เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 9
  พิมพ์  
อ่าน: 34625 เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 08 ก.พ. 10, 05:10

วันแรกแม่ปลุกผมตอนเจ็ดโมงเช้า เพราะแม่บอกทางโรงแรมให้หาข้าวเช้าให้เราตอนเจ็ดโมงครึ่ง  เพราะตอนแปดโมงเช้าเรามีฤกษ์พจญภัยวันแรก เป็นวันแรกที่ค่อนข้างน่ากลัวเพราะเราต้องเดินขึ้น เขาพีเรนีซ เพื่อข้ามไปสเปน ก่อนมาเดินแม่ไปออกกำลังที่โรงยิมทุกวันเป็นเวลาเกือบสามเดือน แต่ผมไม่แน่ใจว่าแม่มีกาลังพอจะข้ามเขาหรือเปล่า เมืองจุดหมายของวันนี้คือเมือง รอนเซสวายเยส ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในสเปน ติดชายแดนฝรั่งเศส  คนสเปนโดยส่วนมาก (และอีกหลายๆคนชาติอื่นๆ)ที่ ใช้เส้นทาง เอล คัมมิโน ฟรันเซส จะเริ่มเดินจากเมืองนี้ เพราะไม่ต้องเดินข้ามเขาพีเรนีซ ในวันแรกของการเดิน โดยเหตุผลที่ผมจะค่อยขยายทีละนิดทีละหน่อยดังต่อไปนี้
เมืองรอนเซสวายเยส ห่างออกไป ๒๕ กิโลเมตร และเป็นเส้นทางชันขิ้นเขา ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเดินทางในวันแรกอย่างยิ่ง  สองสามวันแรกเราสมควรจะเดินแค่วันละสิบถึงสิบสองกิโลเมตร โดยทางเดินปรกติไม่ต้องทางชัน หรือเดินขึ้นเขา (เช่นที่แม่และผมจะเริ่มทำ) หลังจากนั้นก็ค่อยเพิ่มระยะทางเดินขึ้นเรี่อยๆ จนในที่สุดก็เดินวันละยี่สิบกิโลเมตร เป็นวิทีเดียวที่จะสามารถช่วยให้ร่างกายค่อยปรับตัวกับการเดินหลายๆชั่วโมงต่อวัน  ตามปรกติทั่วไปเราเดินได้ประมาณ สี่กิโลเมตร ต่อ หนึ่งชั่วโมง แค่คิดผมก็เริ่มเหนี่อย ถ้าเราเดินวันละ ยี่สิบกิโลเมตร หมายความว่าเราต้องเดินวันละ ห้าชั่วโมง แต่ถ้าเราแวะกินกาแฟ หรือ โค้กแก้เหนื่อยละก้อ มันจะต้องเกินห้าชั่วโมงแน่ๆ
จากเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท ไปเมือง รอนเซสวายเยส นั้นมีสองเส้นทาง  เส้นทางแรกเป็นทางเดินบนเขาพีเรนีซโดยเดินขึ้นเขา (ข้ามเขา) และลงเขา เข้าเมืองรอนเซสวายเยส  ซึ่งมีชื่อเรียกว่า เส้นทางนโปเลียน (Route de Napoleon)   เส้นทางนี้มีคำเตือนว่าไม่สมควรเดินในวันที่อากาศไม่ดีโดยเฉพาะในฤดูหนาว หรือในวันที่อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนและมืดๆมัวๆ แม้จะอยู่ในฤดูร้อนก็ตาม ถ้าอากาศแปรปรวนมากๆ อาจถึงขนาดมองไม่เห็นทางเอาได้
