เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9
  พิมพ์  
อ่าน: 34743 เอล คัมมิโนเดซานติเอโก (El Camino de Santiago) มีคนสนใจอ่านมั้ย
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 17 เม.ย. 10, 05:45

แม้เดินช้าขนาดไหนเราก็มาถึงวิลยาฟรังก้า โมนเตส เด โอก้าก่อนบ่ายจนได้ 
ทั้งเมืองมีที่พักอยู่สี่แห่ง เป็นบ้านพักนักแสวงบุญอยู่หนึ่งแห่ง นอกนั้นเป็นโรงแรม

เราเดินดูทั้งหมด แล้วตกลงใจที่ ลา อัลป้าร์กาเตเลีย
(La Apargatería โทร ๐๐๓๔ ๙๔๗ ๕๘ ๒๐ ๒๙)   

เหตุผลง่ายๆ ที่เลือก ลาอัลป้าร์กาเตเลีย   เพราะราคาถูก   
แล้วมีห้องน้ำอยู่ในห้องนอน   เขามีครัว   มีเครื่องซักผ้าให้ใช้   

เจ้าของเป็นสาวสเปนที่น่ารักมาก  (รูปที่หนึ่ง  ทางเดินมีลูกศรบอก)
หลังจากทำภาระต่างๆ เสร็จ เราไปเดินชมเมือง

เป็นเมืองที่มีถนนระหว่างเมืองตัดผ่ากลางเมือง เลยดูไม่ค่อยเป็นเมืองเท่าไหร่ 
มีแต่รถบรรทุกขับผ่านเมือง เสียงดังยังกับฟ้าผ่า   

เราเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ จนเจอโบสถ์ประจำเมือง เงียบสงบ
ไม่เห็นชาวบ้าน ชาวเมืองซักคน (รูปที่สอง)

เดินกลับไปนั่งเล่น รับแดดหน้าโรงแรมซึ่งเขามีม้านั่งว่างไว้ให้
น่าเสียดายที่เสียงดังจากรถบรรทุกบั่นทอน ความสงบของเราไปเยอะ 

นั่งได้ไม่นาน อัลบ้ากับอัลฟองโซ่ก็เดินมาถึง 
เราไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้านึกว่าจะเจอกันอีกทีที่บัวร์โกส

แม่เลยเชิญทั้งคู่พักด้วยกันที่ลา อัลป้าร์กาเตเลีย
(ที่แม่มารู้ที่หลังว่าแปลว่าร้านขายรองเท้าแตะ) 

เขาตกลงเพราะท่าทางเหนื่อยมากทั้งคู่
เรานั่งรอทั้งสองอาบน้ำ  แล้วออกไปกินข้าวกลางวัน

เราเดินหาร้าน ร้านแรกเต็มหมด  ท่าทางจะไม่มีใครลุกง่ายๆ 
มีคนแนะนำไปอีกร้าน  ท่าทางไม่น่าจะอร่อย เพราะไม่มีคนซักคน

นอกจากเรา  พนักงานรีบเข้ามารายงานว่า วันนี้มีปาเอลย่า (Paella) 
อย่างเดียว   แม่ซึ่งอยากกินข้าวมาก รีบตกลงทันที อร่อยไม่อร่อยค่อยว่ากันทีหลัง




บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 18 เม.ย. 10, 06:11

ปาเอลย่าเป็นอาหารเชิดหน้าชูตาชาติอีกอย่างหนึ่งของสเปน   
(ที่คนต่างชาติหลายๆคนชอบเรียกว่า ปาเอลล่า
แต่เราคนไทยฉลาดกว่าเรียกแล้วกลัวผิด เลยเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เรียกกันว่าข้าวผัดสเปน)   

เป็นอาหารที่ทำได้ตามใจฉันเหมือนไข่เจียวสเปน   แต่ที่เด่นๆที่มีขายในภัตตาคาร   
มีอยู่สองชนิด   ปาเอลย่า วาเลนซีอาน่า (Paella Valenciana)
และ ปาเอลย่า เด มารีสโก้   (Paella de marisco)

ปาเอลย่า วาเลนซีอาน่า จะใส่ผัก และเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ กระต่าย
หรืออย่างอื่นที่มีอยู่ในครัว บางทีก็มีใส้กรอก โชริโซ่ใส่มาด้วย 

ส่วนปาเอลย่า เดมารีสโก้  นั้นใส่แต่อาหารทะเล ตามชื่อบอกไว้ 
(มารีสโก้แปลว่าอาหารทะเล) 

ครอบครัวคาทาลาน ผมกินกันแต่ปาเอลย่าอาหารทะเล เลยทำให้แม่ผมก็กินแต่แบบนี้ 
นอกเหนือจากนี้เขาก็มี แตกแยกสาขาไปเป็น ปาเอลย่าแบบไว้ทุกข์

หรือเรียกกันง่ายๆตรงตัวว่าข้าวดำ (Arroz negro ในภาษาสเปน
หรือ Arròs negre ในภาษาคาทาลาน)

ที่ข้าวมันดำเพราะใช้ปลาหมึก ซึ่งเป็นตัวประกอบสำคัญของปาเอลย่าแบบไว้ทุกข์
พอๆกับข้าวเลยทีเดียว   แล้วก็มีปาเอลย่าแบบยาจก   

มีปาเอลย่าไม่ใส่ข้าวแต่ใส่เส้น   แล้วก็อีกหลายๆอย่างที่ผมเห็นจะต้องเก็บไปอธิบายในวันหน้า
เพราะวันนี้ผมออกจะเหวง ("เหวง" จึงกลายเป็นศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นอยู่ในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ของใครหลายคนใน
โลกไซเบอร์ หมายถึง "พูดจาไม่รู้เรื่อง พูดจาวกไปวนมา หรือพูดจาออกนอกเรื่องออกทะเล"
จาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1269930073&grpid=01&catid=)
มากไปแล้ว

เราสั่งไวน์ เฟาส์ติโน่ หรือเรียกเต็มยศว่า เฟาส์ติโน่ ที่หนึ่ง กรานเรเซร์ว่า (Faustino I Gran Reserva)
ของรีโอค่า มากินกับปาเอลย่า วาเลนซีอาน่า ที่เขามีวันนี้ แม่ว่า ไวน์ไม่อร่อยนัก แต่ก็กินได้ 
 
อัลฟองโซ่บอกว่า เราอาจสั่งไม่ถูก เพราะ ยี่ห้อนี้มีหลายเบอร์   มีเฟาส์ติโน่ที่ไม่มีเบอร์
และ เบอร์ห้า กับเบอร์เจ็ด   เราต้องค่อยลองชิมไปเรื่อยๆ

พอกินเสร็จก็ตามเคย ต้องไปนอนพักพุง แล้วนัดเจอกันตอนเย็นๆอีกที 
เรานัดเจอกันเพื่อไปหาซื้ออาหารเย็นมากินด้วยกันที่โรงแรมที่พักเพราะเขามีครัวให้ด้วย

แถมอัลบ้าคุยให้เราฟังบ่อยๆ ถึงความเก่งด้านทำอาหารของอัลฟองโซ่
ขากลับโรงแรมเราเดินผ่านหน้าโบสถ์ประจำเมือง
เห็นคุณป้าหลายๆคนเล่นเกมส์ที่แม้คนสเปนอย่างอัลบ้าและอัลฟองโซ่ก็ไม่เคยเห็น 

แม่เข้าไปถาม ป้าๆก็บอกว่าไม่มีเวลาอธิบายต้องรีบเล่นให้เสร็จ 
แค่อัลฟองโซ่แอบไปจับลูกโยนลองดูน้ำหนัก

ป้าใจดำกว่าอีกาทั้งหลายก็ตะโกนด่าว่าซะดังลั่น จนบัดนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันคือเกมส์อะไร 
ดูเหมือนเล่นโบว์ลิ่ง แต่ไม่ใช่  เพราะมีวิธีการโยนทั้งสองฝั่ง
ผัดกันโยน สลับกันไป (รูปที่หนึ่งและสอง)

