี่ปุนเลือกเอาไปกาญจนบุรีเพื่อสร้างทางรถไฟสายมรณะเข้าสู่พม่า

วันแรกของสงคราม เครื่องบินรบของญี่ปุ่นบินมาทิ้งระเบิดฐานทัพอากาศของอังกฤษที่สุไหงปาตานี สร้างความแตกตื่นโกลาหลในเมือง มีคำสั่งของฝ่ายปกครองผ่านนายซายิด โอมาร์ คนมาเลย์เลขาของที่ปรึกษาอังกฤษให้นำสุลต่านอับดุล ฮามิดผู้ชรา ไปลี้ภัยที่สิงคโปร์ โดยจะให้ไปอยู่รอที่ปินังก่อน เพราะตอนนั้นอังกฤษเชื่อว่าน่าจะปลอดภัยจากกองทัพญี่ปุน

สามคืนก่อนหน้านี้ท่านตนกูฝันเห็นพ่อ ท่านสุลต่านส่งเสียงร้องเรียกมาแต่ไกลๆ “ปุตรา ปุตรา ช่วยพ่อที” ในฝันนั้นท่านเห็นตัวท่านวิ่งฝ่าหมอกควันไปหาต้นเสียง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นป่า ท่านพบสุลต่านบนคบไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และช่วยพ่อลงมาจากต้นไม้ได้  เมื่อได้รับทราบคำสั่งนี้ ท่านจึงเข้าใจความหมายในฝันทันที ท่านไม่เห็นด้วยเลย สังขารของท่านสุลต่านร่วงโรยมากและไม่ควรจะต้องหนีไปไหน ที่ซึ่งปลอดภัยที่สุดของท่านคือที่เคดะห์ของท่านเอง แม้จะโต้แย้งนายซายิด พยายามอธิบายเหตุผลใดๆก็ไม่เป็นผล  นายซาอิดไม่ใช่คนมีอำนาจตัดสินใจในการเจราจาเพราะต้องรอให้นายใหญ่โฟนอินเข้ามาอีกทีหนึ่ง จึงตะแบงให้ท่านตนกูปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น

ท่านตนกูวางแผน ขณะขบวนรถกำลังนำท่านสุลต่านออกจากอะลอร์ สะตา ไปปินัง ทุกคนรู้จักท่านตนกูดีจึงไม่มีใครเอะใจว่าท่านคิดอะไรอยู่ เผอิญก่อนหน้านั้นมีฝูงบินรบของญี่ปุ่นบินผ่านเหนือหัวมุ่งไปทิศที่ปินังอยู่ด้วย ท่านเปิดประตูรถโรลสลอยส์สีเหลืองแล้วบอกท่านสุลต่านว่าพ่อไปกับผมนะ ผมจะพาพ่อไปอยู่กับผม ท่านสุลต่านดีใจที่เห็นลูกชายคนโปรด ท่านพยักหน้ายินยอม ท่านตนกูนำท่านสุลต่านไปที่บ้านของท่านเองที่กูลิม หลังจากพักผ่อนแล้วจึงเล่าเรื่องราวที่เป็นจริงให้ทราบ สุลต่านควรจะอยู่กับประชาชนไม่ใช่หนีไปกับอังกฤษ ท่านสุลต่านก็พยักหน้าแสดงความพอใจ  ไม่นานท่านผู้สำเร็จราชการซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของท่านเองก็โทรมา สั่งให้ท่านปฏิบัติตามคำสั่งของอังกฤษ ตอนแรกท่านดีใจที่จะได้แสดงเหตุผลกับผู้ใหญ่ของครอบครัว แต่ท่านผู้สำเร็จราชการไม่ฟังแถมขู่ด้วยว่าท่านกำลังประกอบอาชญากรรมร้ายแรงอยู่ ขอให้พาท่านสุลต่านไปปินังทันที ท่านตนกูเลยบอกกลับไปเรียบๆว่างั้นท่านพี่ก็มาพาพ่อไปเองก็แล้วกัน แต่พี่จะต้องข้ามศพผมไปก่อนนะ

ท่านตนกูบอกท่านสุลต่านว่าจำเป็นต้องพาท่านหลบไปอยู่ที่อื่นตามแผนสองเสียแล้ว ท่านสุลต่านก็พยักหน้าอีก ท่านเลยพาไปอยู่บ้านเล็กๆหลังหนึ่งของเพื่อนที่หมู่บ้านเปงฮูลู มีคนในหมู่บ้านถือปืนผาหน้าไม้หอกดาบอาสามาล้อมบ้านเป็นองครักษ์ให้ หลังจากจัดการเสร็จ ให้น้องต่างมารดาอีกคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนท่านสุลต่านแล้ว ท่านตนกูก็กลับไปกูลิม รอรับเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้น มีคนที่รู้ข่าวมาให้กำลังใจท่านเยอะ