ส่วนเส้นทางที่สองเป็นเส้นทางเดินตามถนนราดยางมะตอย ซึ่งเป็นถนนปรกติทั่วไปที่มีรถวิ่งตลอดทาง พร้อมรถบรรทุก เรียกกันง่ายๆ ว่าเส้นทาง วาลคาร์โลส (Valcarlos)   เมืองวาลคาร์โลส เป็นเมืองด่านเมืองแรกของสเปน คนจะใช้เส้นทางนี้ ประการที่หนึ่งนักแสวงบุญบางคนเขาไม่ชอบเดินเขา เพราะกลัวเรื่องอากาศไม่ดี และกลัวเขาชื่อเสียงร้ายกาจแบบเขาพีเรนีซ ซึ่งเป็นปรกติของเขาทั่วๆไปที่มักจะมีอากาศแปรปรวนอยู่เสมอแบบเอาเหนือเอาใต้ไม่ได้ แม้กะทั่งพยากรณ์อากาศก็เชื่อถือไม่ได้  ส่วนประการที่สองนั้นถ้าอากาศไม่ดี ฝนฟ้าคะนอง มืดมนเต็มไปด้วยเมฆและหมอก แล้วคุณเดินตามถนนไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหลงแน่ๆ แต่ห้ามเดินแบบสบายๆ เหมือนเพลงพี่เบิรด์ ธงไชย เพราะคุณจะมีโอกาศถูกรถชนตายเอาง่ายๆ ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าคุณโดนรถชนตายขึ้นมาจริงๆ ทางสมาคมเพื่อนของนักแสวงบุญของเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท เขาจะสร้างอนุสรณ์ไว้อาลัยให้ อาจจะได้ขึ้นสวรรค์โดยไม่ต้องเดินถึงเมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลาก็เป็นไปได้  ประการสุดท้ายที่ผมคิดขึ้นมาได้ในวินาทีสุดท้าย ทางนี้เป็นทางที่เดินง่าย ทางไม่ชันมากเหมือนเส้นทางนโปเลียน แล้วไม่ต้องเดินให้ถึงเมือง รอนเซสวายเยส ภายในวันเดียว คุณสามารถเดินไปถึงแค่  เมืองวาลคาร์โลส มีโรงแรมให้นอนพักเพื่อเดินต่อวันรุ่งขึ้น  และเมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างกลาง ของสองเมือง คือเมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ท และ เมือง รอนเซสวายเยส
แต่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทางใหนดีกว่ากัน ถามแม่ แม่ก็ว่า แม่จะตัดสินใจในวันที่เราเดิน เพราะจะได้คอยดูดินฟ้าอากาศในวันนั้น พอถามว่า แม่จะเดินถึงเมือง รอนเซสวายเยส ไหวหรือ ภายในวันเดียว ตั้ง ๒๖ กิโลเมตรแถม ทางชันมากๆอีกต่างหาก  แม่ทำหน้าแปลกๆ แล้วรีบพูดแบบไม่เต็มปากเต็มคำว่า  “มันก็ต้องไหวละน่า”


บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 08 ก.พ. 10, 19:20

ดูรูปกันก่อนนะค่ะ




บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 09 ก.พ. 10, 05:19

พอแปดโมงตรง เราแบกกระเป๋าสพายหลัง (ซึ่งแม่เรียกว่าเป้) พร้อมน้ำ และถั่วต่างๆเผื่อหิวกลางทาง อากาศดีมากๆ ฟ้าใส ไม่มีหมอกซักลูก ไม่หนาว ไม่ร้อนเรียกว่า เป็นอากาศในฝันเลยก็ว่าได้  แม่และผม (ซึ่งผมก็ประหลาดใจมากตอนแม่ถามความเห็นของผม)  ร่วมกันตัดสินใจว่าเราจะใช้ เส้นทางนโปเลียน  ด้วยเหตุนี้ผมจะเขียนเกี่ยวกับเส้นทางนี้เท่านั้น
พอเดินออกจากโรงแรม โดยเลี้ยวซ้ายจากโรงแรมแล้ว เดินตรงลงไปเรื่อยๆตามถนนรู เดอ ลา ซิตาเดลล์ มีลูกศรสีเหลืองชี้ทางไปตลอด
แม่ว่าต้องโง่จริงๆถึงจะหลงได้   ออกจากถนนรู เดอ ลา ซิตาเดลล์ เดินผ่าน รู เดสปานยฺ (rue d’Espagne) ต่อไปลอดประตูเมือง ลา พอร์ทเดสปานยฺ (la Porte d’Espagne)  แล้วก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ  แล้วก็จะมีถนนแคบๆราดยางมะตอย  โดยเริ่มด้วยเนินนิดๆหน่อยๆ จากนั้นก็เป็นเนิน ที่ชันมากๆ มีป้ายเขียนไว้ว่า เชอแมง เดอ ซัง ชาคส์ (Chemin de Saint Jacques)  ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งผมเรียกตามภาษาผมว่า เอล คัมมิโนเดซานติเอโกนั่นเอง
ทางเริ่มชันมากขึ้น เมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทอยู่ประมาณ ๒๐๐ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล  จุดสูงสุดของการเดินทางวันนี้อยู่ที่ ๑๔๒๙ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  ซึ่งอยู่บนด่านเขา เลโปเอแดร์ (Lepoeder) ซึ่งห่างออกไปประมาณ ๒๑ กิโลเมตร หลังจากนั้นก็จะเป็นการเดินลงเขาอย่างเดียว อีกประมาณ ๕ กิโลเมตรจนถึงเมือง รอนเซสวายเยส   ตกลงวันนี้ทั้งวันจะเป็นวันไต่เขาของเราทั้งสองอย่างแน่นอน
แม่คงจะเหนื่อยมาก ผมเห็นแม่หยุดเดินเพื่อหายใจบ่อยมาก ผมกะได้ว่าเดิน ๑๐ นาที หยุด ๑๐ นาที แดดเริ่มแรงขึ้นตามเวลา เราเดินมาถึงหมู่บ้านเล็กมากๆซึ่งมีอยู่ซัก สามครัวเรือน ชื่อว่า ออนโต้ (Honto) มีบ้านพักของนักแสวงบุญ ผมเห็นว่าแม่มีท่าทางเหนื่อยมากๆ เลยเสนอว่าเราน่าจะพักนอนที่นี่ แต่แม่ว่าเราเพิ่งเดินได้แค่ ๕ กิโลเมตร แล้วก็ยังช้าวเกินกว่าจะหยุดเดินเพราะแค่สิบโมงกว่าเอง ขอนั่งพักซัก ๑๐ นาที แล้วน่าจะเดินต่อไปได้   ผมก็ออกจะเห็นด้วยเพราะ ไม่มีอะไรให้ดูใน ออนโต้ เลย มีแต่เขา วัวก็ไม่มี




บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 09 ก.พ. 10, 12:06

        เรื่องราวการเดินทางสนุกชวนติดตาม แต่อ่านแล้วจะตาลาย ครับ

          ขออนุญาตเสนอแนะ การจัดเรียงข้อความ ทั้งการย่อหน้า เว้นบรรทัด ให้มีที่ว่างอ่านแล้วไม่ลายตา

          โดยปกติ เมื่อพิมพ์ข้อความยาวๆ จะพิมพ์ลง notepad ก่อนแล้วจึงก็อปและแปะส่งลงกระทู้
          จากนั้นจึงเปิดกระทู้ดูผลงานข้อความ ถ้าเห็นว่าข้อความติดกันตลอดอ่านแล้วจะตาลาย ก็จะคลิก แก้ไข
เพื่อจัดการเว้นวรรคและบรรทัดให้โปร่งโล่งสบายตา แล้วคลิกส่งข้อความใหม่ครับ

           การพิมพ์ลง notepad ยังมีประโยชน์ในกรณีที่บางครั้งเน็ทขัดข้อง ส่งข้อความแล้วไม่เข้ากระทู้
จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ แต่ก็อปแปะจาก notepad อันเดิมแล้วส่งข้อความอีกครั้ง ครับ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 09 ก.พ. 10, 12:57