องค์ประกอบการเล่นเป็นไม้ทั้งหมด ท่าจะเล่นกันมานานแล้ว
ถ้าเป็นเกมส์ที่คิดกันขึ้นมาใหม่น่าจะทำด้วยพลาสติกทั้งหมด 

เห็นท่าโยนลูก และคำบอกของอัลฟองโซ่ (ที่แอบจับ) น่าจะหนักพอสมควร 
เรายืนดู พร้อมขโมยถ่ายรูปคุณป้าอีกาทั้งหลายก่อนเดินกลับที่พัก

โดยความอยากรู้มาก แต่ก็ไม่รู้  ท่านผู้อ่านดูภาพเอาเองนะครับ 
เกมส์นี้แม่และผมจนปัญญาจริงๆ

กลับมาถึงที่พักทั้งแม่และอัลบ้านั่งคุยกันอย่างเมามัน
ส่วนอัลฟองโซ่มีผมเป็นลูกมือในครัว ไม่ทำอะไรมากมาย

แค่สลัดผักรวม  แต่มีไวน์อยู่สองขวด ซึ่งผมก็จำชื่อไม่ได้แล้ว
แม่ว่าน่าจะจำไว้จะได้ไม่ซื้ออีก ถึงกระนั้นผมก็ไม่เห็นเหลือซักหยด 
วันนี้เรานอนเร็ว ยังไม่ห้าทุ่มเลย เงียบสงบทั้งโรงแรม



บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 19 เม.ย. 10, 05:06

เรานัดกินข้าวเช้ากับคุณสองอัล (อัลบ้าและอัลฟองโซ่) ตอนหกโมงเช้า 
จะได้เริ่มเดินตอนหกโมงครึ่ง  วันนี้เราจะเดินแค่สิบแปดกิโลเมตร

แต่ต้องออกแต่เช้า เพราะมีเขาเยอะ ถ้าออกสายจะร้อนมาก   
ช่วงปีนเขาจะอยู่เจ็ดกิโลเมตรแรกที่เราเดิน

ถ้ารีบเดินซะตอนเช้าจะได้หนีแดด ข้ามเขาหมดตอนแปดโมงกว่า 
เก้าโมง สิบโมงก็น่าจะถึงเมือง ซานฮวน เดโอร์เตก้า (San Juan de Ortega)

พอเราลงมาข้างล่าง อัลฟองโซ่ก็เตรียมข้าวเช้าไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว   
มิน่าอัลบ้าเธอถึงรักของเธอมาก นอกเหนือไปจากขนมปัง กาแฟ และน้ำส้ม

ยังมีไข่ต้มสามนาทีให้เราอีกคนละฟอง ผมก็ออกจะชอบอัลฟองโซ่มาก
เพราะบ้ากีฬาเหมือนกัน ไม่ใช่แค่นั่งดูอย่างเดียวเหมือนคนทั้วๆไป แต่เล่นด้วย   

ส่วนแม่นั้นนิยมทั้งคู่มาก บอกว่านิสัยดี ไม่เห็นแก่ตัว   
ไม่จุกจิกกวนใจคนขี้รำคาญอย่างแม่   เจอก็เดินด้วย
ไม่เจอเมืองนี้ก็ไปเจอกันเมืองหน้า   
ที่สำคัญที่สุดเขาไม่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเรา

พอออกเดินจาก วิลยาฟรังก้า โมนเตส เด โอก้า
(Villafranca Montes de Oca)   ทางก็เริ่มเป็นเนินเลยทันที   

เมื่อวานว่าเนินแล้ว วันนี้มากกว่า เมืองวิลยาฟรังก้า โมนเตส เด โอก้า
อยู่ สูงกว่าระดับน้ำทะเล เก้าร้อยห้าสิบเมตรจุดสูงสุดของวันนี้

เรียกว่า ลา เพ-ดราค่า (La Pedraja) สูงประมาณหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร
จริงๆแล้วแตกต่างแค่ สองร้อยเมตร ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม มันเหมือนสูงนัก   

เดินกันลิ้นห้อยกว่าจะถึง ลา เพ-ดราค่า   ระหว่างเดินผมสังเกตว่ามีกังหันลมเยอะมาก
พอเริ่มเดินเห็นดูเล็กๆ   ขึ้นเนินไปเรื่อยๆ มันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 

เราใกล้มากเหมือนกับจะจับได้ ทำให้นึกถึงนิทาน
(ผมเรียกว่านิทานเพราะแม่อ่านฉบับสำหรับเด็ก

พอโตถึงรู้ว่าเป็นหนังสือหนึ่งในหลายๆเล่มที่สมควรอ่าน
แต่ก็ไม่อ่านดอกครับเพราะอ่านไม่รู้เรื่อง)

ก่อนนอนตอนผมเด็กๆ ที่แม่ชอบอ่านให้ฟัง (แต่ย่าเล่าปากเปล่า)
เรื่อง ดอน กีโฮเต้ (Don Quixote) ของนักเขียนชื่อดังของสเปน

มิเกล เด แซร์วานเต้ส (Miguel de Cervantes)   
โดยเฉพาะตอนที่ดอนกีโฮเต้ สู้กับกังหันลม 
 
ถ้ามาเห็นกังหันลมที่เรากำลังมองกันอยู่ ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด   
กังหันลมสมัยนี้ไม่เหมือนสมัย ดอน กีโฮเต้ ผมดูใกล้ๆแล้ว ใหญ่อย่างกับเรือบิน

เราเดินผ่านเขามาถึงลา เพ-ดราค่า เขาไม่มีเขียนบอก
แต่เราเดาเอาว่าถึงแน่ๆ เพราะจากนั้นก็เห็นแต่ทางลง 

มีต้นสนเต็มสองข้างทาง หลังจากดูทุ่งข้าวสาลีแห้งๆ มาเจอต้นสนเขียวๆ
ดูชวนให้มีความสุข  ยิ่งได้เดินทางตรงๆ ไม่เหนื่อยมาก

ทำให้เรามีเวลาสูดอากาศ  อัลฟองโซ่บอกว่าสูดดีๆ จะได้กลิ่นต้นสน
แม่ว่าหลับตาเดินอาจคิดว่ากำลังเดินเล่นช่วงคริสต์มาสในออสเตรเลีย
เพราะร้อนมาก จะดัดจริตคิดว่าเป็นคริสต์มาสในยุโรปเห็นจะยาก

รูปที่หนึ่ง  เส้นทางขึ้นๆลงๆ (ขึ้นมากกว่าลง) ของวันนี้
รูปที่สองและสาม  กังหันลม





บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 20 เม.ย. 10, 05:13

ก่อนสิบโมงเราก็เดินมาถึงซานฮวน เดโอร์เตก้า ทั้งเมือง
มีโบสถ์ แล้วร้านกาแฟ แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดของวัน

คือโบสถ์เปิดรอเราเข้าชม โดยไม่ต้องเสียเงินค่าเข้า
แถมเป็นโบสถ์ (ในสายตาแม่และผม) ที่สวยมากไม่มีทองให้ดูตาลายเหมือนหลายๆโบสถ์ที่เห็นมา

โบสถ์ซานฮวน เดโอร์เตก้าเชื่อกันว่า นักบุญฮวนของโอร์เตก้า
(หรือนักบุญจอห์นในภาษาอังกฤษ) เป็นคนสร้างขึ้นมาเอง
เอาใว้ช่วยเหลือนักแสวงบุญระหว่างเดินทางไปซานติอาโก้   

มีศพของนักบุญฮวนใว้ให้เคารพบูชา  แต่สิ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่ว
ที่คนต้องผ่านแวะมาดู คือเสาในโบสถ์นี้  เรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 

เขาเรียกกันว่าเสาป่าวประกาศ (ผมเรียกเองเพราะไม่รู้จะให้เรียกว่าอะไร) 
บนเสามีการแกะสลักเป็นเรื่องๆ เรื่องแรก

เป็นเรื่องของนักบุญกาเบรียลประกาศให้พระนางแมรี่รู้ว่าจะเป็นแม่คน
(ทั้งๆที่เป็นสาวพรรมจารี) มีลูกเป็นพระเยซู 

