เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 32
  พิมพ์  
อ่าน: 127729 สนามหลวงสมัยก่อน
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 270  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 14:33


รูปใน #263 ถ้าอยู่ในจุฬาก็คือเรือนพระยาภะรตราชา
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 271  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 14:38

ผมขอส่งสี่แยกบางลำพูเข้าประกวดอีกทีหนึ่งครับ


บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 272  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 15:31

สะพานเหล็กเปลี่ยนเป็นคอนกรีต..ตอนขยายถนนในช่วงหลัง?....โดยไม่ได้ใช้ราวเหล็กเดิมเป็นราวสะพาน?


ทำให้เราข้องใจกันหลายราตรี.....




ประวัติการสร้างอยู่ที่นี่........น่าสนใจ....
 ยิงฟันยิ้ม


สะพานพิทยเสถียร

สะพานเหล็กบน และสะพานเหล็กล่าง

สะพานเหล็ก คือ สะพานเหล็กข้ามคลองรอบพระนคร บริเวณคลองโอ่งอ่าง กรุงเทพมหานคร

ในปีพุทธศักราช 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้ขยายถนนเจริญกรุงและรื้อสร้างสะพานเหล็กใหม่เป็นสะพานโครงเหล็กเปิดได้ การก่อสร้างสะพานเหล็กบนทำให้ต้องมีการย้ายประตูและกำแพงวังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ริมถนนเจริญกรุงบางส่วน จึงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามว่า "สะพานดำรงสถิตย์" เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สำหรับสะพานเหล็กล่าง พระราชทานนามว่า "สะพานพิทยเสถียร" เพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดาซึ่งมีวังที่ประทับตั้งอยู่ใกล้กับสะพาน

สะพานเหล็กทั้ง 2 สะพานนี้ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สิ้นเงิน 23,200 บาท


            แรกเริ่มเดิมที ก่อนรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ จนถึงต้นรัชกาลที่ ๔ สะพานข้ามคลองรอบพระนครชั้นใน (คลองบางลำพู-โอ่งอ่าง ซึ่งขุดในรัชกาลที่ ๑) และสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม (คลองรอบพระนครชั้นนอกขุดในรัชกาลที่ ๔ พ.ศ.๒๓๙๕) ล้วนเป็นสะพานไม้ทั้งสิ้น

            จนกระทั่งถึง พ.ศ.๒๔๐๔ จึงได้มีการสร้างสะพานเหล็กขึ้นสองแห่งเป็นครั้งแรก คือ สะพานเหล็กบนข้ามคลองบางลำพู-โอ่งอ่าง เชื่อมต่อระหว่างถนนเจริญกรุง ในกำแพงพระนครกับนอกกำแพงพระนคร เป็นสะพานเหล็กไขให้เปิดปิดได้ เพราะสมัยก่อนโน้นยังมีขบวนเรือแห่พระราชพิธีอยู่ กับโปรดฯให้รื้อสะพานหันเดิม ซึ่งเป็นสะพานไม้หันได้ สร้างเป็นสะพานเหล็กแบบเดียวกันอีกสะพานหนึ่ง

            สมัยนั้นยังไม่ได้พระราชทานชื่อสะพาน ชาวบ้านจึงเรียกสะพานเหล็กที่สร้างใหม่ (ยังไม่มีบนและล่าง) ว่า ‘สะพานเหล็ก’ บ้าง ‘ตะพานเหล็ก’ บ้าง ส่วนตรงสะพานหันเดิม ยังคงเรียกว่า สะพานหัน-ตะพานหัน ตามที่เคยเรียกกันมา (แม้ต่อมาจะเปลี่ยนรูปสะพานเป็นสะพานโค้งขายของสองฟาก คนก็ยังเรียกกันว่าสะพานหัน จนทุกวันนี้)

            ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ จดเรื่องการสร้างสะพานเหล็กสองสะพานนี้ไว้ว่า