ขอบคุณ คุณSila มากค่ะที่ช่วยแนะนำ (หวังว่าคนละคนกับSila ของ da Vinci code นะคะ) จะลองทำดูอย่างที่คุณแนะนำ ดิฉันไม่เข้าใจเรื่องการย่อหน้าและเว้นบรรทัด มีกฎแนะนำมั้ยคะ ขอบคุณไว้ล่วงหน้าค่ะ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 10 ก.พ. 10, 05:45

เราเริ่มเดินกันต่อไป ทางชันมากขึ้นเรี่อยๆ พร้อมแสงแดดเริ่มร้อนแรงมากขึ้น โชคดีที่เราหอบน้ำใส่เป้ติดไปคนละสามลิตร
แม่เดินๆหยุดๆไปตลอดทาง แต่ไม่ได้มีแม่คนเดียวเท่านั้น  เราเจอเพื่อนนักแสวงบุญอีกหลายๆคนที่เมื่อคืนเรานั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน 
เจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทักทายกันพอสมควร แล้วก็ต่างแยกย้ายกันเดินต่อไป  แม่ค่อยๆเริ่มสารภาพกับผม ว่าแม่เหนี่อยมาก
อาจจะเดินไม่ถึงจุดหมายของวันนี้คือ เมือง รอนเซสวายเยส   

แม่ท่าจะลืมว่าเราอยู่บนเขา ซึ่งไม่มีทางเลือกเท่าใดนัก เพราะ ไม่มีที่พัก แล้วเราก็ไม่มีอุปกรณ์ที่เราจะนอนกลางแจ้งบนเขาได้ 
ความที่แม่ไม่ชอบทำอะไรแบบมีแผนการณ์ล่วงหน้า  เพื่อนร่วมทาง เขาบอกแม่ว่า มีที่พักค้างคืน บนเขา
ชื่อว่า โอรีซซอง (Orisson ๐๐๓๓ ๕๕๙ ๔๙ ๑๓ ๐๓ หรือ ๐๐๓๓ ๖๘๑ ๔๙ ๗๙ ๕๖ หรือ www.refuge-orisson.com)
ห่างจาก ออนโต้ ไปประมาณ ๓ กิโลเมตร แม่คิดว่าเราอาจจะแวะพักที่นั่น เราเดินๆหยุดๆ ไปจนถึง โอรีซซอง เกือบบ่ายโมง

ห้องพักเต็มหมด เพราะมีแค่ สามห้อง ห้องละ หกเตียง  เขายังมีเต๊น หลังโรงแรม เผื่อ เวลาห้องเขาเต็ม แต่เราคงโชคร้ายจริง แม้เต๊นก็ไม่เหลือ 
เจ้าของเขาคงเห็นว่าท่าทางแม่คงจะไปต่อไม่ไหว เขาบอกกับเราอย่างใจดีว่า เขามีที่พักอีกแห่ง แต่อยู่ตีนเขา
ถัดไปจาก เมืองซังชองปิเอด์เดอพอร์ทประมาณ ๔ กิโลเมตร ชื่อ ว่า เมือง ซังชองเลอ์วิเออซ์ (St Jean le Vieux)
เป็นบ้านพักที่เพิ่งเปิด ค่าเช่าคืนละ ๓๐ ยูโร ต่อคน รวมอาหารเช้าและเย็น

ถ้าเราตกลง เขาจะขับรถไปส่ง แล้วไปรับพรุ่งนี้เช้า แล้วเอามาส่งที่เดิม คือที่ โอรีซซอง
เพื่อเราจะได้เริ่มเดินจากที่เราเดินถึงวันนี้ แม่ตกลงทันที เพราะไม่มีทางเลือก
เรานั่งกินโค้ก ได้ประเดี๋ยวเดียว ก็มีรถ มารับ พาเราไปส่ง เมือง ซังชองเลอ์วิเออซ์
เข้าพักบ้านพักที่ ชื่อ ยาวมาก ว่า จีท ดู คามป์ โรแมง เดอ ซังชองเลอ์วิเออซ์ (Gite du Camp Romain de St Jean le Vieux)

