เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 5368 ราชวังสัน ราชบังสัน เชื้อสายสุลต่านสุไลมาน
นกข.
บุคคลทั่วไป
 เมื่อ 26 ม.ค. 01, 09:30

อ่านบทความจบแล้วคันในหัวใจครับ แต่เสียดายที่ผมไม่ได้เอาหนังสือหนังหาติดมาจากเมืองไทยเลย เลยยังไม่กล้าร่วมแสดงความ (ไม่) รู้ได้ถนัด เห็นจะต้องหาทางกลับไปอ่านอีกรอบ หรือไม่ก็ขอให้ที่บ้านเขาส่งมาบ้าง

พระยาราชวังสันที่คุณเทาชมพูพูดถึง ว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากท่านสุลต่านสุไลมานนั้น ตัวท่านสุลต่านสุไลมานเองเป็นเจ้าผู้ครองเมืองสาเล ในดินแดนที่เป็นอินโดนีเซียเดี๋ยวนี้ครับ เมืองสาเลนี้ ว่ากันว่าเป็นเมืองทำนองคล้ายๆ เมืองลูกหลวงของอาณาจักรชวาครั้งนั้น ราวสี่ร้อยปีมาแล้ว เมื่อพวกดัชท์หรือฮอลแลนด์ออกล่าอาณานิคมมายังดินแดนแถวนี้ สุลต่านสุไลมานและพรรคพวกของท่านรบกับฝรั่งดัชท์แล้วสู้กำลังชาวดัชท์ไม่ไหว ก็ต้องหนีขึ้นเหนือมายังบริเวณที่เดี๋ยวนี้เป็นภาคใต้ของไทย มาเริ่มตั้งเมืองใหม่อยู่ที่สงขลา เป็นรัฐอิสระ รบกับอยุธยาหลายหน อยุธยาก็หักลงไม่ได้อยู่นานหลายปี จนสงขลาเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญของดินแดนแถวนี้ ฝรั่งนักเดินเรือรู้จัก ได้บันทึกไว้ในหลักฐานประวัติศาสตร์เรียกว่า ซิงโกรา พระศพท่านสุลต่านยังฝังอยู่ที่กุโบร์ คือสุสานของชาวมุสลิม ที่หัวเขาแดง สงขลา จนเดี๋ยวนี้
ราวอยุธยาตอนกลาง สมัยรุ่นลูกหลานของท่านสุลต่านแล้ว  ราชสำนักอยุธยาส่งกองทัพลงไปตีสงขลาจนได้ เชื้อสายท่านสุลต่านเมื่อพ่ายแพ้ก็เข้าสามิภักดิ์ต่อราชสำนักไทย กลายเป็นขุนนางไทยสืบมา ตั้งแต่ครั้งอยุธยา ธนบุรี จนรัตนโกสินทร์ ถือได้ว่ามีเชื้อสายท่านสุลต่านสุไลมาน สายต่างๆ ทำราชการรับใช้สนองพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์ไทยสืบมาหลายชั่วอายุคน นับจำนวนปีก็จวนๆ จะสี่ร้อยปีแล้วนะครับ

ในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พระยาพัทลุง ขุน "คางเหล็ก"  ก็เป็นเชื้อสายของท่านสุลต่านสุไลมาน มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ว่าพูดเก่ง(มีเรื่องเล่า- ซึ่งผมคิดว่าเป็นนิยายเกร็ดประวัติศาสตร์ มากกว่าความจริง- พูดถึงท่านตอนที่กราบบังคมทูลโต้ตอบกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งตามเรื่องนัยว่ากำลังเสียพระจริต ได้รู้เรื่องจนพระเจ้าตากชอบพระทัย)
มาในสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีหลายท่าน ส่วนหนึ่งทำราชการถวายทางด้านทหารเรือตามเชื้อสายตระกูล (รวมทั้ง ราชบังสัน ราชวังสัน ด้วย) ส่วนหนึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองคือเป็นเจ้าเมืองทางใต้หลายหัวเมือง  บางส่วนชำนาญการเดินเรือมีส่วนช่วยเหลือในการค้าขายระหว่างประเทศของสยาม ผู้สืบเชื้อสายของท่านสุลต่าน บางสายสกุลที่เป็นพุทธไปแล้วก็มี แต่ที่ยังคงเป็นอิสลามิกชนอยู่ก็มีมากครับ
อยากจะเล่าอีกแต่จนใจว่า ไม่มีรายละเอียดอยู่ในมือตอนนี้ กลัวจะผิดครับ แต่เห็นคุณเทาชมพูพูดถึงท่านสุลต่านแล้ว อดไม่ได้ ต้องขอแจมตามประสาสติปัญญาอันน้อยครับ
บันทึกการเข้า
Linmou
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 23 ม.ค. 01, 20:58