เรื่องที่สองเป็นเรื่องที่พระนางแมรี่ไปเยี่ยมญาติ คือนักบุญอิซาเบล
จะเห็นทั้งสองกอดกัน และเห็นมือนักบุญอิซาเบลยื่นไปลูบท้องของพระนางแมรี่ 

ข้างหลังจะเห็นคนรับใช้ (สมัยนั้นคงคือทาส)  ตรงกลางเสาจะเห็นพระนางแมรี่ในท่านอน โดยมี
หมอตำแยสองคนคอยช่วยเหลือ เห็นพระเยซูนอนในอู่ 

มีนักบุญโฮเซ่ (หรือโจเซฟ) นั่งหลับ มีนางฟ้ามาเข้าฝันอธิบายถึงการกำเนิดของพระเยซู
เรื่องสุดท้ายจบลงที่การป่าวประกาศของนางฟ้าถึงการกำเนิดของพระเยซูให้บรรดาบาทหลวงฟัง

ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือสองวันต่อปี คือวันที่  ๒๑ มีนาคม (วสันตวิษุวัต vernal equinox)
ตอนหกโมงเย็น และวันที่ ๒๒ กันยายน ตอนหนึ่งทุ่ม (ศารทวิษุวัต autumnal equinox)

จะเห็นแสงแดดเริ่มส่องตรงรูปแกะสลัก ตอนที่นักบุญกาเบรียลประกาศ
ให้พระนางแมรี่รู้ว่าจะเป็นแม่คน และแสงแดดจบลงตอนกำเนิดของพระเยซู             
ข้อมูลนี้แม่ได้มาจาก http://www.sanjuandeortega.es/Monasterio/La%20Iglesia.htm

ซึ่งแม่แอบอ่านก่อนจะไปถึงโบสถ์  (จะได้เอาไว้อวดฉลาดกับลูก) พอไปถึงก็มีสิ่งประหลาดกว่าเสา
คือป้ายประกาศของโบสถ์ เขาบอกว่าแสงแดดมหัศจรรย์ไม่ได้มีแค่สองวันต่อปี

แต่มีหลายๆวัน ก่อนและหลัง วันวิษุวัต (equinox) เริ่มตอนห้าโมงเย็นห้านาที
ซึ่งทางโบสถ์เจอะจงวัน ว่าเป็นวันที่ ๒๐ มีนาคม และ ๒๒ กันยายน

แต่ไม่ระบุว่ากี่วันก่อนและหลังของสองวันนี้   ที่น่าสนใจมากๆ
ทางโบสถ์บอกไว้ด้วยว่า ค้นพบแสงแดดมหัศจรรย์ในปี คศ ๑๙๗๔

น่าเสียดายที่ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนค้นพบ ถ้าเป็นนางฟ้ามาบอกคนเมืองนี้ 
โดยใช้วิธีมาเข้าฝัน แม่ว่าน่าจะสนุกกว่านี้

แม่อธิบายได้แค่เรื่องเดียว คือวันวสันตวิษุวัตและวันศารทวิษุวัต
เพราะสองวันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละปี บางปีก็วันที่ ๒๑ มีนาคม

แต่ส่วนมากจะตรงกับวันที่ ๒๐ มีนาคม  ส่วนวันศารทวิษุวัตนั้น
ผัดวันกันสองปีหน ระหว่างวันที่ ๒๒ และ ๒๓ กันยายน นอกนั้นเราไม่รู้อะไรเลย

ส่วนเรื่องแสงแดดนั้นเราก็ไม่เคยเห็นของจริง วันนี้ไม่ได้ตรงกับวันใดๆ ที่กล่าวถึง 
ผมเลยไปหามาให้ดู จับต้องไม่ได้เหมือนของจริง แต่ก็ดูได้  นี่ครับ



 


รูปที่หนึ่ง  ทางเดินล้อมด้วยต้นสน
รูปที่สอง  โบสถ์ซานฮวน เดโอร์เตก้า
รูปที่สาม  ร่างไร้วิญญาณของซานฮวน เดโอร์เตก้า
รูปที่สี่     ป้ายประกาศในโบสถ์





บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 20 เม.ย. 10, 14:40

        เดินทางผ่านเมืองเก่าๆ มีเรื่องเล่า ประวัติตำนาน บรรยากาศก็ออกจะวังเวง
ไม่ทราบว่า ตอนกลางคืน "ผม" เคยเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบ้างไหม 
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 20 เม.ย. 10, 15:55

        เดินทางผ่านเมืองเก่าๆ มีเรื่องเล่า ประวัติตำนาน บรรยากาศก็ออกจะวังเวง
ไม่ทราบว่า ตอนกลางคืน "ผม" เคยเจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติบ้างไหม 

อย่าถามค่ะอย่าถาม เพราะเป็นคนกลัวผีมาก โดยเฉพาะตอนกลับเมืองไทย เพราะถือว่ากลับบ้าน
แล้ว พูดกันรู้เรื่อง นอนที่ไหนต้องเปิดไฟสว่างตลอด  เที่ยวที่อื่น พอถึงโรงแรมก็มีการสวดมนต์
แผ่เมตราก่อน ฝากเนื้อฝากตัว โชคดีที่บาปหนาเลยยังไม่เคยเจอ

ส่วน "ผม" ตัวจริงอาจเจอแต่ไม่รู้เรื่อง ตอนเด็กๆชอบเล่นคนเดียว หัวเราะคนเดียว ถามว่า
หัวเราะอะไร ก็ (ยังพูดไม่ได้) ชี้ให้ดู หันดูตามก็ไม่เห็นอะไร ตั้งแต่นั้นก็เลยเลิกถาม
แต่กรวดนํ้าแผ่เมตราให้ ถือว่ามาช่วยเลี้ยงลูก (คล้ายนิยายใหม่ของ "แก้วเก้า" เลย)

เคยนึกว่าความกลัวผีจะหายไปเมื่อแก่ เปล่าเลย ยังกลัวมาก
บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 21 เม.ย. 10, 05:20

ถึงกระนั้นเราไปยืนแหงนคอมองเสาจนคอเคล็ดด้วยความตื่นเต้น
ที่จะได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่แม่อ่านมา  แต่ขอโทษที ดูไม่รู้เรื่อง แม่ว่ามืดไปหน่อย

เลยดูไม่ออกว่า ใครเป็นใคร อัลฟองหาไฟฉายมาให้ แต่ส่องไม่ถึงเพราะสูงเกินไป
เลยไม่ดงไม่ดูแล้ว ไปหากาแฟกินดีกว่า

ออกจากโบสถ์ก็เจอร้านกาแฟ ร้านเดียวของเมือง คนเยอะมากเหมือนปรกติทุกๆวัน
เหมือนกับนัดกันล่วงหน้าว่าต้องมากินกาแฟกันวันนี้ ที่นี่ แม่ยกหน้าที่ให้อัลฟองโซ่ไปสั่ง

เพราะจับได้ว่าเป็นคนช่างกินเหมือนกัน เขาสั่งแซนวิชเนยแข็ง ไข่เจียวฝรั่งเศส แล้วก็แฮมสเปน
ดีที่สั่งแค่สามอัน แซนวิชร้านนี้อันเท่าขนมปังหนึ่งอัน ความยาวเทียบได้

จากนิ้วกลางแล้วเลยศอกไปอีกซักหนึ่งมือ  เราบ่นพร้อมๆกันถึงความยิ่งใหญ่ของแซนวิช
แต่ก็หมดเกลี้ยง พร้อมกาแฟสี่ถ้วย และโค้กอีกสี่กระป๋อง

เราออกจาก ซานฮวน เดโอร์เตก้า ตอนสิบเอ็ดโมงกว่า เพราะเดินอีกแค่
เจ็ดกิโลเมตรก็ถึง เลยไม่ต้องรีบร้อนมาก 

ออกมาจากซานฮวน เดโอร์เตก้าไม่นานก็เห็น อาเคซ (Agés) อยู่ลิบๆ   
พอเดินไปถึงเขามีม้านั่งร่มรื่นใจกลางเมืองให้แวะนั่งเล่น   

