ผมขออนุญาตชวนคุณเทาชมพูกลับไปอ่านพระราชหัตถเลขารัชกาลที่ ๕ อีกครั้งหนึ่งนะครับ
สวนดุสิต
มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า นายกุหลาบซึ่งเขียนชื่อตัวเองใช้หนังสือนำว่า ก.ส.ร. ผู้ออกหนังสือพิมพ์ตั้งชื่อว่าสยามประเภทได้แต่งเรื่องราว ซึ่งเปนความโกหกแซกแซงลงในความจริงมาช้านาน ปรากฏอยู่แก่ผู้ซึ่งมีความรู้แลมีปัญญาทั่วหน้าแล้วนั้น บัดนี้แต่งข้อความต่อมานอกความจริง โกหกขึ้นใหม่ทั้งเรื่องมากขึ้นกว่าแต่ก่อน คำที่โกหกนั้นย่อมอาศรัยเทียบเคียงความที่ปรากฏในพระราชพงษาวดารบ้าง เทียบเคียงการที่เปนไปอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้อยคำแลทางความคิดแลเรียบใกล้ไปในทางสบประมาทต่อผู้มีบรรดาศักดิ์ซึ่งล่วงไปแล้ว แลที่ยังดำรงอยู่เนืองๆ หนักขึ้น จนในที่สุดนี้บังอาจแต่งความโกหกลงในหนังสือสยามประเภทว่า มีบาญชีพระนามเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศุโขทัยทุกพระองค์ ไม่มีเหตุอันใดซึ่งเกี่ยวข้องแก่เรื่องที่ตั้งขึ้น จะกล่าวแลไม่มีผู้ใดไต่ถามบังอาจกล่าวคำโกหกว่าพระเจ้าแผ่นดินที่สุดวงษ์สุโขทัยทรงพระนามว่าพระจุลปิ่นเกษ เหตุด้วยแต่ก่อนได้โกหกไว้ว่า เจ้าแผ่นดินสุโขทัยองค์หนึ่งชื่อพระปิ่นเกษ ที่ให้มีจุลปิ่นเกษขึ้นนั้นด้วยหวังจะเทียบพระจอมเกล้าแลพระจุลจอมเกล้า หมายความเปนเทียบว่าเหมือนเปนที่สุดวงษ์ด้วยกัน ข้อความทั้งนี้ย่อมปรากฏอยู่แก่ใจคนทั้งปวงว่า ไม่มีความจริงในนั้นเลยโกหกขึ้นทั้งสิ้น แต่กล้าหาญโกหกฟุ้งส้านยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนถึงมิได้เกรงพระบรมเดชานุภาพ ถ้าจะละเลยให้ฟุ้งส้านต่อไป ก็จะแต่งความเทียบเคียงหยาบช้าหนักขึ้นกว่านี้
แต่ทรงพระราชดำริห์ว่า นายกุหลาบก็เปนคนมีอายุมากนับว่าชราอยู่แล้ว แลความฟุ้งส้านเดิมของอัทยาศรัยนายกุหลาบใกล้ไปข้างทางเสียจริตนั้น ก็ย่อมปรากฏอยู่แล้ว การที่แต่งถ้อยคำฟุ้งส้านหนักขึ้นครั้งนี้จะเปนด้วยความเสียจริตนั้นกล้าขึ้นก็ได้ จึงดำรัสสั่งให้พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองจับตัวนายกุหลาบไปส่งโรงพยาบาลคนเสียจริตไปคุมขังไว้กว่าจะสิ้นพยศเปนปรกติ
มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งแต่วันที่ ๘ กันยายน รัตนโกสินทร ศก ๑๒๕
สยามินทร
โปรดสังเกตดังนี้
ประการแรก รัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งว่า
"...จนในที่สุดนี้บังอาจแต่งความโกหกลงในหนังสือสยามประเภทว่า มีบาญชีพระนามเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศุโขทัยทุกพระองค์ ไม่มีเหตุอันใดซึ่งเกี่ยวข้องแก่เรื่องที่ตั้งขึ้น จะกล่าวแลไม่มีผู้ใดไต่ถามบังอาจกล่าวคำโกหกว่าพระเจ้าแผ่นดินที่สุดวงษ์สุโขทัยทรงพระนามว่าพระจุลปิ่นเกษ เหตุด้วยแต่ก่อนได้โกหกไว้ว่า เจ้าแผ่นดินสุโขทัยองค์หนึ่งชื่อพระปิ่นเกษ ที่ให้มีจุลปิ่นเกษขึ้นนั้นด้วยหวังจะเทียบพระจอมเกล้าแลพระจุลจอมเกล้า หมายความเปนเทียบว่าเหมือนเปนที่สุดวงษ์ด้วยกัน..." ในขณะที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์ว่า