นั่งรถประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึง ที่พัก  แม่ถูกใจมาก เขาทำได้น่ารักจริงๆ มีสนาม กว้าง ติด น้ำ เป็นลำธาร เล็ก ดูสงบมากๆ
เรา เป็นแขกคู่แรก ที่พักเต็มหมด เหมือน โอรีซซอง  เราคุยกับเจ้าของ ได้ ซักพักก็มี ลูกหมามาเล่นด้วย เป็นที่ถูกใจผมเป็นอันมาก

เรานั่งเล่นกับหมา พร้อมกิน แซนด์วิช ซึ่งหอบมาจากโอรีซซอง  แล้วพาหมาไปเดินเล่น ใกล้ๆ ที่พัก พอเรากลับเข้ามาอีกที
แขกที่เหลือก็มาครบหมด ร่วมทั้งเราก็เป็น แปด คน  ความที่แม่ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาพักที่ๆ ไม่ไช้โรงแรม
เราเลยไม่ได้เตรียม ผ้าขนหนู ใส่เป้มาด้วย โชคดีที่เขามีให้ยืม ผืน ละ สาม ยูโร  เพื่อความประหยัด (จริงๆแล้ว งก) แม่ยืมผืนเดียว
 
แม่ว่า ระหว่าง เรา สองคนแม่ลูก ไม่มีใคร เป็นโรคผิวหนัง ไม่มีโรคติดต่อ เพราะฉะนั้นไช้ด้วยกันได้
ประมาณ หนึ่งทุ่ม เรานั่งรวมโต๊ะ กินอาหารเย็น พร้อมกันทั้งแปดคน คุยกันไปคุยกันมา
ถึงรู้ว่า ทุกคนเป็นนักแสวงบุญ เป็นแคธอลิค มีผมและแม่เท่านั้น ที่แตกต่างจากคนอื่น

อาหารก็แบบกินได้ ถ้าหิว 

บนโต๊ะ เราเจอผู้หญิงเดินคนเดียว ชื่อ ฮันนี่ 
ฮันนี่  เริ่มออกเดินทาง จากบ้านตัวเองคือประเทศฮอลแลนด์ เมื่อ สิบอาทิตย์ที่แล้ว
โดยเริ่มที่ บ้านตัวเอง ที่อยู่ ตอนใต้ของประเทศ  ทุกคนบนโต๊ะ ตกตะลึงไปตามๆกัน ใครจะนึกไปถึงว่ามีคนที่บ้ากว่าเราในโลกนี้






บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 10 ก.พ. 10, 09:55

          สนุก แบบมีลุ้นไปกับคุณแม่ และอ่านสบายไม่ลายตาแล้ว ครับ

            
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 10 ก.พ. 10, 12:31

ขอบคุณมากที่แนะนำ ดิฉันก็หายตาลายเหมือนกัน
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 11 ก.พ. 10, 05:13

เราตื่นมากินข้าวเช้าตอน เจ็ดโมง อากาศ ดูเปียกๆ มืดมัวสลัวตา ไม่แจ่มใสเหมือนเมื่อวาน
แม่เองก็ไม่แน่ใจว่าสมควร กลับไปที่ โอรีซซอง เพื่อเดินต่อจากเมื่อวาน หรือให้เขาพาไปส่งเส้นทางวาลคาร์โลส
แม่กลัวหาทางไม่เจอ แล้วไปหลงกันสองคนอยู่บนเขา แต่ความกลัวรถชนมีมากกว่า

แม่และผมเลยตัดสินใจ ที่จะเดินเส้นทางเดิม ไปเดินต่อที่โอรีซซอง
แล้วก็ขอในใจให้ ซานติอาโก ช่วยปัดเป่าฝนให้หยุด ให้พระอาทิตย์กลับมาใหม่