มีป้ายบอกให้รู้ว่าเดินอีกแค่ ๕๑๘ กิโลเมตรก็ถึง ซานติอาโก้
ผมเห็นแล้วออกจะเหนื่อย พอบอกแม่ แม่ก็ว่าให้ลองคิดซิ

ว่าเราเดินมาตั้งกว่าสองร้อยกิโลเมตร แข้งขาก็ยังอยู่ครบ ไม่บุบสลาย   
ห้าร้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา อีกแค่ยี่สิบกว่าวันเอง ผมฟังแม่พูดเหมือนฟังนิทานเลยเลิกฟัง

เราถึงเมือง อาตาปัวร์ก้า (Atapuerca) ตอนบ่ายโมงกว่า
เราได้ห้องพักที่ ลาคาซ่า เดล เพเรกรีโน่ (La Casa del Peregrino โทร ๐๐๓๔ ๖๖๑ ๕๘ ๐๘ ๘๒)   

เป็นบ้านพักนักแสวงบุญของเอกชน มีห้องแบบนอนห้องละแปดคน หกคน สี่คน และสองคน   
แล้วแต่จะกำลังเงินและความชอบ   เราอยู่ห้องคู่มีห้องน้ำให้ในห้องนอน   

ห้องเล็กๆ แต่ก็อยู่ได้สบายๆ   มีครัวให้ คล้ายๆ บ้านพักนักแสวงบุญของรัฐบาล
แพงกว่า   แต่ก็สะดวกสบายมากกว่า   แม่ว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้แต่ก็ให้ความสะดวกสบาย
อย่างในกรณีนี้เป็นต้น

รูปที่หนึ่ง  เมืองอาเคซมองไกลๆ
รูปที่สอง  ใจกลางเมืองอาเคซ
รูปที่สาม  บ้านในฝัน





บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 21 เม.ย. 10, 06:33

แฮมเสปนนี่ดีอย่างไรคะ   รมด้วยไม้หอมรึ  หรือรมแล้วมันหอมเอง 

หรือดิฉันอ่านตกไป

เลี้ยงด้วยนัทรึ   ปล่อยให้วิ่งในคอก(ที่คงไม่กว้างนัก)รึอย่างไร

แช่น้ำเกลือไว้แล้วเอาไปแแขวนตากลมเย็นหรือ




ตามอ่านมาด้วยจิตใจหวาดหวั่น  คนอะไร  เดินกันเป็นวัน ๆ

ถ้าเกิดเร็วกว่านี้จะเสนอชื่อให้เดินตามท่านผู้นำ

มีเพลงโบราณว่าไว้ว่า

                ท่านผู้นำไปทางไหน            ฉันจะตามไปด้วย
                ค้ำชู ชูช่วย  ท่านผู้นำชาติไทย
               
ท่านคงเดินไม่ค่อยไหวเนอะ


เรื่องกินแซนวิชอันโตนั้น  พอจะชื่นใจบ้าง
(เราเรียก เรือดำน้ำ ใส่ไข่ต้มแข็ง  ไก่  แฮม เนื้อเย็น  ผักกาดหอม  มะเขือเทศ)

บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 21 เม.ย. 10, 08:49

ถ้าจะเขียนถึงแฮมสเปน ต้องเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ เพราะเป็นอาหารที่เรื่องเยอะมาก
แม้จะกินก็ยังเรื่องมาก คนสเปนเขาภูมิใจของเขามาก

ดิฉันแบ่งให้ง่ายๆ เท่าที่คนสมองเล็กแต่กะเพาะโตจะจำได้

ฮามอน อิแบริโก้ Jamon iberico ทำมาจากหมูที่มีตีนดำ ผสมพันธ์อื่นได้ แต่
เขามีกำหนดด้วยว่าต้องก๊่เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเรียกใช้ชื่นี้ได้

ใน ฮามอน อิแบริโก้ ก็แบ่งแยกออกมาอีกว่า หมูที่เลี้ยงนั้นกินอะไร เป็นอาหาร
มีความสุขแค่ไหน ก่อนที่จะถูกฆ่าตายมาเป็นอาหาร

ที่ดีๆ มาเป็นฮามอนอร่อยๆ ต้องเดินเล่นสบายๆ บนพื้นที่กว้างขวาง บนเขา
ที่เต็มไปด้วยต้นโอ๊ก แล้วกินลูกเอคอร์น (acorn ผลไม้ของต้นโอ๊ก) เป็นอาหาร

ที่อร่อยน้อยลงมา ก็เป็นหมูที่โตมาในครอก ไม่รู้เล็กใหญ่แค่ไหน ไม่เคยไปดู
แล้วเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด

ส่วนอีกอันเรียกกันว่า ฮามอน แซร์ราโน่ Jamon serrano ทำมาจากหมูตีนขาว

ราคาฮามอนนั้นขึ้นอยู่กับ หมูพันธ์ใด กินอะไร เลี้ยงที่ไหน ส่วนไหนของหมู
และวิธีทำแฮม

เขาเล่าว่าเอาหมูสดมาโปะด้วยเกลือประมาณสองอาทิตย์ ล้างออก แล้วตากแห้งอีก
หนึ่งเดือน หรือสามปี

ที่แพงสุดๆ เห็นจะเป็น jamon iberico de bellota

คนเขียนชอบยี่ห้อ Joselito นานๆ กินทีเพราะกินแล้วไม่กล้าไปขี้ เสียดายเงิน
ต้องเก็บไว้ในตัวให้คุ้ม

ที่ บาร์เซโลน่า เขามีขนมปังประจำแคว้น คาทาลุนย่า ปาน โคน โตมาเต้ pan con tomate
เอา ฮามอน วางข้างบน เป็นแซนวิชแบบเปิดหน้าเปิดตา ตามด้วยไวน์แดงซักขวด กินแล้ว
หัวใจวายตายเพราะสุขเกินไปก็ยอม

รูปจาก http://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Pan_con_Tumaca.jpg
รูปจาก http://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Jamones_pata_negra_2.jpg



บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 22 เม.ย. 10, 05:10

มีร้านอาหารอยู่ตรงข้าม ตั้งชื่อตามความดังของเมืองว่า
โฮโมแซเปี๊ยน หรือ โคโมแซเปี๊ยน (Homoserpiens หรือ Comoserpiens)
ผมออกจะเลือนๆไปบ้าง   

เมืองอาตาปัวร์ก้าดังเพราะ ภายในภูเขาใกล้ๆเมืองมีการขุดพบเจอกระดูกหลายพันชิ้นเก่าแก่
ว่ากันว่ามากกว่าสามแสนปี   รอบๆเมืองเลยเป็นแหล่งขุดโบราณคดี มีหลายหลุมหลายบ่อ
ขุดกันมาหลายสิบปีแล้ว   

แม่ว่าน่าไปดูแต่ก็เปลี่ยนใจเพราะต้องเหมารถพร้อมไกด์ให้พาไป นอกจากแพงมาก
รู้สึกว่าลำบากเกินไป ต้องเดินกลางแดดดูกระดูก ผมเลยคิดว่าเราต้องขับรถมาดูเองงวดหน้า
เป็นทัศนศึกษาแยกต่างหากจากงวดนี้

ร้านโฮโมแซเปี๊ยน หรือ โคโมแซเปี๊ยน มีอาหารเหลือแค่สลัดเป็นอาหารจานแรก
ตามด้วยไก่ย่าง มันฝรั่งทอด พร้อมด้วยไวน์ประจำร้านไม่มียี่ห้อ  จิบแล้วก็กินได้

เราไม่ได้นั่งประดิดประดอยกินข้าวนานนัก เพราะต่างคนต่างง่วงนอนมาก
แยกย้ายกันไปนอนพักพุง  แล้วนัดเจอกันเย็นๆ

แม่ปล่อยผมนอนคนเดียว เพราะนอนไม่หลับ ดีที่เขามีไวไฟ ให้ใช้
เลยไปแอบอ่านข้อมูลไว้มาอวดฉลาดกับลูกชายสุดที่รักของแม่ 