"...จนนายกุหลาบเล่าเรื่องพงศาวดารกรุงสุโขทัยตอนเมื่อจะเสียกรุงแก่กรุงศรีอยุธยา พิมพ์ในหนังสือสยามประเภทว่า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า "พระปิ่นเกษ" สวรรคตแล้ว พระราชโอรสทรงพระนามว่า "พระจุลปิ่นเกษ" เสวยราชย์ ไม่มีความสามารถจึงเสียบ้านเมือง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงทอดพระเนตรเห็นหนังสือ ตรัสว่า เพียงแต่นายกุหลาบเอาความเท็จมาแต่งลวงว่าความจริงก็ไม่ดีอยู่แล้ว ซ้ำบังอาจเอาพระนามพระจอมเกล้าและพระจุลจอมเกล้าไปแปลงเป็น พระปิ่นเกษ และพระจุลปิ่นเกษ เทียบเคียงใส่โทษเอาตามใจ เกินสิทธิในการแต่งหนังสือ..."ขอให้พิจารณาข้อความนะครับ รัชกาลที่ ๕ รับสั่งว่า นายกุหลาบลงข้อความโฆษณาว่า นายกุหลาบมีบาญชีพระนามพระเจ้าแผ่นกรุงสุโขทัยทุกพระองค์ แล้วบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินที่สุดวงศ์กรุงสุโขทัยนั้น ทรงพระนามว่า พระจุลปิ่นเกษ ซึ่งทรงเข้าพระทัยว่า นายกุหลาบหมายเอาพระนามพระจุลจอมเกล้าของพระองค์ไปแปลงเอาตามชอบ แล้ววางไว้ท้ายที่สุดของวงศ์กรุงสุโขทัย ซึ่งในรัชกาลพระจุลปิ่นเกษนั้น กรุงสุโขทัยเสียแก่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งทำให้เข้าพระทัยต่อไปว่า นายกุหลาบคงจะหมายเอาพระองค์เป็นที่สุดแต่พระราชวงศ์ด้วย นี่คือที่รัชกาลที่ ๕ ทรงกริ้ว ตรงนี้ครับ เพราะเข้าพระทัยว่านายกุหลาบหมายถึงพระองค์โดยตรง
ส่วนสมเด็จกรมพระดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์ไว้นั้น คลาดเคลื่อนไปจากข้อความพระราชหัตถเลขาเพียงใด ก็เห็นกันอยู่ว่า พระจุลปิ่นเกษไม่ได้เป็นพระราชโอรสของพระปิ่นเกษ ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกของกรุงสุโขทัย หลังจากที่ทรงอพยพพระราชวงศ์พาไพร่พลจากเมืองเชียงแสนมาตั้งรกรากใหม่ที่กรุงสุโขทัย ส่วนพระจุลปิ่นเกษเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สุดวงศ์ของกรุงสุโขทัยก่อนจะเสียกรุงแก่กรุงศรีอยุธยา ตามที่นายกุหลาบเคยได้ลงไว้ในสยามประเภทตั้งแต่ฉบับแรกๆ เรื่อยมา นายกุหลาบมักเอ่ยถึงแต่พระปิ่นเกษ ซึ่งเป็นกษัตริย์ต้นวงศ์สุโขทัย แต่ไม่เคยเอ่ยถึงพระจุลปิ่นเกษไว้ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุในครั้งนี้เลย (มิฉะนั้น รัชกาลที่ ๕ คงจะต้องทรงกริ้วมาก่อนหน้านี้ และโปรดสังเกตว่า การที่นายกุหลาบเอ่ยอ้างถึงพระปิ่นเกษมาก่อนหน้านั้น รัชกาลที่ ๕ ก็ยังหาได้ทรงลงโทษทัณฑ์อย่างใดแก่นายกุหลาบไม่ อันนี้ต้องถามคุณเทาชมพูกลับว่าทำไม?) นายกุหลาบเล่าไว้ในสยามประเภทหรือหนังสือเล่มอื่นของเขาว่า ตั้งแต่พระปิ่นเกษที่เป็นต้นวงศ์สุโขทัยมาจนที่สุดวงศ์นั้น เป็นเวลายาวนานถึง ๘๐๘ ปี รวมมีพระเจ้าแผ่นดินทั้งหมด ๔๖ พระองค์ (ซึ่งนายกุหลาบไม่เคยได้แจกแจงว่า ทั้ง ๔๖ รัชกาลนั้น มีพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าอย่างไรบ้าง ได้แต่กล่าวถึงรัชกาลแรกและรัชกาลท้ายเท่านั้น) ก็ถ้าพระปิ่นเกษเป็นต้นวงศ์สุโขทัย และพระจุลปิ่นเกษเป็นที่สุดวงศ์สุโขทัย ซึ่งวงศ์นี้ปกครองกรุงสุโขทัยมานานถึง ๘๐๘ ปีนั้น ย่อมไม่มีทางที่พระจุลปิ่นเกษจะเป็นพระราชโอรสของพระปิ่นเกษได้เลย ฉะนั้น การที่สมเด็จกรมพระยาดำรงทรงพระนิพนธ์ว่า
"...เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า "พระปิ่นเกษ" สวรรคตแล้ว พระราชโอรสทรงพระนามว่า "พระจุลปิ่นเกษ" เสวยราชย์ ไม่มีความสามารถจึงเสียบ้านเมือง..." จึงไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ในเชิงตรรกะ