ชาวสงขลาผ่านมาอ่านค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 23 ม.ค. 01, 21:20

เคยผ่านสายตาบ้าง แต่จำไม่ได้แล้ว   จะไปค้นมาให้นะคะ
บันทึกการเข้า
ด.เด็ก
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 24 ม.ค. 01, 04:09

ผมเคยไปเที่ยวหัวเขาแดง เห็นป้อมทหาร3ป้อมอยู่บนเขา หันหน้าออกทะเล ไม่ทราบว่าป้อมเหล่านี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร สร้างในสมัยไหน ขอเชิญคุณ นกข.ช่วยประเทืองปัญญาที่น้อยนิดด้วยเถิด...
บันทึกการเข้า
อัญ
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 24 ม.ค. 01, 10:16

เข้ามาอ่านค่ะ
บันทึกการเข้า
เจ้าเปิ้ล
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 24 ม.ค. 01, 10:37

อ่านแล้วค่ะ
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 24 ม.ค. 01, 16:10

สารภาพกับคุณ ด.เด็กว่า ยังไม่เคยขึ้นไปถึงป้อมทหารที่ว่าเลยครับ เคยแต่ไปเคารพศพท่านสุลต่านที่สุสานของท่าน ซึ่งก็อยู่ที่เขาแดงเหมือนกัน แต่จะให้ผมเดาว่าเป็นป้อมเก่ามาแต่ครั้งสงขลายังเป็นรัฐอิสระภายใต้ท่านสุลต่านก็คงได้กระมัง เพราะตรงหัวเขาแดงอ่าวสงขลานั่น ชัยภูมิดีเหลือเกินในการตั้งรับศึกที่จะมาจากทางทะเล
แต่โดยที่ตรงนั้นชัยภูมิดีตามตำราทหาร ดังนั้นแม้ในสมัยต่อๆ มาก็เป็นไปได้ว่าจะมีทหารมาตั้งป้อมอยู่ (อาจจะสร้างทับที่ตั้งป้อมเดิมก็ได้) พูดไม่ถูกครับว่าสร้างและใช้มาแต่สมัยไหนแน่
เรื่องนิทานเกี่ยวกับพระยาพัทลุง ขุน (คางเหล็ก) นั้น เท่าที่จำเรื่องเลาๆ ได้เป็นดังนี้ ตามนิทานนี้ต้องสมมติก่อนนะครับว่า พระเจ้าตากสินกำลังจะทรงเสียพระสติ ความจริงในประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร เรายังไม่รู้แน่ในขณะนี้ แต่มีหลักฐานกระแสหนึ่งที่บอกว่าปลายรัชกาล พระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระอาการแปลก ๆ เช่น ทรงสำคัญพระองค์ว่าบรรลุโสดาบันแล้ว โปรดให้หาพระเถระผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้า ตรัสถามว่า ฆราวาสที่บรรลุธรรมแล้ว กับพระที่ยังเป็นปุถุชน ใครต้องไหว้ใคร เมื่อพระเถระบางรูปทูลตอบไม่ถูกพระทัยก็กริ้ว ให้จับสึกเสียแล้วเอาไปขังคุก อะไรทำนองนี้
หลักฐานประวัติศาสตร์กระแสนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ต้องพิสูจน์ยืนยันกันต่อไป (สมัยนี้มีนักประวัติศาสตร์บางสำนักเห็นว่าน่าจะเป็นการสร้างเรื่องใส่พระเจ้ากรุงธน) แต่ถ้าเราจะยกประเด็นนั้นไว้ก่อน ยอมตามกระแสสำนักนี้ ก็จะเข้าใจนิทานนี้ได้ ตามเรื่อง ว่า วันหนึ่งในที่ออกขุนนาง พระเจ้ากรุงธนรับสั่งว่าทรงบรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว จะไม่ประทับอยู่ในโลกนี้ละ จะเสด็จไปสวรรค์ มีใครที่รักกันจริงจะตามเสด็จบ้าง ขุนนางทั้งหมดก็หมอบเฝ้าเงียบกันอยู่ทั้งท้องพระโรง ไม่มีใครกล้ากราบทูลอย่างไรได้ ก็จะให้กราบทูลยังไง ถ้ากราบทูลว่าจะตามเสด็จไปสวรรค์ด้วยจะไปยังไง ชะดีชะร้ายก็อาจจะโปรดให้เพชฌฆาตมาช่วยส่งขึ้นสวรรค์เท่านั้น แต่ถ้าจะไม่ตามเสด็จประเดี๋ยวก็อาจจะกริ้วว่า ข้าทหารทั้งหลายไม่รักพระองค์จริง อุตส่าห์ทรงนำทัพออกศึกร่วมเป็นร่วมตายมาตั้งหลายหน ชะดีชะร้ายก็จะคอขาดอีก
ในที่สุดทรงหันมาตรัสถามว่า เฮ้ย ไอ้ขุน เอ็งว่าไง  รักข้าจริงจะตามไปด้วยหรือเปล่า
ขอให้ท่านเอาใจท่านไปใส่ใจพระยาพัทลุง ขุน ตามเรื่องนี้ดูเองเถอะครับ แล้วลองนึกดูว่าจะกราบทูลยังไง ทรงถามเจาะจงตัวด้วย จะไม่ตอบก็ไม่ได้ ตามนิทานที่ผมจำได้กะพร่องกะแพร่งนี้ ว่า ท่านกราบทูลไปทำนองว่า พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้ามั่นในความจงรักภักดีในพระองค์เป็นที่ยิ่งนัก จะเสด็จไหนแม้มีพระประสงค์แล้วก็จะยินดีตามเสด็จไปไหนก็ไปกัน มิได้กลัวเกรงสิ่งใด ดังที่เคยตามเสด็จออกศึกสงครามหลายหนแล้ว ด้วยเชื่อดีในพระบารมีปกเกล้าฯ แต่ครั้งนี้ พระบุญญาภินิหารจะบันดาลให้อาจเสด็จไปสวรรค์ได้ แม้มีพระประสงค์แล้วข้าพระพุทธเจ้าก็ใคร่ตามเสด็จ แต่ตัวข้าพระพุทธเจ้าบุญน้อยนักหนาจะถึงเท่าพระบุญญาบารมีนั้นไม่ได้ คงจะต้องอยู่ใช้เวรกรรมในโลกนี้และสั่งสมบุญไปพลางๆ ก่อน กว่าจะสิ้นเวรในโลกนี้แล้วก็จะตามเสด็จไปเป็นข้าทูลละอองในสวรรค์ต่อไป
อันนี้จำรายละเอียดไม่ได้นะครับ แต่เป็นทำนองนี้ พระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพระสรวล ว่าเอ็งปากดี แล้วก็ไม่ได้ตรัสชวนใครขึ้นสวรรค์ (ถ้ารักกันจริง)อีก เป็นอันว่าเหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี
ได้บอกไว้แล้วนะครับว่านี่เป็นนิทาน ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องจริงๆ เกิดขึ้นตามนี้หรือเปล่า เหตุการณ์ในเรื่องอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยก็ได้
มีอีกหนหนึ่งที่ท่านพระยาพัทลุงผู้นี้ได้แสดงฝีปาก คือตอนที่คุมเรือรบไปราชการทัพที่ไหนก็จำไม่ไดแล้ว น้ำจืดหมด ท่านมีวิชาของท่านเหยียบเท้าลงไปในทะเล น้ำทะเลตรงนั้นก็จืด ทหารตักมากินประทังไปได้ (สงสัยจะตำราเดียวกับหลวงปู่ทวด) พอกลับมา ถูกฟ้องว่าท่านแสดงปาฏิหาริย์ทำน้ำทะเลจืด จะแข่งบุญบารมีพระเจ้าแผ่นดิน คงจะกำลังคิดการใหญ่ ท่านแก้ว่าท่านเสี่ยงสัตยาธิษฐานของพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวให้มาโปรดเกล้าฯ ข้าทหารต่างหาก น้ำนั้นถ้าจะจืดก็จืดด้วยพระบารมีพระเจ้าตากสิน ก็แก้ตัวหลุด
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 24 ม.ค. 01, 19:08

