เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 9
  พิมพ์  
อ่าน: 34784 เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



 เมื่อ 01 ก.พ. 10, 10:30

ได้มีโอกาสไปเดินเป็นนักแสวงบุญที่ตอนเหนือของสเปน เป็นเวลากว่า ๑ เดือน มีคนสนใจอ่านมั้ย ภาษาไทยของข้าพเจ้าไม่ดีนักเพราะไม่ได้ใช้ชีวิตในเมืองไทยมากนัก ดีที่มีสกุลไทยช่วยให้ได้อ่านได้ดี  ถ้ามีคนสนใจอ่าน ข้าพเจ้าจะลองพยายามเขียน ให้อ่านสนุกๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 01 ก.พ. 10, 10:41

กรุณาอธิบายเพิ่มเติมด้วยจะขอบคุณมาก
๑   เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) คืออะไร  เป็นชื่อหนังสือ หรือบทความ หรืออะไร
๒   ถ้าเป็นชื่อบทความ ที่คุณจะเขียนเล่าให้อ่านกัน  ก็เชิญเขียนได้ค่ะ
๓   ถ้าเป็นเรื่องแปล ต้องได้รับอนุมัติเรื่องลิขสิทธิ์ก่อน  มิฉะนั้นเจ้าของเรือนไทยจะเดือดร้อนไปด้วย
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 01 ก.พ. 10, 15:27

๑   เอล คัมมิโนเดซานติอาโก เป็นเส้นทางเดินของนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิค เพื่อเดินให้ถึงเมือง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลา (Santiago de Compostela) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน ที่เมืองนี้มี ศพของนักบุญเจมส์ให้คนทั่วไปได้กราบใหว้บูชา (ในภาษาสเปนเรียกว่านักบุญซานติอาโก)  เส้นทางเดินไปเมือง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลานี้ มีหลายเส้นทางด้วยกันในยุโรป ข้าพเจ้าเลือกเส้นทางที่เรียกกันว่า เส้นทางฝรั่งเศส
๒   ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร เหมือนเป็นบันทึกประจำวันมีอยู่ ๓๐ กว่าตอน พร้อมรูป
๓   เป็นเรื่องเขียนเองค่ะ  แต่ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า อาจจะมีการสะกดผิดบ้าง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 01 ก.พ. 10, 16:26

ดิฉันจะแก้ตัวสะกดให้เอง ถ้าเป็นภาษาไทย
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 01 ก.พ. 10, 17:44

ขอบคุณมากที่สุดเลยค่ะ เรื่องรูปประกอบ อนุญาติให้รูปละกี่่ KB คะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 01 ก.พ. 10, 18:23

ไฟล์ที่อนุญาต: doc, gif, jpg, mpg, pdf, png, txt, zip, kmz
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต: 250 KB. ต่อกระทู้
คุณส่งไฟล์ได้มากกว่า 1 ไฟล์ ต่อ 1 ความเห็นค่ะ   แต่รวมแล้วไม่เกิน 250 KB. ต่อกระทู้

วิธีใส่รูป  คลิกที่ ตัวเลือกเพิ่มเติม  นะคะ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 01 ก.พ. 10, 18:50

ก่อนอื่นผมขอเล่าคร่าวๆว่าทําไมแม่และตัวผมถึงมาเป็นนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิคไปได้ โดยที่แม่นับถือศาสนาพุทธและผมไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย ทั้งๆที่ผมโตในประเทศที่เป็นแคธอลิคเกือบทั้งประเทศ ผมมีพ่อแม่ที่ทันสมัยเอามากๆ แม่สอนผมเกี่ยวกับศาสนาพุทธ ทุกๆอย่างที่แม่รู้หรือที่จําเขามาอีกที โดยไม่เคยบังคับให้ฟัง ประเภทอยากฟังก็ฟังไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟัง ส่วนพ่อแม้จะเป็นแคธอลิคแท้ก็ยกหน้าที่ให้ย่าซึ่งโกรธกับพระเจ้าและเยซูตั้งแต่ปู่ตายไปเมื่อย่าอายุ ๔๗ ปี ตัวผมเองก็ไม่ได้เข้ารีตตามศาสนาแคธอลิค และโรงเรียนที่ผมเรียนก็ไม่ได้สอนวิชาศาสนาหนึ่งศาสนาใดโดยเฉพาะ พวกเราได้เรียนรู้ในหลักการของทุกๆศาสนาในโลกเพราะฉะนั้นความรู้ด้านศาสนาของผมอาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆ ผมพอจะสรุปเอาเองได้ว่าพ่อ แม่และย่าช่วยกันสอนให้ผมเป็นเด็กดีมีนํ้าใจเพื่อต่อไปผมจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และให้ผมมีโอกาสเลือกเอาเองตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วว่าผมอยากจะนับถือศาสนาอะไร
แม่และผมมาเป็นนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิคด้วยมีผมเป็นต้นเหตุ  อย่างที่บอกไว้แต่ต้นผมอยู่ในประเทศที่คนส่วนมากนับถือศาสนาแคธอลิค ไม่ใช่แค่เป็นประเทศแคธอลิคเฉยๆแต่เป็นประเทศแคธอลิคที่มีเส้นเดินทางของนักแสวงบุญของศาสนาแคธอลิค คือ เอล คัมมิโนเดซานติอาโก (El Camino de Santiago) เส้นทางนี้เริ่มจากฝั่งตะวันออกของประเทศไปจนถึงฝั่งตะวันตกโดยจบเอาที่ที่เมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลา (Santiago de Compostela) ผมว่าท่านผู้อ่านคงจะเดาออกว่าผมกําลังพูดถึงประเทศสเปน เส้นทางไปเมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลานั้นสามารถเริ่มเดินจากที่ใหนก็ได้ในยุโรป (หรือในโลก เขาว่ากันว่า) แต่ผมจะกล่าวถึงเส้นทางที่เรียกกันว่า เอล คัมมิโน ฟรันเซส  (el camino frances) ซึ่งแปลได้ว่า เส้นทางเดินฝรั่งเศส ซึ่งที่แม่และผมจะเดินในส่วนหนึ่งของเส้นทางนี้เท่านั้น โดยเริ่ม เมืองเล็กๆ ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเมืองที่ติดชายแดนประเทศสเปน มีเขาพีเรนีซ (Pyrenees) เป็นพรมแดน

 


บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 02 ก.พ. 10, 21:40

น่าสนใจครับ ขอลงชื่อรออ่านด้วยคนครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 03 ก.พ. 10, 03:29