             “การถนนแล้วยังไม่มีสพาน (คือทำถนนเจริญกรุงเสร็จแล้ว-จุลลดาฯ) ได้บอกบุญขุนนางและเจ๊สัวตามแต่ผู้ใดจะศรัทธา รับทำสพานข้ามคลองที่ตรงถนนใหม่ข้ามท่านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ในรัชกาลที่ ๕) ที่สมุหพระกลาโหมรับทำสพานเหล็กข้ามคลองรอบกรุงริมวังเจ้าเขมรข้าม คิดทั้งเหล็กสพานค่าจ้าง ค่าไม้ ค่าอิฐ รวมเป็นเงิน ๑๖๐ ชั่ง ที่สะพานหันเก่าข้ามคลองรอบกรุงลงไปวัดจักรวรรดิ์ ทำสะพานเหล็กอีกสะพานหนึ่งเป็นของหลวง ราคาเครื่องเหล็กที่สั่งเข้ามาก็เหมือนกัน”

            ต่อมาตอนต้นรัชกาลที่ ๕ สะพานไม้เก่าข้ามคลองผดุงกรุงเกษมตอนใกล้จะออกแม่น้ำเจ้าพระยาตอนปลายๆ คลอง ตำบลสี่พระยา ซึ่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สร้างถวายเช่นกัน มีพวกฝรั่งร้องเรียนว่าสะพานไม่แข็งแรง พวกฝรั่งต้องนั่งรถม้าบ้าง ขี่ม้าบ้าง ข้ามไปข้ามมาบ่อยๆ เกรงว่าจะเกิดอันตราย พระบาทสมเด็จพระพระพุทธเจ้าหลวงจึงโปรดฯให้เปลี่ยนเป็นสะพานเหล็กแบบเดียวกับสะพานเหล็ก ๒ สะพานแรก ชาวบ้านจึงเรียกสะพานเหล็ก

แห่งนี้ว่า สะพานเหล็กล่าง และเรียกสะพานเหล็กเดิมว่า สะพานเหล็กบนเป็นคู่กัน

            ถึงรัชกาลที่ ๕ โดยเหตุที่วังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตั้งแต่เริ่มเสด็จออกวังอยู่ตรงที่ริมเชิงสะพานเหล็กบน จึงโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อสะพานเหล็กบนว่า ‘สะพานดำรงสถิตย์’

            วังของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ดังกล่าวเป็นที่บ้านของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) ผู้เป็นขรัวตาของสมเด็จฯ ทรงได้รับมรดก และประทับอยู่ ณ วังริมเชิงสะพานดังกล่าว จึงได้สร้างวังวรดิศที่ถนนหลานหลวง และย้ายไปประทับที่วังวรดิศต่อมาจนสิ้นพระชนม์

            ส่วนสะพานเหล็กล่างนั้นอยู่ใกล้วังตลาดน้อยของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงพระราชทานชื่อว่า ‘สะพานพิทยเสถียร’ คล้องจองกัน

            พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภ (พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต) เดิมประทับวังอันเป็นที่บ้านของเจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่ ๔ (ท้าววรจันทร์) เจ้าจอมมารดาของท่านอยู่ที่ใต้ปากคลองตลาด ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง โปรดฯให้ทรงสร้างวังที่ถนนเจริญกรุงตรงตลาดน้อย แลกกับที่วังปากคลองตลาด จึงทรงย้ายไปประทับวังตลาดน้อยตลอดพระชนมายุ

            สมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภฯ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระชันษาไล่เลี่ยกัน สมเด็จฯ ประสูติ พ.ศ.๒๔๐๕ ฯ กรมขุนพิทยลาภฯ ประสูติ พ.ศ.๒๔๐๖

            ทั้งสองพระองค์ต่างทรงเป็นดังที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘ลูกโทน’ ของเจ้าจอมมารดา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม ธิดาพระยาอัพภันตริกามาตย์ ผู้มีนามเดิมว่า ‘ดิศ’ สมเด็จพระบรมชนกนาถจึงได้พระราชทานพระนามว่า ‘ดิศวรกุมาร’