เจ็ดโมงครึ่ง มีรถมารับเพื่อพาเราไปส่ง โอรีซซอง คนขับพาเราขับผ่านทางที่เราเดินเมื่อวาน
ทางมันชันจริงๆ เขาใช้เกียร์ต่ำขับขึ้น เราเห็นนักแสวงบุญเดินตลอดทาง
น่ามหัศจรรย์ ตรงที่ว่าวันนี้ เราใช้เวลาแค่ ครึ่งชั่วโมง   

ที่โอรีซซอง เราแวะซื้อน้ำ คนละ สามลิตร พร้อมแซนด์วิชขนาดยักษ์อีกคนละอัน
แค่นี้เราก็พร้อมจะออกเดินทาง  ฝนยังตกอยู่อย่างสม่าเสมอ เราใส่เสื้อกันฝนและสวมหมวก

เราเริ่มเดินตากฝน ตอนประมาณ แปดโมงกว่า
เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ อากาศ ไม่ดีขึ้นแต่กับแย่ลง เพราะลมแรง
เดินทางราดยางมะตอยไปอีกพักใหญ่ๆ ก็จะเป็นเส้นทางขึ้นเขาจริง

โดยเฉพาะวันนี้ ทั้งเปียกทั้งลื่น ผมขอบคุณแม่เป็นการใหญ่ที่บังคับให้ผมหอบหิ้วไม้เท้าตามมาด้วย
เราใช้ไม้เท้าเดินตลอด วันนี้เราไม่ค่อยดื่มน้ำมากนัก เพราะอากาศออกจะเย็น ฝนตกๆหยุดๆพร้อมลม 
ซานติอาโก ท่าจะไม่ได้ยิน คำร้องของเราเป็นแน่

เราเดิน งำ ทางต่อไปเรื่อยๆ ที่ผมว่า งำ เพราะ เราไม่ค่อยเห็นป้าย หรือลูกศรนำสีเหลืองที่ชินตา
นานๆ จะเห็นหินที่มีคนวางเรียงไว้เป็นลูกศร  หรือบางทีก็เห็น เป็นหินว่างซ้อนๆ เอาไว้บอกทาง 
รวมทั้งไม้กางเขน หมอกและฝน ทำให้ เราเริ่มทุลักทุเลขึ้นเรื่อยๆ 
ป้ายที่เราเห็น บอกว่า อีกกี่กิโลเมตร เราจะถึง เมืองจุดหมายปลายทางของเรา คือเมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลา






บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 11 ก.พ. 10, 10:02

           
อ้างถึง
เราแวะซื้อน้ำ คนละ สามลิตร

           สงสัยว่าเดินแบกขนกันไปเอง หรือมี ใคร-เครื่องทุ่นแรงช่วย

             อยากเห็นรูปนักแสวงบุญพร้อมสัมภาระเครื่องประกอบครบชุด ครับ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 11 ก.พ. 10, 13:07

           
อ้างถึง
เราแวะซื้อน้ำ คนละ สามลิตร

           สงสัยว่าเดินแบกขนกันไปเอง หรือมี ใคร-เครื่องทุ่นแรงช่วย

             อยากเห็นรูปนักแสวงบุญพร้อมสัมภาระเครื่องประกอบครบชุด ครับ

มีให้เลือกหลายทางค่ะ ครั้งแรกที่ดิฉันไปเดินเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว
มีคนรับจ้างขับรถพาเป้ไปรอ ในที่ ที่เราจะไปนอนพัก

แล้วมีแค่บางจุด ไม่ได้มีทุกที่  ดิฉันเป็นคนคํ่าไหน นอนนั่นเลย
ต้องแบกเป้เอง ไม่มีเครื่องทุ่นแรง นอกจากหลังของตัวเอง
เหมือนเพื่อนร่วมทาง หลายๆ คน

แต่ครั้งล่าสุดที่ไปเดินมานั้น มีคนรับจ้างเรื่องเป้ ทุกเมืองที่เดินผ่าน 
แล้วปัจจุบัน เขามีทัวร์จัดการให้ทั้งหมด จองโรงแรมให้ เป็นธุระ เรื่องกระเป๋า