แม่ทําท่าประหลาดใจมากตอนที่ผมบอกว่าอยากจะไปเป็นนักแสวงบุญ แต่ความที่แม่กลัวว่าผมจะรู้ว่าแม่ไม่รู้ แม่รีบตอบว่า
“ถ้าไปเราต้องไปกันตอนหน้าร้อน”
ก็แน่ละครับว่าต้องเป็นหน้าร้อน ใครเขาจะไปตอนหน้าหนาวกันบ้าง ไหนจะหิมะ ไหนจะฝน ไหนจะลม ผมว่าไม่มีใครอยากจะไปเดิน ๘๐๐ กิโลเมตร ตากลม ตากฝน แถมต้องลุยหิมะอีกต่างหาก 
“งั้นเราไปกันเดือนสิงหาคมเข้ากันยายนนะแม่”
จากนั้นผมก็เห็นแม่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืนหาข้อมูล เข้าออกร้านขายหนังสือเป็นว่าเล่น แต่ผมก็ไม่เห็นว่าแม่จะได้ข้อมูลซักเท่าไร ขนาดนักเขียนชื่อดังอย่าง “จันทรำไพ” ส่งข้อมูลมาให้แม่ยังอ่านไม่เข้าใจ ไม่ไช่ “จันทรำไพ”  เขียนไม่ดีนะครับ เพียงเพราะแม่ผมไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นแม่ค้นหาข้อมูล ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าแม่และผมจะได้ไปเดินกันจริงๆหรือเปล่า
“แม่ว่าเราไปหาข้อมูลเอาข้างหน้าแล้วกัน ไปถามคนแถวนั้นเอา เส้นเดินทางชื่อดังขนาดนี้ต้องมีคนรู้ละน่า”
แม่ผมเป็นคนแบบนี้แหละครับ ไปตายเอาดาบหน้า จะให้นั่งจัดโปรแกรมแม่คงหัวใจวายตายไปเสียก่อน แม้ว่าผมจะเสนอจัดโปรแกรมให้แม่ก็ไม่ยอม อ้างว่าผมจะรู้อะไร ตัวแม่เองอ่านทั้งหนังสือ ทั้งอินเตอร์เนต แถมมี “จันทรำไพ” ช่วย ยังไม่รู้เรื่องเลย
“เราไปกันแบบไม่รู้นี่แหละ เราจะไดัไปอย่างอิสระ ไม่ต้องตามใคร ไปครั้งนี้ไม่ได้ดังใจ ครั้งหน้าก็ต้องดีกว่าครั้งนี้แน่ๆ”
นี่แหละแม่ผม ยังไม่ได้ไปครั้งนี้หรือครั้งไหนเลย เตรียมจะไปครั้งหน้าซะแล้ว ท่านผู้อ่านคงจะนึกภาพแม่ผมออกนะครับ
เราเตรียมตัวกันเป็นการใหญ่ เริ่มด้วยการไปซื้อกระเป๋าสะพายหลังและรองเท้าบูทหุ้มข้อเท้า (ซึ่งควรจะซื้อสองเบอร์ใหญ่กว่าปกติ) ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องซื้อล่วงหน้าอย่างตํ่าสามเดือน เพราะต้องรองแบกกระเป๋าและใส่รองเท้าเดินทุกวันก่อนจะไปเดินจริงๆ  ถ้ารองเท้ามันจะกัดก็ให้มันกัดซะก่อนไป แล้วสมบัติที่ใส่ในกระเป๋าสะพายหลังก็ไม่ควรหนักเกิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของนํ้าหนักของคนสะพาย  แม่ซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบหอบสัมภาระเลยสบายใจเป็นอันมาก ขาดเหลืออะไรก็ไปหาซื้อเอาข้างหน้า เอาเป็นว่าสุดท้ายรายการสมบัติที่จะเอาไปด้วยมีดังนี้
•   รองเท้าแตะ แบบใส่สบายไว้ไส่ตอนเย็น เวลาเดินเล่นในเมือง
•   เสื้อยืดสามตัว ถ้าเป็นสีขาวจะดีมาก จะมองไม่เห็นคราบเกลือเวลาเหงื่อออก แบบซักง่ายและแห้งเร็ว
•   ถุงเท้าแบบบางสำหรับใส่ข้างใน(liner) สามคู่ (ถ้าหาแบบมีแยกห้านิ้วเท้าได้จะดีมาก มียี่ห้อ Injinjiโปรดดูได้ที่www.injinji.com)และถุงเท้าแบบเดินเขาอีกสามคู่
•   กางเกงในสี่ตัว
•   ยกทรงสามตัว
•   กางเกงขาสั้นหนึ่งตัวแบบซักง่ายและแห้งเร็ว
•   กางเกงขายาวหนึ่งตัวแบบซักง่ายและแห้งเร็ว และสามารถถอดซิบเพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นได้
•   เสื้อยืดหนากันหนาวแขนยาวหนึ่งตัว
•   เสื้อกันฝนกันลมสำหรับเดินขึ้นเขาและตอนอยู่บนเเขาซึ่งอากาศจะเย็นมากถึงแม้จะเป็นหน้าร้อนก็ตาม
•   ถุงพลาสติกสี่หรือห้าใบสำหรับใส่เสื้อผ้าก่อนจะยัดลงไปในกระเป๋า ถ้าฝนตกเวลาเดิน เสื้อผ้าจะได้ไม่เปียก
•   เข็มกลัดหนึ่งโหลสำหรับเสื้อผ้าที่ซักตอนกลางคืนแล้วไม่แห้งต้องตากต่อตอนเช้าโดยการห้อยติดกับกระเป๋าสะพายหลัง
•   เข็มเย็บผ้าพร้อมด้ายห้าชุด อันนี้สำคัญมากไม่ใช่เอาไว้เย็บกระดุม แต่เอาไว้เจาะแผลพุพองตามเท้า เพื่อให้นํ้าหนองไหลออกมาอย่างสะดวก เข็มที่ใช้เจาะ ก็ต้องสนด้ายชุบด้วยแอลกอฮอล์ตามไปด้วยและทิ้งด้ายคาไว้ที่แผลทั้งคืน ตามด้วยยาแดง
•   สบู่เหลว เอาไว้เป็นทั้งสบู่ถูตัว สระผม และซักผ้า เรียกว่า three in one เลยทีเดียว เพื่อประหยัดเนื้อที่และนํ้าหนักในกระเป๋า
•   ยาสีฝันและแปรงสีฝัน
•   ยาแดง
•   แอลกอฮอล์สำหรับเช็ดแผล อันนี้เอาไว้ชุบเข็มเย็บผ้าและด้าย
•   ยาแก้ไข้ ยาแก้ปวด เอาไว้กินช่วงวันแรกๆ ของการเดินทาง โดยเฉพาะ ช่วงเจ็ดถึงสิบวันแรก ร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวกับการเดินวันละ  ๒๐ กิโลเมตรได้ เพราะฉะนั้นจะปวดเนื้อปวดตัวมากโดยเฉพาะขาและเท้า
•   ยาแก้ท้องร่วง
•   กรรไกร สำลี พลาสเตอร์ปิดแผล
•   กระดาษชำระ เวลามีเหตุฉุกเฉินกลางทาง
•   ไม้เท้า สำหรับเดินขึ้นและลงเขา อันนี้สำคัญมากโดยเฉพาะเวลาลงเขา
•   หมวกและแว่นกันแดด
•   กล้องถ่ายรูป
•   โทรศัพท์มือถือพร้อมที่ชาจถ่าน ถ้าเป็น I-phone ได้ก็จะดีมาก เพราะมีกล้องถ่ายรูป และ GPS ให้ ด้วย จะได้ไม่หลงทาง (แต่แพงมาก)