ประการต่อมา รัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งว่า "หมายความเปนเทียบว่าเหมือนเปนที่สุดวงษ์ด้วยกัน" แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์ว่า "พระราชโอรสทรงพระนามว่า "พระจุลปิ่นเกษ" เสวยราชย์ ไม่มีความสามารถจึงเสียบ้านเมือง" ข้อความของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ให้ความหมายในเชิงว่า นายกุหลาบดูหมิ่นพระปรีชาสามารถของรัชกาลที่ ๕ ด้วย การที่พระเจ้าแผ่นดินของบ้านเมืองหนึ่งจะทรงเสียบ้านเมืองแก่พระเจ้าแผ่นดินอีกบ้านเมืองหนึ่ง บางทีก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นทรงด้อยพระปรีชาสามารถ แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ไม่อาจจะต้านทานกำลังของข้าศึกได้ เช่น ข้าศึกยกมาล้อมหลายทิศทาง หรือไม่ข้าศึกใช้กลอุบายในการโจมตีที่แยบคาย หรือข้าศึกเป็นประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่บ้านเมืองของพระจุลปิ่นเกษเป็นบ้านเมืองน้อยจึงไม่อาจรักษาเอกราชได้ แม้จะได้ต่อสู้ถึงที่สุดแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น จากข้อความในพระราชหัตถเลขานั้น รัชกาลที่ ๕ ไม่ได้ทรงระบุแม้แต่น้อยว่า นายกุหลาบดูแคลนพระปรีชาของพระจุลปิ่นเกษ มีแต่ในพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เท่านั้น
คำถามต่อมา ว่า
สยามประเภทที่ค้นมาลงในกระทู้นี้ ยังมีไม่ครบ อาจมีพงศาวดารสุโขทัยอีกตอนหนึ่ง ในสยามประเภท เล่มอื่น ที่เล่าเรื่องพระจุลปิ่นเกษจริงๆ แต่ไม่อยู่ในเล่มที่หามาได้ เป็นคำถามที่ตอบได้ยากอยู่ เท่าที่ได้สอบถามจากคนที่ได้อ่านสยามประเภทมาอย่างโชกโชนคนหนึ่ง เขาตอบว่า นายกุหลาบเอ่ยถึงพระปิ่นเกษไว้ในสยามประเภทหลายครั้ง แต่ละครั้งที่อ้างถึงนั้น ไม่ปรากฏว่ามีพระจุลปิ่นเกษปรากฏอยู่ด้วยเลย จึงเข้าใจว่า ในสยามประเภทที่ออกใน ปี ร.ศ. ๑๒๕ ฉบับใดฉบับหนึ่ง คงจะมีการเอ่ยถึงพระจุลปิ่นเกาขึ้นมา อันเป็นเหตุให้รัชกาลที่ ๕ ทรงกริ้ว ถ้านายกุหลาบได้เคยเอ่ยมาก่อนหน้านี้ มีหรือที่รัชกาลที่ ๕ จะทรงเก็บเอาไว้มาทรงกริ้วในปีดังกล่าว
อนึ่ง เรื่องพงศาวดารเกี่ยวกับกรุงสุโขทัยที่นายกุหลาบเล่าไว้ในสยามประเภทก็ดี ในหนังสืออื่นก็ดี เป็นแต่การเล่าไว้บางตอน น้อยบ้าง มากบ้าง แต่การเล่าเฉพาะที่มีรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบนั้นยังไม่เคยปรากฏว่ามี สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาด้วยก็คือ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ความรู้เกี่ยวกับกรุงสุโขทัยในหมู่คนไทยยังมีน้อยกว่าทุกวันนี้หลายเท่า ศิลาจารึกสุโขทัยหลายหลักเพิ่งจะมีการรวบรวมและได้พิมพ์เผยแพร่กันสมัยรัชกาลที่ ๖-๗ ในรัชกาลที่ ๕ เรามีแต่ พงศาวดารเหนือ ที่รวบรวมเรื่องจากคำสอบถามในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๔ เกี่ยวกับศิลาจารึกหลักที่ ๑ อภินิหารการประจักษ์และคำอ่านจารึกสุโขทัยภาษาขอม พระนิพนธ์กรมสมเด็จพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ นอกจากนั้นก็มีนิทานพระร่วง ซึ่งก็ยังไม่เป็นข้อมูลที่มากพอที่จะระบุได้ว่า กรุงสุโขทัยมีพระเจ้าแผ่นดินกี่พระองค์ ตราบจนกระทั่งหลังสมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ มาแล้ว เราจึงได้มีข้อมูลมาพอที่ระบุว่ากรุงสุโขทัยมีพระเจ้าแผ่นดินเท่าไร นายกุหลาบคงเห็นว่า คนยังไม่รู้เรื่องสุโขทัยตอนนั้นมีมาก และคนก็กระตือรืนร้นที่จะรู้ แต่ข็อมูลยังมีไม่มากพอ นายกุหลาบจึงสบโอกาสเหมาะที่แต่งเรื่องสุโขทัยขายให้คนอื่นๆ ในสังคมที่ต้องการใคร่รู้นั่นเอง