            ทั้งเจ้าจอมมารดาชุ่มและเจ้าจอมมารดาวาด (ท้าววรจันทร์) เป็นพระสนมเอกได้รับพระราชทานพานทองตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-๔ พานทองเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศทั้งฝ่ายในและฝ่ายหน้า ฝ่ายในเจ้าจอมชั้นพานทองเป็นพระสนมเอก ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดมากกว่าเจ้าจอมชั้นต่ำลงมา ‘พระยา’ ถ้าได้รับพระราชทานพานทอง เรียกกันว่า พระยาพานทอง หรือเจ้าคุณพานทอง มีเกียรติยศสูงกว่าพระยาที่มิได้รับพานทอง ‘หม่อมเจ้า’ ก็เช่นกัน หม่อมเจ้าอาวุโสได้รับพระราชทานพานทองย่อมเป็นผู้มีเกียรติยศกว่าหม่อมเจ้าทั่วๆ ไป

            ในพระนิพนธ์ “ความทรงจำ” ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าถึง ‘คุณตา’ หรือขรัวตาของท่านพระยาอัพภันตริกามาตย์ เอาไว้ว่า

             “คุณตาเกิดแต่ในรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๒ เมื่อ เมื่องานพระราชพิธีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯลงสรง คุณตาอายุได้ ๗ ขวบ พระยาจันทราทิตย์ ผู้ปู่นำถวายสมโภช จึงได้เป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมอยู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มา ครั้งถึงรัชกาลที่ ๓ กรมหมื่นศักดิพลเสพได้เป็นพระมหาอุปราช ท่านทรงคุ้นเคยกับนายเลี้ยงบิดาของคุณตามาแต่ก่อน จึงโปรดตั้งให้เป็นจมื่นอินทรประพาสในกรมวัง วังหน้า เวลานั้นพระยาจันทราทิตย์ถึงอนิจกรรมแล้ว จมื่นอินทรประพาสจะเอาคุณตาไปถวายตัวทำราชการให้มียศศักดิ์ในวังหน้า คุณตาไม่ยอมไป ว่า “ไม่ขอเป็นข้าสองเจ้า” ถึงจะเป็นอย่างไรก็จะอยู่เป็นข้าแต่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพระองค์เดียว แล้วอยู่สนองพระเดชพระคุณมาจนตลอดรัชกาลที่ ๓ จึงทรงยกย่องความซื่อตรงของท่าน เล่ากันมาอย่างนี้ และมีความปรากฏในหนังสือพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ อยู่แห่ง ๑ ทรงบริภาษพวกข้าหลวงเดิมว่า เห็นผู้อื่นมีบุญก็เอาใจออกหาก เคยเห็นใจมาเสียแล้วจะไม่เป็นเช่นนั้นก็แต่ “อ้ายเฒ่าดิศ” (กับใครอีก ๒ คน) พระราชดำรัสนี้ดูประกอบคำที่เล่า ให้เห็นว่าเป็นความจริง”

            พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ พระราชทานราชทินนามพระยาอัพภันตริกามาตย์ คงหมายถึง อำมาตย์ผู้ใกล้ชิดเป็นผู้อยู่ภายในหรือเป็นของพระองค์ เพราะอัพภันดร หรืออัพภันตร-แปลว่า ภายใน ส่วนใน

            (ในรัชกาลที่ ๕ ธิดารุ่นเล็กของพระยาอัพภันตริกามาตย์ คือเจ้าจอมมารดาแส ถวายตัวในรัชกาลที่ ๕ มีพระองค์เจ้าชาย ๑ พระองค์เจ้าหญิง ๒ พระองค์เจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ได้รับพระราชทานพระนามว่า “พระองค์เจ้าอัพภันตรีปชาตามราชทินนามของขรัวตา)