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 04 ก.พ. 10, 05:02

วิธีจัดกระเป๋าของแม่ก็ง่ายๆ ของหนักเอาไว้ข้างล่าง เสื้อผ้าเอาใส่ถุงพลาสติก ถ้าฝนตกเสื้อผ้าจะได้ไม่เปียก ผมถามแม่ถึงถุงนอนกับผ้าขนหนู เวลาเราต้องไปนอนตามบ้านพักของนักแสวงบุญ (refugio, alberque) ซึ่งบางทีก็ต้องนอนบนพื้นร่วมกับนักแสวงบุญคนอื่นเป็นสิบๆคน
“เราไม่ได้นับถือศาสนาแคธอลิคเพราะฉะนั้นเราไม่ต้องทนทุกข์ทรมานโดยการไปนอนตามบ้านพักของนักแสวงบุญ ศาสนาพุทธสอนให้เราเดินเส้นกลาง ไม่ต้องทรมานและไม่ต้องหรูหรา โรงแรมเล็กๆตามเส้นทางถูกๆมีเยอะแยะ เราจะไปพักกันที่นั่น ไม่ต้องไปนอนแย่งบุญกับนักแสวงบุญคนอื่น  ไม่ต้องหอบถุงนอนกับผ้าขนหนู โรงแรมเล็กและถูกขนาดไหนก็ต้องมีเตียงให้นอนมีผ้าขนหนูให้ไช้ล่ะน่า” แม่ตัดบทง่ายๆ