พรุ่งนี้เราจะถึงเมืองใหญ่ บัวร์โกส (Burgos) ซึ่งน่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจที่แม่ไม่รู้   
นั่งเล่นๆ ก็มีคนมาคุยด้วย เป็นหนุ่มน้อยมาจากโรม  ที่น่าแปลกใจมากๆ อันเดรอา (Andrea)

พูดภาษาอื่นๆ ไม่ได้เลยนอกจากภาษาอิตาเลี่ยน   แม่ว่าเด็กรุ่นนี้
(อันเดรอา น่าจะมีอายุประมาณ ๒๒-๒๓ ปี) น่าจะพูดภาษาอังกฤษได้อย่างน้อย

แม่ใช้ภาษาอิตาเลี่ยนผสมลาติน (ที่เคยเรียนมาเมื่อห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว) พูดกับอันเดรอา
เห็นหัวเราะกันสนุกสนาน ท่าจะเข้าใจกันดี อันเดรอากำลังเรียนสถาปัตยกรรมอยู่ที่โรม

พ่อมีร้านอาหารออกจากโรมไปซัก หกสิบกิโลเมตร คุยกันเรื่องกิน
แม่เลยให้เขาทำข้าวเย็นให้เรากิน อันเดรอาก็ตกลงจะโชว์ฝีมือทำสปาเก็ตตี้ให้เรากินคืนนี้ ทำซ้อสแบบตามมีตามเกิด

นั่งไปซักคุยกันไปซักครู่ ก็มีหนุ่มน้อยมานั่งด้วยอีกคน นิโก้ (Nico) มาจากปารีส
คนนี้พูดภาษาสเปน   คนอื่นเห็นเรานั่งคุยกันออกรสชาติเลยมานั่งด้วย

มีแม่และลูกชาย จากเมืองโลโกรโย่ (Logroño) ชื่ออันนาและโฮร์เข้ (Ana และ  Jorge) 
จากนั้นก็มีอัลบ้า อัลฟองโซ่ พร้อมผมมานั่งร่วม

ทุกคนขอเข้าร่วมวงชิมสปาเก็ตตี้  หลังจากลงขันกันคนละนิดละหน่อย
แม่ก็จูงมืออันเดรอาไปหาซื้อเครื่องปรุงทั้งหลายแหล่ 

เราได้สปาเก็ตตี้ แห้งมากิโลครึ่ง กระเทียมสด ใส้กรอกโชริโซ่
มะเขือเทศสด ผักสลัด และไวน์แดง

เราแบ่งแยกหน้าที่กันเรียบร้อย อันเดรอา อัลฟองโซ่ และแม่อยู่ในครัว แต่ไม่ต้องตกใจครับ
แม่แค่ทำหน้าที่ล้างอุปกรณ์เท่านั้น  อันเดรอาทำสปาเก็ตตี้  อัลฟองโซ่ทำสลัด 
ที่เหลือจัดโต๊ะและเตรียมล้างจานตอนเรากินกันเสร็จแล้ว
 
เรานั่งกินกันที่สนามในบริเวณบ้านพัก เอาโต๊ะมาต่อกันนั่งร่วมวงได้แปดคนพอดี
นักแสวงบุญชาติอื่นโดยเฉพาะคนเยอรมัน นั่งมองตาขวางอยู่เพราะเขารอหม้อที่เรายังถ่ายของไม่เสร็จ

แม่ซึ่งนอกจากไม่นิยมคนเยอรมัน ยังชอบแกล้งคนเป็นที่หนึ่ง  เลยทำช้ามาก
แล้วออกจะชอบใจที่หม้อต้มสปาเก็ตตี้  มีเส้นสปาเก็ตตี้ ติดเต็มตูดหม้อ
ท่าจะต้องขัดอีกนานกว่าจะออก 

แม่ว่าแกล้งใครก็ไม่สนุกเท่ากับแกล้งคนเยอรมัน เพราะเห็นผลทันใจ 
แต่แม่ก็ไม่ลืมหันมาบอกผมว่า ไม่สมควรทำแบบที่แม่ทำ เรียกว่า

แม่ทำได้แต่ลูกไม่สมควรทำ เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัยชอบแกล้งคนเยอรมันเหมือนแม่ 
แก่แค่ไหนก็แก้ไม่หาย

กินเสร็จเราไปเดินเล่นด้วยกันทั้งกลุ่ม หนุ่มน้อยทั้งสามมีปัญหากับขาทั้งสามคน
เดินกะโผลกกะเผลกทั้งสามหนุ่ม ถามได้ความว่า

แต่ละหนุ่มมีความมั่นใจในความแข็งแรงของตัวเองมากเลยเดินกันวันละ
สี่สิบถึงห้าสิบกิโลเมตรต่อวัน เดินมาได้ห้าวัน พรุ่งนี้เห็นจะต้องขึ้นรถเมล์ไปบัวร์โกสแทนเดิน 
แค่สี่ทุ่มกว่า หัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ย

รูปที่หนึ่ง  ป้ายประกาศเมือง
รูปที่สอง  เพื่อนกิน จากซ้าย อันนา โฮร์เข้ อันเดรอา อัลฟองโซ่ นิโก้ และอัลบ้า





บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 23 เม.ย. 10, 04:45

เรานัดเจออัลบ้ากับอัลฟองโซ่ตอนเจ็ดโมงเช้าที่ร้านขายของชำเมื่อคืน 
เขาเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า  จากร้านขายของชำเมื่อคืนกลายมา

เป็นร้านกาแฟในตอนเช้า ไว้รับลูกค้า  มีขนมเขาควายเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ หอมชวนกิน
เรากินอาหารสูตรเดิมคือ น้ำส้มคนละแก้ว กาแฟ แล้วก็ขนมเขาควาย
แค่นี้ก็พร้อมออกเดินทาง (เพื่อไปหากินมื้อต่อไปข้างหน้า) ก่อนเจ็ดโมงครึ่งเราก็เริ่มเดิน

วันนี้เรามีจุดหมายที่จะเดินให้ถึงเมืองบัวร์โกส (Burgos) ซึ่งต้องเดินประมาณ
ยี่สิบสามกิโลเมตร หกชั่วโมงถ้าไม่แวะชมวิวเลย แต่ผมรู้แน่ๆว่า

แม่ต้องแวะกินกาแฟหลายๆรอบ เลยกะให้ได้ว่าเราจะถึงบัวร์โกส
ประมาณ สามโมงเย็น ได้เวลากินข้าวกลางวันพอดี

ออกจากอาตาปัวร์ก้า เราก็เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ 
จนไปเจอไม้กางเขนที่มีคนเอาหินไปวางไว้รอบๆ 

เราเข้าใจเอาเองว่าจุดนี้ต้องเป็นจุดสูงสุดของวันแน่ๆ 
นอกจากจะเหนื่อยหอบ เรายังเห็นไม้กางเขนอีก 

แม่รีบบอกให้อัลบ้าและอัลฟองโซ่เข้าไปยืน
จะได้ถ่ายรูปให้ ก่อนนักแสวงบุญอื่นๆจะมาแย่งที่ยืน

 

โชคดีที่เราเดินมาถึงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 
ยังยืนอยู่ใกล้ๆ ไม้กางเขน เราก็ได้ยินเสียงอัลบ้า

ร้องเรียกให้พวกเราดูชื่อตัวเอง ครับ อัลบ้าแปลว่ารุ่งอรุณ 
สวยสมใจ แม่ว่าสวยจนอธิบายไม่ถูก  แต่ของดีมีนิดเดียว

ยังไม่ทันไร พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาเต็มดวง
ผมว่าวันนี้ท่าจะร้อนมากเหมือนทุกๆวัน 
เลยสะกิดแม่ให้รีบเดินต่อ เพราะยังเหลืออีกหลายกิโลเมตรกว่าจะถึง

ทางเดินออกจากสนุก ไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยอย่างเดียว
เพราะมีการเดินขึ้นเขา ลงเขาตลอด 

มีคนเอาหินมาเรียงเป็นลูกศรบอกทาง 
วางเป็นสัญลักษณ์แตกต่างกันไปหลายๆแบบ
ดูรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง  แต่ก็น่าดู 