ไม่ช้าเกินรอ ท่านผู้สำเร็จราชการโทรมาอีก คราวนี้ด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ญี่ปุ่นถล่มปินังแบบไม่เลี้ยง บ้านเรือนราษฎรพังพินาศ คนตายหลายร้อยศพ ท่านบอกว่าได้ระงับคำสั่งที่ให้พาท่านสุลต่านไปปินังแล้ว และตนเองกับครอบครัวกำลังจะมาลี้ภัยที่กูลิม ขอให้น้องหาที่อยู่ให้ด้วย ท่านตนกูตอบกลับไปว่ายินดีอย่างยิ่ง พวกเราที่นี่จะดูแลพี่เอง


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 58  เมื่อ 21 พ.ค. 10, 11:37

เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองมลายู แต่แรกก็ทำตัวเป็นผู้ปลดแอก หลีกเลี่ยงที่จะทำร้ายสร้างศัตรูกับชาวบ้านตามแผนร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งเอเซีย ในเคดะห์นั้น  ทัพหน้าของญี่ปุ่นทราบดีว่าท่านตนกูเป็นลูกสุลต่านจึงให้เกียรติมาก และรับรองความปลอดภัยให้สุลต่านและท่านผู้สำเร็จราชการกลับไปยังอลอร์ สะตาร์ตามเดิม ท่านสุลต่านใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายส่วนใหญ่ในวังกับครูสอนศาสนาของท่าน

อย่างไรก็ดี สัมพันธภาพต่อมาระหว่างท่านตนกูกับกองทัพญี่ปุ่นก็ขัดแย้งกันโดยตลอด สุดท้ายผู้ปกครองญี่ปุ่นคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมา ได้ออกคำสั่งให้ท่านเกณฑ์แรงงานชาวบ้านไปตัดโค่นต้นยางพาราให้หมด เพราะญี่ปุ่นต้องการจะให้ปลูกฝ้าย ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรว่าฝ้ายไม่มีทางจะเจริญเติบโตได้ในสภาพภูมิอากาศของเคด่ะห์ นายคนนี้ก็ไม่ฟัง เมื่อท่านบอกว่าท่านปฏิบัติไม่ได้ ก็ออกคำสั่งย้ายท่านภายใน24ชั่วโมง ให้ไปรายงานตัวที่ฝ่ายธุรการในเมือง

ท่านตนกูเคยเจอคำสั่งแบบนี้มาแล้วในสมัยการปกครองของอังกฤษ แต่คราวนี้แย่กว่านั้นมาก งานใหม่ก็เลื่อนลอย บ้านของท่านในอะลอร์ สะตาร์ ก็ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดไปใช้ ท่านและครอบครัวจึงต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเป็นการเฉพาะหน้า แต่สถานภาพเช่นนี้เป็นไปแค่เดือนเศษ ฝ่ายราชการการปกครองบ้านเมืองทั้งหมดในเคดะห์ ปะลิส กลันตัน และตรังกานู  ญี่ปุ่นได้โอนให้สยามตามข้อตกลงร่วมวงศ์ไพบูลย์ ยกเว้นด้านการทหาร แม้จะอิหลักอิเหลื่อรัฐบาลท่านจอมพลป. พิบูลสงครามก็จำต้องรับไว้แบบเลยตามเลย ข้าราชการไทยจำนวนหนึ่งจึงถูกย้ายให้เข้ามาทำงานแทนญี่ปุ่นที่เคด่ะห์

คนไทยรู้จักท่านตนกูดี และก็เหมือนครั้งที่ไปอยู่กรุงเทพ ท่านตนกูพบว่าตนอยู่ระหว่างเพื่อนสนิทมิตรสหาย ไม่ทราบว่าเป็นโชคหรือเป็นแผนของผู้ใหญ่ คุณถวิลเพื่อนรักของท่านก็ได้เป็นคนหนึ่งในเหล่าข้าราชการไทยที่ถูกส่งมาด้วย ท่านตนกูพบว่าคุณถวิลได้ไปเรียนอเมริกาจนจบจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ขณะนี้เป็นใหญ่เป็นโตมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงคุณหลวง  ท่านตนกูจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการศึกษา (Superintendent of Education )ทันที ซึ่งถึงแม้ตำแหน่งนี้จะไม่ค่อยมีอะไรจะทำได้มากมายนัก แต่ก็ช่วยกู้สถานะทางสังคมให้ท่านเป็นอย่างดี

ผมว่าเป็นโชคดีของเพื่อนทั้งสอง และโชคดีของคนไทยและคนมาเลย์ด้วย ที่นักการเมืองตอนนั้นมิได้หวังจะไปผนวกดินแดนมาเลย์ที่ญี่ปุ่นยกให้มาเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างถาวร มิฉนั้นมิตรก็คงกลายเป็นศัตรู คนไทยกับคนมาเลย์คงจะฆ่ากันเลือดนองแผ่นดิน  ข้าราชการไทยทำงานอยู่ที่นั่นแบบประคองตัว อังกฤษส่งอาวุธให้คนจีนที่นั่นตั้งขบวนการใต้ดินเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นมีคนมาเลย์ร่วมอยู่ด้วย และปฏิบัติการอย่างได้ผลอยู่ในเคดะห์และกลันตัน แม้จะยังไม่เปิดศึกสองด้านกับคนไทย แต่ขบวนการเจ๊กถีบก็ทำให้ข้าวของที่ส่งไปที่นั่นโดยทางรถไฟและรอดเหลือจากขบวนการไทยถีบทางปักษ์ใต้มาได้ หายจ้อยลงไปอีก  ครั้นมีข่าวว่าอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลงฮิโรชิมาและนางาซากิ ข้าราชการไทยในหัวเมืองมลายูก็รีบแพ็คของเตรียมกลับบ้านโดยไม่รอคำสั่งอย่างเป็นทางการ