คุณมีหน้าที่แค่เดิน เท่านั้น แต่ดิฉันว่า ดูสบายเกินไป แล้วต้องบังคับตัวเองให้
เดินให้ ถึงที่ ที่จะต้องไปพัก  เลยทำให้จิตใจ ไม่ผ่อนคลาย เพียงพอ
ที่จะชื่นชม วิว ทิวทัศน์ หรือคิดถึงชีวิตโดยทั่วๆไป

เวลาเดินมันมีเหตุให้เกิดขึ้นได้มาก ที่ทำให้เดินไม่ถึงที่หมาย
โดยเฉพาะ เท้าแพลง หรือ ง่ายๆ ว่าเหนื่อย จนเดิน ต่อไปไม่ไหว

ส่งรูปเพื่อนร่วมทาง มาให้ดูด้วยนะค่ะ ขออนุญาติ เจ้าของภาพเรียบร้อยคะ



บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 11 ก.พ. 10, 16:19

ชอบกระทู้นี้มากครับ

สำหรับผม ขอแค่ได้มีโอกาสไปร่วมแสดงความยินดีกับนักแสวงบุญที่ปลายทางก็พอใจแล้วครับ

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 11 ก.พ. 10, 17:19

ขอบคุณ คุณCrazyHOrseที่ให้กำลังใจ  เขียนสักวาสนุกจังคะ
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 12 ก.พ. 10, 05:01

เราเห็นป้ายเตือน ว่าอย่าเดินออกนอกเส้นทาง เขียนไว้ตั้ง ห้าภาษา
แต่ไม่ยักมีภาษาญี่ปุ่น หรือภาษา เกาหลี เพราะมีนักแสวงบุญ สอง สัญชาตินี้เยอะมาก

อากาศแย่มากๆ เพราะเรามองไม่เห็นทาง หมอกหนาขึ้นมากกว่าเดิม
เราเห็นเพื่อนร่วมเดินทางหลายๆ คน
ทำให้โล่งใจขึ้นมาว่าเราจะไม่หลงทาง ถ้าตามเขาไปดีๆ
โดยลืมคิดไปว่า คนอื่นๆเขาอ่านคิดให้เรานำทางเขาก็ได้

หลังจากเดินไปได้ ชั่วโมงกว่าๆ เกือบ สองชั่วโมง ทางเดินไม่ชันมากเท่าชั่วแรก 
ฝนหยุดตก เหลือแต่หมอกกับลม  แม่เลยตัดสินใจนั่งพัก
กินแซนด์วิชยักษ์ที่หอบมาจาก โอรีซซอง 

อาหารเช้าส่วนมากจะเป็น ขนมปังปิ้ง ทาเนยกับแยม และกาแฟ
มักไม่ค่อยอยู่ท้องเท่าไหร่ นี่ก็เกือบ สิบเอ็ดโมงแล้ว
แซนด์วิชที่เรางัดออกมา มันทั้งนิ่มและเปียกเหมือน อากาศ
แต่ไม่มีทางเลือก  เวลาหิว แซนด์วิชเปียกๆก็อร่อยได้

เรานั่งพักได้ซัก ยี่สิบนาที ฝนเริ่มตกอีกที  เราเดินตากฝนต่อไป
เดินแบบสบายๆท่ามกลางหมอกและฝน แม่ว่า เราต้องถือว่าโชคดี

เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน ไม่เปลืองน้ำดื่ม เดินแบบตัวไม่เหม็น
เพราะเหงื่อไม่ออกแม้แต่นิด แค่เปียกฝนแต่นั่นก็คือน้ำเท่านั้น

แม่พูดถึงความโชคดีต่อไปถึงขนานนึกถึง ลูกเห็บ 
ถ้าแค่เปลี่ยนจากฝน เป็นลูกเห็บ 
แม่ว่าแม่ไม่อย่างจะนึก หัวเราอาจแตกเอาง่าย  แล้วถ้านึกถึงมากๆ มันอาจมาจริงๆ