ที่น่าดูที่สุดของวันนี้เห็นจะเป็นหินที่เป็นวงๆ
เหมือนวงเวียนที่ไม่มีจุดจบ เป็นหินก้อนเล็ก
ก้อนใหญ่วางเรียงกันไปรอบๆ 

ไม่มีบอกว่าใครมาเรียงไว้ แม่ว่าน่าจะมีคนเริ่ม
แล้วคนที่เดินผ่านก็เอาหินที่หาได้ มาวางต่อไปเรื่อยๆ
หลายวัน หลายคน เลยใหญ่ขนาดที่เราเห็น 

พูดจบแม่ก็ไปหยิบหินมาวางต่อ  ตามด้วยคุณรุ่งอรุณ
ส่วนผมกับอัลฟองโซ่หาหินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้
ช่วยกันแบกมาวางต่อ 

วงเวียนหินเลยดูใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย
หวังว่าครั้งหน้าถ้าได้มีโอกาศเดินผ่านทางนี้อีกหน
วงเวียนนี้จะใหญ่มากขึ้นไปอีก

เราเดินกันอย่างมีความสุข จนถึงเมืองคาร์เดยวยล่า-รีโอปิโก้ 
(Cardeñuela-Riopico)   

จากถนนที่ผ่านเขา ผ่านไร่ ผ่านนา กลายเป็นถนนราดยางมะตอย
เหมือนถนนข้ามเมืองที่มีรถวิ่งผ่านไปมา   

เราต้องเดินอย่างระมัดระวังตัวมากขึ้น ไม่งั้นอาจจะตายก่อนได้กิน
เลชาโซ่ อาซาโด้ (lechazo asado) ร้านอร่อยที่เมืองบัวร์โกศ

 


รูปที่หนึ่ง   ไม้กางเขนบนเขา อัลบ้ากับอัลฟองโซ่
รูปที่สอง    รุ่งอรุณ
รูปที่สาม    หินงามบอกทาง
รูปที่สี่        วงเวียนหิน





บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 24 เม.ย. 10, 05:06

พอถึงเมือง โอบาเนค่า (Obaneja)  เราแวะนั่งพัก กินน้ำกินท่า   
เป็นร้านกาแฟที่มีแมลงวันเยอะมาก   

ผมบ่นแม่ก็ว่า  เพราะเราอยู่ใกล้ธรรมชาติ  คุณป้าเจ้าของร้านเพิ่ง
จะทำไข่เจียวสเปนเสร็จ เพิ่งยกออกมาวาง ยังไม่ทันตัดเป็นชิ้น

กลิ่นหอมยวนตายวนใจมาก จนเราอดไม่ไหวต้องสั่งมาชิม 
อร่อยมากจนป้าต้องขอตัว ไปทำมาขายอีกอัน
เพราะห่วงนักแสวงบุญที่เดินตามเรามา ว่าจะไม่ได้กิน

เรานั่งคุยกับคุณป้า ถามเรื่องเส้นทางเข้าเมืองบัวร์โกส
เพราะเขามีให้เลือกสองทาง 

คุณป้าว่า ทางที่ตรงที่สุดคือทางราดยางมะตอย
แต่ต้องเดินข้างถนน ที่มีรถเยอะมาก ทั้งรถยนต์และรถบรรทุก

เป็นทางเข้าเมืองของรถโดยทั่วไป เดินผ่านสนามบินของบัวร์โกส
แล้วก็เขตอุตสาหกรรมต่างๆของเมือง เส้นนี้ประมาณ สิบสองกิโลเมตร (สามชั่วโมง)

ส่วนอีกทางนั้นเดินตัดทุ่งไปเข้าเมืองคาสตายาเรส (Castañares) 
จากนั้นก็เป็นทางราดยางมะตอยเข้าเมือง ซึ่งทางนี้จะมีเพิ่มอีกห้ากิโลเมตร
รวมแล้วสิบเจ็ดกิโลเมตร เดินเพิ่มอีกชั่วโมงหน่อยๆก็น่าจะถึงบัวร์โกส

อัลบ้ากับอัลฟองโซ่ว่าจะเดินเส้นยางมะตอย เพราะอยากถึงเร็วๆ
เพื่อไปจองที่นอนที่บ้านพักนักแสวงบุญ ถ้าถึงช้าอาจจะไม่มีที่พัก

เพราะเกือบทุกคนอยากพักที่บัวร์โกส  ส่วนเรายอมเดินยาว
แต่ขอเดินแบบสบายๆไม่มีควันรถและเสียงรบกวนประสาท

เราบอกลาคุณป้าร้านกาแฟ  เดินมาด้วยกันจนถึงทางแยก
เราจึงอำลากับคุณสองอัล  เราแยกไปทางซ้าย ส่วนเขาเดินตรง

แต่เรานัดแนะเจอกันที่บัวร์โกส ตอนเย็นๆหลังจากนอนพักพุงเรียบร้อยแล้ว
เจอกันตรงหน้าโบสถ์ประจำเมือง

ทางเดินที่เราเลือกเหมือนที่คุณป้าร้านกาแฟบอกให้ฟัง เราเดินผ่าทุ่ง
ไม่ได้สวยมากมาย แต่ไม่มีรถผ่าน เราเดินเฉียดสนามบินเหมือนกัน
หนวกหูบ้างเล็กน้อย

เราเดินคุยกันหนุงหนิงตามภาษาแม่ลูก ไปจนถึงเมืองคาสตายาเรส 
เราไม่แวะเพราะไข่เจียวสเปนยังดูเหมือนติดอยู่ที่คอหอย แม้เดินมากว่าชั่วโมงแล้ว

เราเดินต่อ แล้วรู้ทันทีว่ากำลังเดินเข้าเมืองใหญ่ 
รถมากมายขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินก็เปลี่ยนไปตามความเจริญของบ้านเมือง 

เราเดินตัวลีบมาได้ซักพัก แม่ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนวิธีเดินทางอีกหน 
แม่บอกว่าเราสมควรใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในวันนี้

โดยโทรเรียกแท็กซี่มารับเราเข้าเมือง  แต่เราไม่มีเบอร์ 
เป็นครั้งแรกที่เรางัดเอา นังโฟน (วิธีเรียก Iphone ของเรา) มาใช้

แกล้งทำลืมไปซักนิดว่าค่าสามจีต่ออินเทอร์เนตในสเปนแพงมาก   
แม่ว่า ช่างมัน ถ้าโดนรถชนระหว่างทาง มันต้องแพงกว่าแน่ๆ   

ได้เบอร์อย่างรวดเร็ว โทรปุบติดปับ เรายืนรอไม่ถึงสิบนาทีก็มีราชรถมาเกย   
คนขับแนะนำโรงแรมพร้อมจองให้เราอย่างเรียบร้อย

โรงแรมที่เราพักชื่อว่า เมซอน เดล ซิด (Mesón del Cid โทร ๐๐๓๔ ๙๔๗ ๒๐ ๘๗ ๑๕)   
อยู่ติดโบสถ์ประจำเมือง   ห้องก็ตกแต่งอย่างน่ารัก ส่งผ้าซักได้ด้วย 

แพงกว่าที่เราอยากจ่าย แต่แม่ว่า ช่างมัน (อีกที)   
วันนี้เราเห็นจะไม่ต้องกินข้าวกลางวันเพราะไข่เจียวยังอยู่ในท้อง

เอาเงินมื้อกลางวันมาโปะเป็นค่าโรงแรมแล้วกัน  ตอนนี้ขึ้นไปนอนพักให้สบายใจ
รอมื้อเย็น  ซึ่งแม่จะไปกินเลชาโซ่ อาซาโด้ ของร้านอร่อย
โดยคิดว่าจะชวนเชิญอัลบ้ากับอัลฟองโซ่ไปกินด้วย พร้อมสารภาพบาปว่าเราไม่ได้เดินตลอดรอดฝั่ง


รูป  ทางเดินก่อนเข้าบัวร์โกส


บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 25 เม.ย. 10, 06:47

หลังจากนั่งเล่น นอนเล่นในห้องพักใหญ่ๆ ซักหกโมงเย็นเราก็ออกมาเดินเล่นในเมือง 
แม่ว่าเราสมควรไปดูโบสถ์ก่อน  พอไปถึงหน้าโบสถ์จริงๆ ก็ไม่ได้เข้าไปดู

