เชื่อหรือไม่ - Believe It or Not!
พระอภัยมณีเองก็เป็นพราหมณ์ขออนุญาตเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง ชื่อ
ปทกุสลมาณวชาดก ตอนต้นของนิทานชาดกเรื่องนี้คล้ายกับชีวิตของพระอภัยมณีตอนที่มีความสัมพันธ์กับนางผีเสื้อสมุทรจนมีสินสมุทร และได้บุตรชายคนนี้พาหนีจากแม่
ในเรื่องนี้ พระอภัยมณี คือ พราหมณ์ นางผีเสื้อสมุทร คือ ยักษิณี และสินสมุทร คือ พระโพธิสัตว์มีเรื่องราวเป็นเช่นนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระอัครมเหสีของพระองค์ประพฤตินอกใจ เมื่อพระราชาตรัสถามก็สบถสาบานว่า ถ้าหม่อมฉันประพฤตินอกใจพระองค์ ขอให้หม่อมฉันเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า.
ต่อจากนั้น พระนางได้สิ้นพระชนม์ เกิดเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้า ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งอยู่ในคูหา จับมนุษย์ที่สัญจรไปมาในดงใหญ่ ในทางที่ไปจากต้นดงถึงปลายดง เคี้ยวกินเป็นอาหาร ได้ยินว่านางยักษิณีนั้นไปบำเรอท้าวเวสวัณอยู่ ๓ ปี ได้รับพรให้เคี้ยวกินมนุษย์ได้ในที่ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์.
อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์รูปงามคนหนึ่งเป็นผู้มั่งคั่งมีโภคทรัพย์มาก แวดล้อมไปด้วยมนุษย์จำนวนมาก เดินมาทางนั้น นางยักษิณีเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงวิ่งไป พวกมนุษย์ผู้เป็นบริวารพากันหนีไปหมด นางยักษิณีวิ่งเร็วอย่างลม จับพราหมณ์ได้แล้วให้นอนบนหลังไปคูหา เมื่อได้ถูกต้องกับบุรุษเข้าก็เกิดสิเนหาในพราหมณ์นั้นด้วยกิเลส จึงมิได้เคี้ยวกินเขาเอาไว้เป็นสามีของตน แล้วทั้ง ๒ ต่างก็อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีตั้งแต่นั้นมา นางยักษิณีก็เที่ยวจับมนุษย์ถือเอาผ้า ข้าวสารและน้ำมันเป็นต้น มาปรุงเป็นอาหารมีรสเลิศต่างๆ ให้สามี ตนเองเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์ เวลาที่นางจะไปไหนนางได้เอาหินแผ่นใหญ่ปิดประตูถ้ำก่อนแล้วจึงไป เพราะกลัวพราหมณ์จะหนี
เมื่อเขา ๒ คนอยู่กันอย่างปรีดาปราโมทย์เช่นนี้ พระโพธิสัตว์เคลื่อนจากฐานะที่พระองค์เกิด มาถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางยักษิณีนั้น เพราะอาศัยพราหมณ์ พอล่วงไปได้ ๑๐ เดือน นางยักษิณีก็คลอดบุตร นางได้มีความสิเนหาในบุตรและพราหมณ์มาก ได้เลี้ยงดูคนทั้งสองเป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว นางยักษิณีได้ให้บุตรเข้าไปภายในถ้ำพร้อมกับบิดาแล้วปิดประตูเสีย
ครั้นวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์รู้ว่านางยักษิณีนั้นไปแล้ว จึงได้เอาศิลาออกพาบิดาไปข้างนอก นางยักษิณีมาถามว่า ใครเอาศิลาออก เมื่อพระโพธิสัตว์ตอบว่า ฉันเอาออกจ้ะแม่ ฉันไม่สามารถนั่งอยู่ในที่มืด นางก็มิได้ว่าอะไรเพราะรักบุตร.
อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ถามบิดาว่า พ่อจ๋า เหตุไรหน้าของแม่ฉันจึงไม่เหมือนหน้าของพ่อ. พราหมณ์ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ลูกรัก แม่ของเจ้าเป็นยักษิณีที่กินเนื้อมนุษย์ เราสองพ่อลูกนี้เป็นมนุษย์. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พ่อจ๋า ถ้าเช่นนั้นเราจะอยู่ในที่นี้ทำไม ไปเถิดพ่อ เราไปแดนมนุษย์กันเถิด. พราหมณ์ผู้เป็นบิดากล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเราหนีแม่ของเจ้าก็จักฆ่าเราทั้งสองเสีย พระโพธิสัตว์พูดเอาใจบิดาว่า อย่ากลัวเลยพ่อ ฉันรับภาระพาพ่อไปให้ถึงแดนมนุษย์.
ครั้นวันรุ่งขึ้น เมื่อมารดาไปแล้วได้พาบิดาหนี นางยักษิณีกลับมาไม่เห็นคนทั้งสองนั้น จึงวิ่งไปเร็วอย่างลม จับคนทั้งสองนั้นได้แล้วกล่าวว่า พราหมณ์ ท่านหนีทำไม ท่านอยู่ที่นี้ขาดแคลนอะไรหรือ? เมื่อพราหมณ์กล่าวว่า น้องรัก เธออย่าโกรธพี่เลย ลูกของเธอพาพี่หนีดังนี้ นางก็มิได้ว่าอะไรแก่เขา เพราะความสิเนหาในบุตร ปลอบโยนคนทั้งสองให้เบาใจแล้วพาไปยังที่อยู่ของตน. ในวันที่ ๓ นางยักษิณีก็ได้นำคนทั้งสองซึ่งหนีไปอยู่อย่างนั้นกลับมาอีก.