เส้นทางที่เราจะไปเดิน มีเครือข่ายบ้านพักสำหรับนักแสวงบุญระหว่างทางแทบทุกเมืองที่เดินผ่าน ว่ากันว่าเมื่อก่อนนั้นไม่คิดค่าพักแต่รอให้นักแสวงบุญที่มาพักบริจาคช่วยเหลือค่านํ้าค่าไฟร่วมถึงค่าบำรุงต่างๆ ประเภทมีน้อยให้น้อยมีมากให้มาก แต่มันไม่ได้ผลเพราะน้อยคนที่จะบริจาค เลยต้อง เปลี่ยนระบบใหม่คือต้องจ่ายค่าพักทุกคน โดยคิดค่าที่พักถูกมาก (ระหว่าง ๓ ถึง ๗ ยูโร)แล้วบ้านพักนี้สำคัญมากสำหรับนักแสวงบุญหรือไม่แสวงบุญเช่นแม่และผมเป็นต้น ซึ่งผมจะเล่าต่อไปดั้งนี้
             เมื่อเราตัดสินใจกันได้ว่าเราจะเริ่มเดินจากเมืองไหน เราจะต้องไปหาบ้านพักนักแสวงบุญเพื่อไปเอาเอกสารซึ่งเรียกกันว่า เครเดนเซียล เดล เปเรกรีโน  (credencial del Peregrino)  ในภาษาสเปน หรือ การ์เนท์ เดอ แพเลอแรง (carnet de pelerin) ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแม่เรียกเป็นภาษาไทยซะหรูว่า “ใบเบิกทางสู่สวรรค์”  มีกฎว่าถ้าเดินทางด้วยเท้าหรือด้วยม้าหรือลาอย่างตํ่า ๑๐๐ กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้นที่ไหนก็ตาม จนถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา (Santiago de Compostela) สามารถไปรับใบประกาศนียบัตรหรือที่เรียกกันว่าคอมโพสเตลา (Compostela) รับประกันว่าขึ้นสวรรค์แน่ๆ ที่สำนักงานนักแสวงบุญ ทางสำนักงานก็จะตรวจดูว่าเดินมาจริงๆหรือเปล่าโดยการตรวจตราประทับพร้อมวันที่ ซึ่งตราประทับทั้งหลายนี้ได้มาจากบ้านพักนักแสวงบุญตามเมืองต่างๆที่เดินผ่านมา ถ้าหาบ้านพักนักแสวงบุญในเมืองใดเมืองหนึ่งไม่เจอ ก็ไปขอตราประทับในโบสถ์ซึ่งมีอยู่ทุกเมืองที่เดินผ่าน แค่ขึ้นอยู่ว่าโบสถ์จะเปิดหรือเปล่าเท่านั้น ในเมืองเล็กๆโบสถ์จะปิดเป็นส่วนมากใดยเฉพาะตอนกลางวัน จะไปเปิดอีกทีก็ตอนหกโมงเย็นหรือทุ่มเอาโน้น ซึ่งเป็นเวลาสวดมนต์ของเมืองพอดี
             ถ้าไปตอนนี้ก็อาจโชคดีเจอพลเมืองทุกๆคนของเมืองก็ได้ แล้วข้อสำคัญอีกอย่างของเอกสารฉบับนี้ทำให้เราสามารถเข้าพักในบ้านพักนักแสวงบุญตามเมืองต่างๆที่เดินผ่านได้ อย่างในกรณีของแม่และผม ถ้าเผื่อเราเดินผ่านเมืองที่ไม่มีโรงแรมให้พักซึ่งความจะเป็นไปได้นั้นสูงมาก ส่วนบ้านพักนักแสวงบุญนั้นมีอยู่ทุกๆเมืองที่เราต้องเดินผ่าน บางเมืองมีหลายแห่งด้วยซํ้าไป แล้วตราประทับของบ้านพักนักแสวงบุญตามเมืองต่างๆนั้น มีตราแตกต่างกันไป เป็นที่น่าเก็บเป็นที่ระลึก  และถ้าโชคไม่ดีจริงๆขนาดที่ว่าหาบ้านพักนักแสวงบุญไม่เจอ (ซึ่งความเป็นไปได้สูงมากโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆที่ผมจะเอ่ยถึงต่อไป) และ โบสถ์ปิด ก็ไม่ต้องตกใจว่าจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์เพราะไม่มีตราประทับ คุณไปหาสถานีตำรวจ ให้ตำรวจประทับตราให้ หรือ สำนักงานนักท่องเที่ยวก็มีตราประทับให้เหมือนกัน
ผมเขียนมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าทำไมผมไม่สอดเแทรกประวัติศาสตร์ของ เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) ให้ได้รู้กันบ้าง  ที่ผมไม่เล่านั้นประการแรกเป็นเพราะผมรู้นิดๆหน่อยๆ เลยทำให้ผมไม่อยาก”พยายาม” เขียนประวัติศาสตร์ แล้วอีกอย่างนักเขียนชื่อดังอย่าง “จันทรำไพ”ได้เขียนไว้แล้ว เอาเป็นว่าผมจะเล่าแค่เรื่องที่ผมกับแม่ไปทรมานอย่างมีความสุขเท่านั้นพอ



คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 05 ก.พ. 10, 05:42

เมื่อจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างได้ครบหรือเกือบครบ แม่และผมก็มาขึ้นรถไฟเที่ยวแรก ตอน ๗.๓๕ เช้าออกจากสถานี บาร์เซโลน่า ซันท์ (Barcelona Sant) เพื่อเดินทางไปเมือง พัมโพรนา (Pamplona) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสเปน เรามาถึงเมืองพัมโพรนาก่อนเที่ยง (๑๑.๑๗)
พอลงจากรถไฟเราก็ไปหาแท็กซี่เพื่อจะไปเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท (Saint-Jean-Pied-de-Port) ในประเทศฝรั่งเศส ห่างออกไปประมาณ ๗๐ กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นเมืองเริ่มต้นของการเดินทางของแม่และผม (พร้อมด้วยนักแสวงบุญคนอื่นๆ)   สาเหตุที่เราตัดสินใจเอาเมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นเพราะแม่และผมต้องการเดินข้ามเทือกเขาพีเรนีซ (Pyrenees) จากฝรั่งเศสเข้าสู่สเปน   ระยะทางจาก ซังชองปิเอด์เดอพอร์ท ถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา นี้ขึ้นอยู่กับหนังสือที่คุณใช้ หนังสือที่แม่และผมใช้นั้นบอกว่า ๗๗๒ กิโลเมตร  แต่ป้ายบนเขาพีเรอนีซที่เราไปเห็นบอกว่า ๗๖๕ กิโลเมตร แต่จะกี่กิโลเมตรก็ตามแม่และผมก็ได้ตกลงกันว่าจะเดินให้ถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา ตามวิทีเดินทางของเราช้าบ้างเร็วบ้างตามอารมณ์ (ของแม่)
จริงๆแล้วเราสามารถขึ้นรถเมล์จากพัมโพรนาไปซังชองปิเอด์เดอพอร์ทโดยไปลงที่เมือง รอนเซสวายเยส  (Roncesvalles) ก่อน แล้วไปต่อรถแท็กซี่จากรอนเซสวายเยส  เข้าซังชองปิเอด์เดอพอร์ท ซึ่งวิทีนี้จะมีราคาถูกกว่าขึ้นแท็กซี่โดยตรงจากพัมโพรนามากแต่จะต้องใช้เวลาเดินทางทั้งวัน เพราะมีรถเมล์ออกจากพัมโพรนา ไปรอนเซสวายเยส  แค่วันละเที่ยวตอนหกโมงเย็น แล้วคนอย่างแม่ผมซึ่งไม่เคยมีความอดทนกับอะไรทั้งสิ้นจะไปนั่งรอรถเมล์ตลอดวันเพียงแค่จะไปเมืองที่ห่างออกไปแค่ ๗๐ กิโลเมตร อย่าหวัง ถึงแม้ว่างบประมาณของเราจะน้อยแม่ก็ยอมขึ้นแท็กซี่ เพื่อเราจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น ที่พัมโพรนาแม่เดินถามคนเขาไปเรี่อยๆจนเดินไปพบแท็กซี่ซึ่งมีนักแสวงบุญนั่งรออยู่แล้วหนึ่งคน แท็กซี่คันนี้คิดราคา ๙๖ ยูโร แต่ขึ้นได้แปดคน แถมคนขับพาแวะกินกาแฟข้างทางอีกด้วย พร้อมทั้งชี้เส้นทางเดินให้ดู ว่าเราจะเดินทางผ่านเมืองไหนกันบ้าง  แต่แม่ก็คือแม่ ไม่ชอบรอ แม่ว่ารอแบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อีกห้าคนจะมาร่วมวง จะมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราเลยเดินไปหาแท็กซี่ที่ว่างและสามารถพาแม่และผมไปส่งถึงเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทได้ เป็นแท็กซี่มีตเตอร์ ซึ่งแม่ถามราคาให้แน่ใจว่าไม่เกินหนึ่งร้อยยูโร คนขับก็ยืนยันว่าไม่เกินแน่ๆ
พอขึ้นแท็กซี่ได้ไม่นานแม่ก็เริ่มคุยกับคนขับ เขา ชื่อว่า ปายโย่ (Peio) มีลูกสอง ขับแท็กซี่ประจำอยู่ที่เมือง พัมโพรนา กว่าเราจะถึงเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท แม่ก็ได้เบอร์มือถือของคุณปายโย่เรียบร้อย (๐๐๓๔ ๖๐๐ ๘๖ ๓๙ ๘๓) แม่ว่า เขามีอัธยาศัยดี ถ้าเรามีปัญหาจะได้เรียกใช้บริการเขาได้อีก