ถึงกระนั้นโชคดี โชคร้าย มันไม่เข้าใครออกใคร เราเดินกันอยู่ดีๆ 
รองเท้าบูทหุ้มข้อเท้าสุดรักสุดสวาดคู่ใจของแม่ พัง คือ
ส้นรองเท้าข้างซ้ายหลุดออกมาทั้งอัน ดีที่ว่ามีส้นอีกอันเหลือ
สามารถเดินต่อไปได้ แต่ต้องค่อยๆเดิน เพื่อถนอมส้นรองเท้าที่เหลือ 





บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 13 ก.พ. 10, 05:00

แม่เดิน มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายหิ้ว ส้นรองเท้า
แม่ว่า จะได้ให้เขาซ่อมเมื่อเราถึงเมืองรอนเซสวายเยส   

ผมว่าเราจัดเป้แบบมีครบทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่เราก็ไม่ได้คิดที่จะหอบกาว ขึ้นมาด้วย
ใครจะนึกไปถึง ว่ารองเท้าแม่จะพังแบบไม่แย้มให้รู้ล่วงหน้าซักนิด

เราเข้าสู่ด่านเขา เบนตาร์เตอา (Bentartea)
ด่านนี้สูงประมาณ ๑๔๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล   

ผ่านด้านนี้ไป ก็เป็นประเทศสเปน ผมอยากถ่ายรูป
แบบขาซ้ายอยู่ฝรั่งเศส ขาขวาอยู่สเปน แต่ไม่ยักมีป้ายบอก

เราเดินเข้า สเปนแบบไม่รู้ตัว จนเดินไปเจอป้ายบอกแคว้นนาวาร์รา
ของสเปน เราถึงได้รู้ว่า เราอยู่ในสเปนแล้ว
 
น้ำเริ่มซึมเข้าเท้าแม่ เปียกไปถึงถุงเท้า แต่เราก็ต้องเดินต่อไป
แม่ว่าถ้าจะนั่งร้องไห้ก็ได้ แต่ในที่สุดก็ต้องเดินอยู่ดี แม่เลยเริ่มเดินแบบเร็วมาก
 
จะได้ถึงซักที อีกชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงจุดสูงสุดของเส้นทางในวันนี้คือ
ด่านเขา เลโปเอแดร์ ซึ่งที่ผมบอกไว้แต่ต้นว่าสูงถึง ๑๔๒๙ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล   
ที่ด่านเขา เลโปเอแดร์ ก็มีเรื่องให้เราต้องตัดสินใจอีก
ซึ่งจะเป็นแบบนี้ไปตลอดจนถึง

เมืองซานติอาโกเดคอมโพสเตลา เขามีป้ายให้เราดู
แต่หลากหลายลูกศร แม่เลือกไม่ถูก
 
แม่เลยต้องงัดหนังสือคู่มือออกมาอ่าน ท่ามกลางสายฝน
เขาว่า ถ้าไม่อยากเดินลงเขาแบบเหมือนเหวมากๆ
ซึ่งอาจจะมีบางตอนที่ต้องนั่งไถก้นแทนเดิน (อันนี้แม่ว่าเอง จากประสบการณ์)
ก็ให้เดินตามถนนราดยางมะตอย อ้อมนิดหน่อย
ต้องเดินเพิ่มอีกประมาณ สองหรือสามกิโลเมตรเป็นอย่างมาก
แต่เดินแบบสบาย ไม่ต้องดิ้นรนมาก 

ส่วนอีกทางเป็นทางเดินแบบเขา เป็นหินและดิน
จากดินก็เป็นโคลนเวลาฝนตก
มีโอกาศ ข้อเท้าแพลงได้เป็นอย่างมาก แต่ทางจะสั้นกว่า
เรียกง่ายๆ ว่าทางลัด ว่างั้นเถอะ
เขามีป้าย ประกาศ ความทารุณของเส้นทางไว้ด้วย
แต่แม่ไม่ยักเชื่อ กลับเลือกเส้นทางทารุณ





บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.049 วินาที กับ 19 คำสั่ง