พระโพธิสัตว์คิดว่า แม่ของเราคงจะมีที่ที่เป็นเขตกำหนดไว้ ทำอย่างไรเราจึงจะถามถึงแดนที่อยู่ในอาณาเขตของแม่นี้ได้ เมื่อถามได้เราจักหนีไปให้เลยเขตแดนนั้น. วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์กอดมารดานั่งลง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า แม่จ๋า ธรรมดาของที่เป็นของแม่ย่อมตกอยู่แก่พวกลูก ขอแม่ได้โปรดบอกเขตกำหนดพื้นดินที่เป็นของแม่แก่ฉัน นางยักษิณีบอกที่ซึ่งยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์ มีภูเขาเป็นต้นเป็นเครื่องหมายในทิศทั้งปวงแก่บุตร แล้วกล่าวว่า ลูกรัก เจ้าจงกำหนดที่นี้ซึ่งมีอยู่เพียงเท่านี้ไว้
ครั้นล่วงไปได้สองสามวัน เมื่อมารดาไปดงแล้ว พระโพธิสัตว์ได้แบกบิดาขึ้นคอวิ่งไปโดยเร็วอย่างลม ตามสัญญาที่มารดาให้ไว้ ถึงฝั่งแม่น้ำอันเป็นเขตกำหนด นางยักษิณีกลับมาเมื่อไม่เห็นคนทั้งสอง ก็ออกติดตาม พระโพธิสัตว์พาบิดาไปถึงกลางแม่น้ำ นางยักษิณีไปยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ รู้ว่าคนทั้งสองล่วงเลยเขตแดนของตนไปแล้ว จึงยืนอยู่ที่นั้นเอง วิงวอนบุตรและสามีว่า ลูกรัก เจ้าจงพาพ่อกลับมา แม่มีความผิดอะไรหรือ? อะไร ๆ ไม่สมบูรณ์แก่พวกท่าน เพราะอาศัยเราหรือ? กลับมาเถิด ผัวรัก ดังนี้.
ลำดับนั้น พราหมณ์ได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว นางยักษิณีวิงวอนบุตรว่า ลูกรัก เจ้าอย่าได้ทำอย่างนี้ เจ้าจงกลับมาเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า แม่ ฉันและพ่อเป็นมนุษย์ แม่เป็นยักษิณี ฉันไม่อาจอยู่ในสำนักของแม่ได้ตลอดกาล ฉะนั้น ฉันกับพ่อจักไม่กลับ. นางยักษิณีถามว่า เจ้าจักไม่กลับหรือลูกรัก. พระโพธิสัตว์ตอบว่า ใช่ ลูกจะไม่กลับดอกแม่ นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเจ้าจักไม่กลับก็ตามเถิด ขึ้นชื่อว่าชีวิตในโลกนี้เป็นของยาก คนที่ไม่รู้ศิลปวิทยาไม่อาจที่จะดำรงชีพอยู่ได้ แม่รู้วิชาอย่างหนึ่งชื่อจินดามณี ด้วยอานุภาพของวิชานี้อาจที่จะติดตามรอยเท้าของผู้ที่หายไปแล้วสิ้น ๑๒ ปีเป็นที่สุด วิชานี้จักเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตเจ้า ลูกรัก เจ้าจงเรียนมนต์อันหาค่ามิได้นี้ไว้ ว่าดังนั้นแล้ว ทั้ง ๆ ที่ถูกความทุกข์เห็นปานนั้นครอบงำ นางก็ได้สอนมนต์ให้ด้วยความรักลูก.
พระโพธิสัตว์ยืนอยู่ในแม่น้ำนั่นเอง ไหว้มารดาแล้วประณมมือเรียนมนต์ ครั้นเรียนได้แล้วได้ไหว้มารดาอีก แล้วกล่าวว่า แม่ ขอแม่จงไปเถิด นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกรัก เมื่อเจ้าและพ่อของเจ้าไม่กลับ ชีวิตของแม่ก็จักไม่มี แล้วกล่าวคาถาว่า :-
ลูกรัก เจ้าจงมาหาแม่ จงกลับไปอยู่กับแม่เถิด อย่าทำให้แม่ไม่มีที่พึ่งเลย เมื่อแม่ไม่ได้เห็นลูกก็ต้องตายในวันนี้.
ครั้นกล่าวแล้ว นางยักษิณีได้ทุบหน้าอกของตนเอง ทันใดนั้น หทัยของนางได้แตกทำลาย เพราะความเศร้าโศกถึงบุตร นางตายแล้วล้มลงไปในที่นั้นนั่นเอง. ขณะนั้น พระโพธิสัตว์ทราบว่ามารดาตาย จึงเรียกบิดาไปใกล้มารดาแล้วทำเชิงตะกอนเผาศพมารดา
http://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka500.php?s=432 สุนทรภู่คงเคยได้ยินหรือเคยอ่านนิทานชาดกเรื่องนี้บ้างแล้วนำมาผูกเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสามคน พ่อ แม่ ลูก
พระอภัยมณีก็เคยเป็นพราหมณ์ก็ด้วยหลักฐานดังนี้แล 