ที่เคยสันนิษฐานกันมาว่า บังสัน วังสัน มาจาก บังหะซัน และ หวังฮะซัน นั้นก็เข้าเค้าครับ แต่ภาษามลายูปัจจุบันมีคำว่า กะบังซาน แปลว่า แห่งชาติ (National) ไม่ทราบเกี่ยวกันหรือเปล่า คงจะไม่เกี่ยว เพราะภาษาสมัยโน้นกับสมัยนี้คนละสมัยกัน
ในประวัติพงศาวดารเมืองพัทลุง พูดถึงต้นตระกูลเจ้าเมืองพัทลุงว่าชื่อ ตะตุมรหุ่ม ซึ่งไม่รู้ว่าจะแปลว่าอย่างไร จนกระทั่งมีผู้ไปสอบกับภาษาอารบิก เลยได้ความว่า เป็นสำเนียงไทยคำแรกสันนิษฐานว่า มาจากระตูหรือดะโต๊ะ ภาษาชวามลายู คำหลัง คือ มรหุ่มเป็นเสียงไทย เรียกหรือเลียนคำภาษาอารบิกว่า อัล-มาร์ฮุม แปลว่า "ท่านที่ไปสู่พระมหากรุณาของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว"  เป็นคำยกย่องให้เกียรติคนที่ตายไปแล้วครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 25 ม.ค. 01, 17:01

โชคดี  ค้นตู้หนังสือเจอประวัติของสุลต่านสุลัยมานแล้วค่ะ



เรื่องท่านมีสีสันไม่ซ้ำแบบขุนนางไทยคนไหน  เพราะเริ่มจากเป็นขุนนางก่อน แล้วเป็นสุลต่าน แล้วลูกหลานก็เป็นขุนนางไทยในภายหลัง

เชื้อสายท่านก็มาสัมพันธ์กับราชวงศ์จักรีด้วย  โดยตรงเลย



จะย่อยเป็นบทความให้อ่าน   ถ้าตอนไหนขาดตกบกพร่องไป    คุณนกข.ช่วยเติมให้ด้วยนะคะ



เอาภาพมาลงให้เห็นกันค่ะ  บรรยายภาพว่า

"ตะตู มรหุ่ม สุลต่าน สุลัยมาน นับถือศาสนาอิสลาม นิกายสุหนี่  ต้นสกุล ณ พัทลุง และสกุลในมหาสาขา"



  เข้าใจว่าเป็นภาพวาดขึ้นภายหลัง เพราะท่านแต่งตัวคล้ายๆพระเจ้าซาร์นิโคลัสสมัยรัชกาลที่ ๕  แต่ยุคของท่านคือสมัยพระเจ้าทรงธรรมของอยุธยาโน่นแน่ะ  ไม่มีสายสะพายเหรียญตราและพู่บ่าในสมัยโน้น
http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW314x008.jpg'>
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 25 ม.ค. 01, 17:14

ผมเข้าใจว่า "ภาพ" ของท่านสุลต่านนี้ ได้จากการบอกเล่าเมื่อมีการเชิญวิญญาณท่านมาประทับทรงในยุคนี้ครับ ซึ่งการทรงเจ้านี้ ว่าไปแล้วก็เป็นศาสตร์ลี้ลับที่นักประวัติศาสตร์คงจะไม่ถือว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้เท่าไหร่ แต่เรื่องนี้สุดแต่ความเชื่อถือของคน ผมไม่ขอขัดคอก็แล้วกัน ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้เคารพในฐานต้นตระกูล

เห็นด้วยว่า สมัยท่านสุลต่านยังมีชีวิตอยู่ ทางเมืองในเอเชียแถบเรานี่น่าจะยังไม่มีสายสะพายหรือเครื่องแบบแบบตะวันตกครับ แต่ก็นั่นแหละ ท่านไม่ได้บอกว่าท่านจะแต่งแบบสมัยท่านนี่นา ท่านอาจจะได้อิทธิพลเจ้านายฝรั่งสมัยหลังนี่ก็ได้ ที่ยังมีเค้ามุสลิมอยู่ คือหมวกแบบหมวกแขกครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 26 ม.ค. 01, 21:30

เลยพูดไม่ออกค่ะ  ผ่านไปเรื่องอื่นดีกว่า

พูดถึงพระยาพัทลุง(คางเหล็ก) ท่านมีชื่อเดิมว่า " ขุน" หรือ "ใจ "คางเหล็กเป็นสมญานาม หมายถึงปากเก่ง กล้าพูด กล้าเจรจา
ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์จากธนบุรีมาเป็นราชวงศ์จักรี  
 แต่ตัวท่านไม่ได้รับความกระทบกระเทือน   ได้เข้าพิธีดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอย่างขุนนางอื่นๆ
ต่อจากนั้นได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นการเฉพาะตัว  นำบุตรธิดามาถวายตัวเข้ารับราชการ แล้วก็เดินทางกลับไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุงตามเดิม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.057 วินาที กับ 19 คำสั่ง