            เจ้าจอมมารดาวาด (ต่อมาได้เป็นท้าววรจันทร์ ท้าวนางผู้ใหญ่ในรัชกาลที่ ๕) นั้น หากพูดกันอย่างสำนวนสมัยนี้ ต้องนับว่าท่าน ‘ดัง’ อยู่ในราชสำนักฝ่ายในมาแต่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ จนถึงรัชกาลที่ ๕

            พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (พระองค์เจ้าธานีนิวัติ) นัดดาของท่าน ทรงพระนิพนธ์ไว้ในประวัติของท่าน ตอนหนึ่งว่า

             “นิสัยคุณย่าเป็นคนที่ภาษาสามัญใช้ว่า หัวโจก มีอัธยาศัยเฉียบขาดรุนแรง แต่ระคนด้วยเมตตากรุณา พยายามคุ้มครองระวังรักษาผู้น้อยใต้บังคับบัญชาไม่ว่าในราชการ หรือในครอบครัวในระหว่างที่เป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่สี่ก็เป็นคนกว้างขวาง มีบริวารมาก อันนิสัยเช่นนี้ในทางดีย่อมเห็นกันอยู่แล้ว แต่ในทางร้ายของการมีบริวารมากก็ใช่ว่าไม่มี ท่านเคยเล่าว่าท่านได้ให้ยกพวกบ่าวไพร่เพื่อนฝูงไปตีกันกับบริวารของเจ้าจอมอื่นๆ ก็มี มาถึงตอนรัชกาลที่ ๕ ที่เข้าไปเป็นท้าววรจันทร์ นิสัยหัวโจกดูเหมือนจะช่วยท่านได้มาก ด้วยนิสัยนี้ช่วยให้ท่านรู้เท่าถึงนัยของหัวโจกต่างๆ ที่ตั้งตัวขึ้นในพระบรมมหาราชวังในครั้งนั้น และซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดงพระราชประสงค์ให้ท่านเข้าไปปราบปรามนั้น ท่านจึงได้ทำการปกครองได้สำเร็จ...”

            เมื่อเจ้าจอมมารดาวาดประสูติพระองค์เจ้า สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระราชทานพระนามว่า “พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต” โดยทรงมีพระราชกระแสว่า พระนามนี้ทรงตั้งพระราชหฤทัย พระราชทานอนุโลมตามเรื่อง “โสณนันทชาดก” รับสั่งว่า “ถ้ามีลูกอีกคนหนึ่งข้าจะให้ชื่อว่านนทบัณฑิต และจะให้นิมนต์พระมาเทศน์เรื่องชาดกนี้ให้ฟัง” แต่ท้าววรจันทร์ก็หาได้มีพระโอรสอีกไม่

            (โสณ แปลว่า ทองคำ)

            เล่าเรื่องสะพานเหล็กบน (ดำรงสถิตย์) และสะพานเหล็กล่าง (พิทยเสถียร) ต่ออีกนิด

            ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงต้นรัชกาลที่ ๕ สะพานเหล็กบนสร้างอยู่ตรงประตูกำแพงพระนคร (ในรัชกาลที่ ๔ ยังเป็นประตูไม่มียอด เพิ่งจะขยายประตูต่อยอดในรัชกาลที่ ๕ สามยอด จึงเรียกว่าประตูสามยอดแต่นั้นมา)

            เล่ากันว่า สนุกนัก เพราะในกำแพงพระนครมีโรงหวย โรงหญิงหากิน (ซ่อง) นอกกำแพงมีโรงบ่อน มีร้านขายของขายขนมสารพัด โรงบ่อนมักหาลิเก หางิ้วให้ดูฟรี ล่อให้คนมาเที่ยวบ่อน ตกบ่ายเย็นตลอดค่ำคืนจึงเป็นที่สนุกครึกครื้นของราษฎรสมัยนั้น

บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 273  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 15:33