แม่หมั่นไส้เพราะเขาเก็บค่าเข้า ลดราคาให้นิดหน่อยเพราะเป็นนักแสวงบุญ
ไม่ได้แพงมากมาย แต่แม่ว่าเก็บเงินเอาไปให้วัดในเมืองไทยดีกว่า  ไม่ดูก็ได้ (โว้ย)

เราเดินเล่นรอบๆเมือง เดินไปเดินมาก็ไปเจออันเดรอา พ่อครัวสปาเก็ตตี้ของเรา
นั่งคุยกัน พร้อมแลกเปลี่ยน Facebook   เหมือนคนสมัยใหม่   

อันเดรอาบอกแม่ว่า เสียดายที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ กลับโรมครั้งนี้จะไปเริ่มเรียนทันที         
อันเดรอาบอกว่ามีคู่หมั้นชื่อ ลูเชีย (Lucia)   ผมรีบถามว่าแล้วลูเชียคนนี้มาจากลัมเมอร์มอร์หรือเปล่า

อันเดรอาทำหน้างงๆ ผมเลยแหย่ไม่มัน ปล่อยให้เขาเล่าต่อไปว่า
ลูเชียที่ไม่ได้มาจากลัมเมอร์มอร์ เก่งภาษาอังกฤษมาก เวลาไปไหนด้วยกัน

ลูเชียจะเป็นคนจัดการทั้งหมด อันเดรอาเลยไม่ห็นประโยชน์ที่จะเรียนภาษาอังกฤษ   
แต่มาเดินทางคนเดียวแบบนี้เลยเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษขึ้นมามาก   

เราแยกจากอันเดรอา แล้วนัดเจอกันอีกทีตอนกินข้าว แม่ชวนเขาไปกิน
เลชาโซ่ อาซาโด้ด้วยกันคืนนี้

เราเดินไปถึงพลาซ่า มายอร์ของเมือง เขาทาสีบ้านสวยสดใส
ยิ่งมีแสงแดดส่อง ดูน่ารัก เป็นจัตุรัสกว้าง สมเป็นเมืองหลวงของแคว้น

เรานั่งกินกาแฟดูคนผ่านไปมา แล้วเราก็เจอคนที่ไม่อยากเจอมากๆ 
นั่งกันอยู่ดีๆ แซวี่ก็เข้ามาทัก เราก็ทักไปตามเรื่อง ตามราว

ไม่ต้องเชิญนั่ง เธอก็นั่งสั่งกาแฟกับเค้กมากินกับเรา  ถามทุกข์สุขกันอย่างเซ็งๆ
(โดยเฉพาะแม่)  ได้ซักพักแม่ก็ขอตัว เรียกคนมาเก็บเงิน

แซวี่ก็ยังเหมือนเดิม คือนั่งเฉย ไม่ควักกระเป๋า แม่ซึ่งแสดงตัวเป็นนางร้ายมาแล้วหนึ่งหน
หนที่สองเลยง่ายหน่อย แม่จ่ายแต่ที่เรากิน แล้วหันไปบอกแซวี่ว่า
ที่เหลือเป็นของเธอ แล้วก็ลุกเดินออกมา  บทแม่จะเค็มขึ้นมาละก้อ เกลือก็ไม่ได้ครึ่ง

เราเดินกลับไปหน้าโบสถ์ ไอ้ที่ที่ต้องเสียเงินเราไม่เข้า แต่เขามีให้เขาได้ฟรีอีกฝั่ง
เป็นฝั่งที่คนทั่วไปเข้าไปฟังสวด ไปรับสิญจน์  เราเดินไปดูฆ่าเวลา 

เราเดินไปเจออันเดรอาในโบสถ์กับสาวสวยมาก แม่จำหน้าได้เพราะเรา “บวน คัมมิโน้”
กันหลายหน แต่ไม่เคยพูดกันซักที เป็นสาวสวยมาจากโปแลนด์ 

มิน่าอันเดรอาอยากจะเรียนภาษาอังกฤษ จะเอาไว้จีบสาวนี่เอง
พอเห็นเราก็รีบเดินเข้ามาหา

ให้แม่ช่วยแปลบอกสาวว่าพรุ่งนี้จะขึ้นรถเมล์ไปเมืองเลออน (León)
แล้วไปเริ่มเดินจากที่นั้นเพราะมีเวลาเหลือแค่อีกสิบวัน แล้วอยากให้สาวตามไปด้วย   

แม่ออกจะเห็นใจลูเชีย แต่ก็ต้องทำหน้าที่นักแปล บอกไปตามที่อันเดรอาบอก
แล้วแม่ก็ดีใจเป็นอันมากที่สาวปฏิเสธ

ดูโบสถ์เสร็จก็ได้เวลานัดเจออัลบ้ากับอัลฟองโซ่
เราเลยทิ้งอันเดรอาใว้กับสาวสวยรวยเสน่ห์ แล้วนัดเจอกินข้าวกันอีกทีตอนสองทุ่มครึ่ง

รูปที่หนึ่ง   โบสถ์ประจำเมือง
รูปที่สอง    หนึ่งมุมมองของพลาซ่ามายอร์
รูปที่สาม    ถนนสายงามของเมือง (Paseo de Espolón)





บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 26 เม.ย. 10, 05:10

ออกมาเจออัลบ้ากับอัลฟองโซ่ตรงตามเวลา เราไปนั่งจิบคาว่า (Cava)
เรียกน้ำย่อยที่หน้าโบสถ์   คาว่าคือแชมเปน (Champagne) ของสเปน 

ยี่ห้อดังๆ เป็นที่รู้จักกันกว้างขว้างก็มี โคโดร์นีอู   (Codorníu) และ
เฟรเชเนต (Freixenet)   แล้วก็มีอีกหลายยี่ห้อจดจำไม่หวาดไม่ไหว   

มีลูกมะกอกกับถั่วมากินเสริมเติมรส   แม่ว่าให้กินน้ำเปล่าก็อร่อย
ถ้าได้นั่งกิน นั่งคุยกับคนที่ถูกใจ   นั่งคุยกันเพลินจนได้เวลากินข้าว   

อันเดรอาก็ผ่านมาตรงเวลาพอดี   แม่พาเดินไปกินข้าวที่ร้านของโรงแรมที่เราพัก   
แอบถามหลายๆคน ตั้งแต่คนขับแท็กซี่ไปจนถึงคนขายเสื้อผ้า ทุกคนแนะนำร้าน เมซอน เดล ซิด

ร้านเขาจัดได้น่ารัก มีหม้อไห่โบราณวางไว้เป็นของประดับ พนักงานเสริพก็ใส่ชุดพื้นเมือง 
มื้อนี้แม่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเพื่อนๆร่วมทาง  ทุกคนเลยยกหน้าที่ให้แม่เป็นคนสั่งอาหาร
ซึ่งผมรู้ว่าเป็นที่ถูกใจของแม่มาก อาหารจานแรกที่สั่งมีดังนี้

-   โมร์ซีย่า เด บัวร์โกส (Morcilla de Burgos) ไส้กรอกสีดำ
มีส่วนผสมคือเลือดหมู หอม เนย พริกและข้าว  โมร์ซีย่ามีหลากหลายชนิด

ที่เรารู้จักทั่วๆไปจะไม่ใส่ข้าว แต่ทุกๆโมร์ซีย่าจะมีเลือดหมูกับหอมเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้
(คล้ายๆ Black pudding ของอังกฤษ) เขาทอดสุกกรอบมาให้ 

ปรกติแม่ไม่ค่อยชอบโมร์ซีย่ามากนัก แต่ชอบโมร์ซีย่า เด บัวร์โกสเพราะคล้ายไส้กรอกข้าวของไทย
ที่แม่เคยกินตอนเด็กๆ แต่เดี๋ยวนี้หากินไม่ค่อยได้ ได้กินโมร์ซีย่า เด บัวร์โกสแก้ขัด เพราะมีกลิ่นหอมๆ เผ็ดๆ คล้ายกันมาก