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 59  เมื่อ 21 พ.ค. 10, 13:22

ยังพอจะจำความหมายของ "ไทยถีบ" ได้  แม้ว่าเป็นเหตุการณ์ก่อนดิฉันเกิด  ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังอีกทีตอนอายุสักสิบขวบ  คุณมานิตอาจจะพอจำได้มากกว่า
ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ที่ญี่ปุ่นมาเป็นมหามิตรร่วมวงไพบูลย์ของไทย      การขนส่งสินค้า รวมทั้งยุทธปัจจัย ลำเลียงกันทางรถไฟ   เพราะถนนระหว่างจังหวัดยังมีน้อยมากและไม่สะดวก  น้ำมันก็ไม่มีใช้  ทุกอย่างขาดแคลนไปหมด

คนไทยซึ่งไม่ได้นิยมยินดีอะไรกับญี่ปุ่นอยู่แล้ว     ลอบขึ้นรถไฟ ถีบหีบห่อสินค้าของญี่ปุ่นลงจากรถไฟกลางทาง ตามจุดต่างๆที่นัดกันไว้  ส่วนใหญ่เป็นป่า    พรรคพวกที่มารอก็แบกของถูกถีบหายวับไปในป่ามืด  ยากแก่การแกะรอย    กลายมาเป็นสินค้าตลาดมืดอีกที

เคยมีหนังไทยรุ่นเก่า ปี 2518  ชื่อพยัคฆ์ร้ายไทยถีบ    แสดงวีรกรรมของพวกนี้  เห็นจะต้องถามคุณ SILA
 
เกร็ดอีกเรื่องคือ "เงินถีบ" หรือธนบัตรไทยถีบ  อ่านได้ที่นี่ค่ะ
http://www.banrongkhun.com/webboard/view.php?Qid=13&cat=2

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2485-2489) ช่วงแรกๆรัฐบาลไทย ประกาศที่จะไม่เข้ากับฝ่ายใดๆ แต่เมื่อสงครามขยายตัวเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงไต้ กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทย ด้วยสภาพของกองทัพที่ต่างกันทำให้ไทยจำต้องเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำอยู่ โดยที่ก่อนหน้านั้น ไทยได้ว่าจ้าง บ.โทมัสเดอ ลา รูห์ แห่งประเทศอังกฤษพิมพ์ (ภาพประกอบ เป็นภาพ บ.โทมัทฯ ดดนระเบิดเสียหายครับ )ธนบัตรให้ประเทศไทยมาโดยตลอด ในระยะแรกของสงคราม รัฐบาลไทยได้ขอให้รัฐบาลญี่ปุ่นจัดพิมพ์ธนบัตรให้ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงช่วยเหลือติดต่อให้จัดพิมพ์ธนบัตรขึ้นชุดหนึ่ง ต่อมาเมื่อผลของสงครามรุนแรงขึ้น การขนส่งธนบัตรทางเรือไม่สามารถทำได้ และขณะนั้น กองทัพญี่ปุ่นสามารถซ่อมแซมโรงพิพ์ที่ยึดได้จาดประเทศฮอลันดาที่ประเทศอินโดนีเซีย รัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้จัดพิมพ์ธนบัตรไทยขึ้นที่นั่น
ธนบัตรที่พิมพ์ที่อินโดนีเซีย ทั้งคุณภาพกระดาษและเทคนิคการพิมพ์ต่ำกว่าธนบัตรที่ใช้อยู่แต่เดิมมาก เมื่อขนส่งมายังกรุงเทพฯ ถูกคนร้ายขโมยจากรถไฟโดยถีบหีบธนบัตรลงจากรถไฟจำนวนหนึ่ง แล้วนำมาปลอมลายเซ็นต์ ภายหลังทางการของไทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทยทราบ จึงได้ออกประกาศยกเลิกธนบัตรดังกล่าว ต่อมา ญี่ปุ่นแพ้สงคราม และเกิดการขาดแคลนธนบัตรที่ใช้หมูนเวียนในประเทศไทย ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจึงนำธนบัตรรุ่นนี้มาแก้ไขราคาให้มีมูลค่าต่ำที่สุดคือ ห้าสิบสตางค์ และประกาศใช้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2489 คนทั่วไปนิยมเรียกธนบัตรแบบนี้ว่า “ ไทยถีบ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 11
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.094 วินาที กับ 19 คำสั่ง