ขอพลังจงสถิตย์อยู่กับท่าน


   ร้อยแปดที่กรุงเทพ ตอน สะพานดำรงสถิตย์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2009, 07:26:43 pm » 

--------------------------------------------------------------------------------




ในปีพุทธศักราช 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้ขยายถนนเจริญกรุงและรื้อสร้างสะพานเหล็กใหม่เป็นสะพานโครงเหล็กเปิดได้ การก่อสร้างสะพานเหล็กบนทำให้ต้องมีการย้ายประตูและกำแพงวัดที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ริมถนนเจริญกรุงบางส่วน จึงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามว่า "สะพานดำรงสถิตย์" เพื่อเป็นเกียรติแด่สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สำหรับสะพานเหล็กล่าง พระราชทานนามว่า "สะพานพิทยเสถียร" เพื่อเป็นเกียรแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดาซึ่งมีวังที่ประทับตั้งอยู่ใกล้กับสะพาน สะพานทั้งสองนี้

           ต่อมาได้รับการปรับปรุงในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จากรายงานเรื่องการจัดกิจการตำรวจกรมกองตระเวน ในรัชกาลที่ 5 ร.ศ. 109 (พ.ศ.2434) ในท้องที่สำเพ็งตั้งโรงพัก 2 ตำบล ทำให้ทราบสภาพท้องที่ในเวลานั้น คือ โรงพักที่ 16 ตั้งที่สามแยกถนนเจริญกรุง วางพลตระเวรรักษาท้องที่ ดังนี้ ตรอกตลาดกับตรอกบ้านกวักไม้ ตรอกอาจมกับตรอกหลังโรงงิ้ว ตรอกเต๊ากับตรอกบ้านพระสุทรา ตรอกเจ้าสัวเนียมกับตรอกวัดพลับพลาไชย ตรอกป่าช้าสุนัขเน่ากับ ตรอกถั่วงอก ตรอกมะขาม ตรอกไหมริมโรงบ่อนขุนพัฒแย้ม โรงบ่อนตลาดวัวลำพอง ตรอกหลังตลาดใหม่ ตรอกศาลเจ้าอานม้า ตรอกวัดสามจีนทางไปวัวลำพอง และสามแยกถนนเจริญกรุง โรงพักที่ 17 ตั้งข้องป้อมปิดปัจจนึก (คือ ที่ตั้งที่ว่าการเขตสัมพันธวงศ์ในปัจจุบัน) วางพลตระเวนรักษาท้องที่ ดังนี้ เชิงสะพานช้าง ด้านเหนือ ตรอกวัดสามจีน ตรอกเชียงกงกับตรอกข้าวหลาม หน้าโรงบ่อนวัดสามจีน ตรอกวัดอุภัยราชบำรุง ปากตรอกตลาดน้อยกับตรอกบ้านราชฑูต เชิงสะพานเหล็กและตรอกเข้าไปข้างป้อมปิดปัจจนึก โรงพัก 2 ตำบล รวมเป็นกองที่ 7 มีนายสารวัตรแขวง 1 คน นายหมวด 2 คน นายยาม 6 คน คนตระเวร 144 คน รวมเป็น 153 คน

 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 274  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 16:16

คุณศรีสยามหามาให้ละเอียดยิบ ขอบคุณมาก  ดิฉันจะไปหาสถานที่ตามที่ระบุไว้ในรายละเอียด  เผื่อเจอรูปเก่าจะมาโพสให้ดู

ภาพปริศนาที่คุณนวรัตนเฉลยว่าบางลำพู    ยังจับทิศทางไม่ถูก   นิวเวิร์ลด์อยู่ตรงไหนคะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 275  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 16:27

^
ตรงนี้ครับ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 276  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 16:49