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 06 ก.พ. 10, 05:24

เมื่อเรามาถึงเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทซึ่งเป็นเมืองเล็กๆติดชายแดนกับสเปน บ่ายโมงกว่าเกือบบ่ายสอง แม่ว่ายังไม่สายมากนักที่จะกินข้าวกลางวัน เราถึงได้รู้ว่าคนฝรั่งเศสกินข้าวเร็วกว่าคนสเปน พอเราไปถึงร้านอาหารหลายๆร้านเขาก็ไม่มีอะไรให้เรากินแล้ว วันนี้เลยอดกิน  แต่เริ่มต้นการพจญภัยด้วยการหาบ้านพักนักแสวงบุญเพื่อไปเอา“ใบเบิกทางสู่สวรรค์” แม่มีที่อยู่บ้านพักนักแสวงบุญซึ่งอยู่บนถนน  เดอ ลา ซิตาเดลล์ (rue de la Citadelle) เบอร์ ๓๙โชคดีที่เมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งไม่น่าจะยากนัก ถึงกระนั้นก็หากันไม่เจอต้องถามคนไปตลอดทาง ผมได้ฟังแม่พูดภาษาฝรั่งเศส ให้ผมได้หัวเราะสำเนียงของแม่เล่น ใครว่าภาษาฝรั่งเศสเพราะและโรแมนติก ถ้าได้ฟังแม่ผมละก้อ คงเปลี่ยนใจไปเรียนภาษาเยอรมันกันหมด แต่ผมก็เห็นคนเข้าใจแม่ผมดี ไม่เห็นมีใครเขาหัวเราะแม่ผมซักคน ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านพักนักแสวงบุญ แต่ปรากฏว่าเขาปิด จะไปเปิดอีกทีตอนสามโมงเย็น แม่เลยยืนคุยกับเพื่อนนักแสวงบุญที่ยืนรอ
บ้านเปิด ยืนได้ประเดี๋ยวเดียวแม่ก็สามารถรู้ว่าเขาชื่ออะไรและมาจากใหน สาววัยทองชื่อแซวี่ (Sevi) มาจากประเทศอิตาลี มาเดินคนเดียว   หนุ่มสาววัยรุ่น แดนกับเจมมา (Dan and Jemma) จากอังกฤษ ไมค์กับเกล (Mike and Gail) จากแคนาดา แล้วก็อีกหลายๆคนที่ผมจำไม่ไหว เราคุยกันอยู่พักใหญ่ๆ บ้านถึงได้เปิด เราเดินเข้าไปขอ เครเดนเซียล หรือที่แม่เรียกว่า “ใบเบิกทางสู่สวรรค์” ซึ่งผมก็จะเรียกตั้งแต่นี้ต่อไปเช่นกัน
ใบเบิกทางสู่สวรรค์ ราคาเล่มละสองยูโร เราต้องลงชื่อและที่อยู่พร้อมทั้งเบอร์หนังสือเดินทาง แล้วต้องบอกด้วยว่าเราจะเดิน ขี่จักรยาน ขี่ม้า หรือขี่ลา ถ้าใช้จักรยานต้องเดินทางอย่างต่ำ ๒๐๐ กิโลเมตรก่อนจะถึงซานติอาโกเดคอมโพสเตลา  ถ้าเดิน ขี่ม้า หรือขี่ลาก็แค่ ๑๐๐กิโลเมตร



บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 07 ก.พ. 10, 05:32

พอได้ใบเบิกทางสู่สวรรค์เราก็ไปเดินหาโรงแรม ส่วนมากเป็นโรงแรมเล็กๆมีไม่กี่ห้องนอน ซึ่งพอเราไปถึงก็เต็มหมดแล้ว โชคดีที่เราไปเจอโรงแรมเล็กๆบนถนนเดียวกับบ้านพักนักแสวงบุญ คือถนน  เดอ ลา ซิตาเดลล์ ซึ่งไม่ไกลจากกันมากนัก (บ้านพักนักแสวงบุญอยู่เบอร์ ๓๙ โรงแรมเราเบอร์ ๒๐) โรงแรมเมซอง แบร์นาท์ (Maison Bernat เบอร์โทร ๐๐๓๓ ๕ ๕๙ ๓๗ ๒๓ ๑๐) นี้มีแค่ สี่ห้อง ซึ่งทำได้น่ารักมาก เป็นห้องที่ไม่มีเบอร์ แต่ใช้ชื่อเมืองใกล้ๆกันมาตั้งเป็นชื่อห้อง เราได้ห้องชั้นบนสุด มีเตียงคู่และเตียงเดี่ยว ดูง่ายๆสบายตา ข้อเสียข้อเดียวของโรงแรมนี้คือค่าห้องเกินงบประมาณของเรา
“แต่วันนี้เราไม่ได้กินข้าวกลางวันเพราะร้านปิด เพราะฉะนั้นเราเอาเงินค่าข้าวกลางวันมาสมทบเป็นค่าโรงแรม แค่นี้เราก็อยู่ในงบประมาณแล้วละน่า”   เป็นไงครับแม่ผม อย่างกับกลัวว่าเงินมันจะขึ้นราถ้าเอาเก็บไว้  แต่อย่าไปเถียงกับเขาเลย เพราะแม่ผมชนะเสมอ
หลังจากเข้าโรงแรมเอาของไปเก็บ แม่ก็พาผมเดินชมเมือง  ซังชองปิเอด์เดอพอร์ท เป็นเมืองเล็กๆที่มีนักท่องเที่ยว รวมทั้งนักแสวงบุญเยอะมาก ข้าวของราคาแพงกว่าในสเปน เราแวะกินน้ำและขนมแก้หิว เพราะกว่าได้กินข้าวเย็นก็อีกนานโข เราเดินเล่นไปเรี่อยๆเพราะอากาศดีมาก เจอนักแสวงบุญที่เราเจอตอนไปเอาใบเบิกทางสู่สวรรค์ เลยชวนกันเดินเล่นเป็นหลายๆคน  พอตกเย็นก็ไปกินข้าวด้วยกัน  เรานั่งรวมกันบนโต๊ะใหญ่ แม่นับได้สิบกว่าคน แตกต่างชาติมีตั้งแต่แม่ซึ่งเป็นคนไทย ผมสเปน แล้วก็มีคนอังกฤษ คนแคนาดา คนเยอรมัน คนอิตาลี คนเดนมาร์ก คนฝรั่งเศส  โต๊ะเราเป็นโต๊ะองค์กรสหประชาชาติจริงๆ  แต่ละคนมาจากที่ต่างๆกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเดินให้ถึง ซานติอาโกเดคอมโพสเตลา



บันทึกการเข้า
pakun2k1d
พาลี
****
ตอบ: 285


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 07 ก.พ. 10, 11:35

อ่านสนุก  ขอร่วมทางผ่านตัวหนังสือด้วยคนนะคะ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 07 ก.พ. 10, 21:20

ขอบคุณ pakun2k1d ด้วยค่ะ ติได้นะค่ะ เพราะดิฉันเขียนเรี่อยๆ วันละนิดวันละหน่อยทุกวัน
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 20 คำสั่ง