-   เอนซาลาด้า เด เมซอน(Ensalada de Mesón) สลัดผักธรรมดา
ที่มีผักสลัด มะเขือเทศ ลูกมะกอก ไข่ต้ม และข้าวโพด

-   โชริโซ่ เดล อาร์ลันโซน อา ลา บราซ่า(Chorizo del Arlanzón a la brasa)
ไส้กรอกหมูออกรสเผ็ดย่าง  แต่ไม่ใช่โชริโซ่ทั่วๆไปนะครับ แต่มาจาก เมือง อาร์ลันโซน
อัลฟองโซ่บอกว่าเป็นเมืองเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากบัวร์โกส แต่เราไม่มีข้อมูลว่าเมืองนี้มีชื่อด้าน ไส้กรอกโชริโซ่

-   เซตาส อา ลา พลานช่า โคน อาเซอิเต้ เด อาโฮ้ (Setas a la plancha con aceite de ajo) เห็ดป่าผัดน้ำมันกับกระเทียม

ส่วนอาหารจานที่สองเราสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้าน
-   โคร์เดโร่ เลชาล เด บัวร์โกส อาซาโด้ อัล โอร์โน่(Cordero lechal de Burgos asado al horno)
ร้านเขาเรียกชื่อดูน่ากิน แต่มันก็คือกินเลชาโซ่ อาซาโด้นั้นแหละ

ส่วนไวน์นั้นเราสั่งไวนืของแคว้นนี้
-   โพรโตส กราน เรแซว่า(Protos Gran Reserva)

อาหารอร่อยสมใจ เรากินกันแบบจุกขอหอย ไวน์หมดไปสามขวด
เราคงกินกันเยอะมากจนเจ้าของร้านกลัวเราจะจุกตาย รีบเอาเหล้าย่อยอาหาร

โอรุโค่ (Orujo) มาว่างให้โต๊ะเราทั้งขวด   เรานั่งเอ้อระเหยรอยลมได้ไม่นานเพราะ
อัลบ้า อัลพองโซ่ และอันเดรอาต้องรีบกลับบ้านพักนักแสวงบุญเพราะเขาปิดตอนห้าทุ่ม

ส่วนแม่และผมกินมากเกินไป จนต้องไปเดินเล่นรอบเมืองย่อยอาหาร ก่อนกลับไปนอน เที่ยงคืนถึงได้นอน


รูปที่หนึ่ง     โรงแรม เมซอน เดล ซิด และร้านอาหารชื่อเดียวกัน
รูปที่สอง     รายการอาหาร
รูปที่สาม      โมร์ซีย่า เด บัวร์โกส (ได้มาจาก http://es.wikipedia.org/wiki/Archivo:Morcilla_de_Burgos_-_2009.jpg )
รูปที่สี่          รูปปั้นนักแสวงบุญ






บันทึกการเข้า
tian
ชมพูพาน
***
ตอบ: 138



ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 27 เม.ย. 10, 04:16

วันนี้เราไม่ได้นัดแนะกับใคร อัลบ้ากับอัลฟองโซ่จะออกตอนตีห้า
เพราะจะเดินสามสิบกิโลเมตร ให้ถึงเมือง โอนตาน่าส (Hontanas)

ส่วนเรานั้นเดินไม่ไหว คิดว่าแค่สิบเก้ากิโลเมตรก็พอ
มากกว่าอาจตายก่อนถึง เพราะแถวนี้มีชื่อเรื่องร้อน

ทางเดินเป็นที่ราบสูง ไม่มีต้นไม้ต้นไร่ให้เรานั่งเล่นข้างทาง
ทางเดินก็เป็นหินเป็นกรวดซะส่วนใหญ่

ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตื่นเช้า กะกันว่าจะเริ่มตอนเจ็ดโมงเช้า
ไปหากินข้าวเช้าก่อนออกนอกเมือง เพราะเมืองถัดไป ต้องเดินกว่าสองชั่วโมง (เก้ากิโลเมตร)

ออกจากโรงแรมเดินไปนิดเดียวก็เจอร้านกาแฟ เลยแวะกินให้เรียบร้อย
เข้าไปในร้านถึงได้เจอคนที่ว่าจะออกเดินตอนตีห้า  คุณรุ่งอรุณและสามี

บอกว่าตื่นไม่ไหวเลยต้องเปลี่ยนแผน ร้อนแค่ไหนก็ต้องให้ถึงเมืองโอนตาน่าส
เพราะไม่งั้นเดินไม่ถึงซานติอาโก้ เพราะต้องกลับบ้านไปทำงาน 

ผิดกับเราที่ไม่มีกำหนด ถึงเมื่อใดก็เมื่อนั้น แม่เลยว่าเราต้องเริ่มมี
แบบแผนในการเดินซะบ้าง จำเนาะเจาะจงเป็นวันๆไป  ผมจะคอยดู

เห็นแม่พูดมาหลายทีแล้ว แม่ผมกับการวางแผน
เห็นจะต้องรอให้เจ้าอ๊อดหมาสุดที่รักของแม่พูดได้ซะก่อน

ข้าวเช้าเหมือนเดิมทุกวัน กาแฟกับขนมเขาควาย พอกินเสร็จเราก็เริ่มเดิน
เดินยากเดินเย็นกว่าจะออกนอกเมืองได้ ต้องออกนอกประตูเมืองไปข้ามสะพาน
แล้วผ่านมหาวิทยาลัย ถึงจะเริ่มออกจากเมือง

ทางเดินช่วงแรกเดินสบาย เป็นทางเรียบๆไม่มีเนิน เหมือนเดินเล่นแถวบ้าน
เราเดินมาถึง ทาร์ดาโคส (Tardajos) โดยเร็วมาก น้อยกว่าสองชั่วโมง  ไม่มีใครหิว เลยไม่ได้แวะ 

อีกยี่สิบนาทีเราก็ถึง ราเบ้ เด ลาส คาลซาดาส (Rabé de las Calzadas)
เมืองเล็กๆ น่าเอ็นดู แต่ท่าทางกำลังยุ่งเหยิง สร้างเมืองใหม่
มองไปทางไหนเห็นแต่สิ่งก่อสร้างวางเต็มเมืองไปหมด   

เมืองนี้ก็เช่นกัน   ผ่านแล้วผ่านลับ   ไม่แวะเหมือนเดิม   
ถึงอยากแวะก็แวะไม่ได้เพราะ   ไม่มีร้านกาแฟ   แม่ว่าท่าจะกำลังสร้างอยู่
 
ผมออกจะชอบใจเมืองนี้เอามากๆ เพราะมีคนวาด กราฟฟิติ (Graffiti)
ไว้บนผนัง น่าจะแสดงให้เห็นว่าเมืองนี้แม้จะเล็กแค่ไหน ก็ยังมีวัยรุ่น ไม่ไช่มีแต่วัยชรา

พอเดินออกนอกเมือง เราเริ่มเดินขึ้นเนิน  ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน แดดจ้าเต็มฟ้า
ไม่มีอะไรให้เราดูสบายตา นอกจากก้อนกรวดตามทางเดิน

ที่เราต้องคอยระวังเวลาเหยียบลงไป ดีไม่ดีอาจทำให้เท้าแพลงได้
มองเห็นความแห้งแร้งสุดลูกหูลูกตา  ไร่ข้าวสาลีเหี่ยวแห้ง แดดเผา 

เราเดินกันอย่างเงียบสงบจนน่าเบื่อ ผมทนไม่ไหวต้อง ต้องเริ่มร้องเพลง 
พอเริ่มก็มีอัลฟองโซ่ร้องตาม  พอซักพักเสียงเราทั้งสี่คนก็ดังลั่น
ร้องไป หัวเราะไป ถ้าอยู่ในเมือง คนเขาคงเชิญไปอยู่โรงพยาบาลบ้า

รูปที่หนึ่ง   ป้ายประกาศเมืองทาร์ดาโคส
รูปที่สอง   ใจกลางเมืองราเบ้ เด ลาส คาลซาดาส
รูปที่สาม   กราฟฟิติ
รูปที่สี่           โบสถ์เล็กๆ ข้างทาง








บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 19 คำสั่ง