งั้นสะพานข้ามคลองที่หากันแทบล้มประดาตาย ก็อยู่ต่ำลงไปจากขอบล่างซ้ายของภาพน่ะซีคะ

เคยไปสัมภาษณ์เจ้าของร้านขายของเก่าตรงข้ามนิวเวิร์ลด์   เพื่อเอาข้อมูลมาเขียนนิยายเรื่องจากฝันสู่นิรันดร   แต่ดูรูปนี้  นึกไม่ออกจริงๆ
ไปหารูปถนนพระสุเมรุมาได้   เอามาลงให้ดูลักษณะตึกแถวด้านหลังค่ะ

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 277  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 16:55

อ้างถึง
งั้นสะพานข้ามคลองที่หากันแทบล้มประดาตาย ก็อยู่ต่ำลงไปจากขอบล่างซ้ายของภาพน่ะซีคะ

ถ้าใช่ก้เป็นเช่นนั้นครับ
ฝั่งตรงข้าม ดูในกูเกิลเห็นมีตึกสูงอยู่ริมคลองพอดี ถ้าสมัยนั้นตึกนี้สร้างแล้ว ผู้ถ่ายคงขึ้นไปบนหลังคาแล้วถ่ายภาพลงมาครับ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 278  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 17:08

natadol


อ้างถึง
ขอตัวเลือกอีกครั้งนะครับสำหรับสะพานเหล็กบน -ล่าง คิดว่าคำคล้องจองน่าจะมีผลนะครับ ดำรงสถิตย์-พิทยเสถียร


ผมเพิ่งนึกได้ถึงคำทักท้วงนี้ และขอยืนยันความถูกต้องของคุณณัฐดลครับ



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 279  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 17:16

สืบเนื่องจากเรือนในค.ห. 263
เรือนเดียวกันใช่ไหมคะ?


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 280  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 17:18

แล้วนี่ล่ะคะ?


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
puyum
พาลี
****
ตอบ: 245


ความคิดเห็นที่ 281  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 18:59

ขอเพิ่ม ความคิดที่ ๒๗๕
ขวามือคือทางไปป้อมพระสุเมรุ
ริมถนนซ้ายมือ ห้างแผ่นเสียงตรากระต่าย ยังอยู่หรือไม่
ขอภาพเก่าด้วย
จากสี่แยกไปทางวัดบวร ตึกริมคลองแหล่งชอปฯเก่าแก่
ผมรู้จักเสื้อเชิตดัง ยี่ฮ่อ A กางเกงยีน W  เมดอิน USA
ปัจจุบันเมดอิน TH
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 282  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 19:55

280รูปขวา เป็นเรือนจุฬานฤมิตครับ อยู่ในกลุ่มอาคารเดียวกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 283  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 20:08

ถ้างั้นคุณนวรัตนก็ตอบถูกอีกครั้งแล้วค่ะ    ภาพที่คุณณัฐดลนำมาลงคือเรือนภะรตราชา ในบริเวณจุฬาฯ ฝั่งสำนักอธิการบดี

http://www.naewna.com/news.asp?ID=174577
บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 284  เมื่อ 17 ส.ค. 10, 21:27

ยังกังขาภาพเก่าใน คห. 275 อยู่ครับ......

หากเป็นแยกบางลำพูดังท่านnavaratว่าไว้....
ระยะห่าง(กูเกิ้ล)จากห้างนิวเวิลด์ไปวังหน้า...ประมาณ 700 เมตร
                                   ไปวังหลวง..ประมาณ 1,300 เมตร

ดูจากภาพน่าจะไกลกว่านั้น.......
ที่เห็นเป็นวังหน้า......น่าจะเป็นพระอุโบสถและวิหารวัดสุทัศน์มากกว่าไหม?

ลองดูภาพวัดสุทัศน์นี้จะเห็นว่าใกล้เคียงลักษณะที่ว่า

คงต้องพึ่งคุณnatadolชี้ขาดด้วยภาพละครับ...............




รางวัลหรือสินบน..อาจจะได้โอกาสหิ้วตะกร้าหมากพลูเดินตามหลังป้า...ดีไหมครับnatadol?



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 32
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.079 วินาที กับ 19 คำสั่ง