สวัสดีครับท่านทั้งสอง ขอบพระคุณที่เห็นว่ามีสาระประโยชน์นะครับ
ข้อนี้คงจะมองต่างมุมจากคุณอุไรวรรณ เสียหน่อยว่า
ทั้งดนตรีและ กวีนิพนธ์ จะว่าเป็นภาษาของมนุษย์ ทั้งสองอย่างก็เป็นภาษามนุษย์ เพราะมนุษย์สร้างขึ้นทั้งสองอย่าง ไม่ใช่อะไรที่ลอยลงมาจากท้องฟ้า หรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ถ้าถือว่าเป็นภาษาสวรรค์ ก็คงจะอนุโลมได้ว่าทั้งสองอย่างก็เป็นกันทั้งคู่ เพราะมนุษย์ที่จะแต่งได้ คือคนที่เราเรียกกันว่ามีพรสวรรค์ ไม่ใช่ใครอยากแต่งก็แต่งได้ หรือเรียนจบหลักสูตรก็ทำได้ เหมือนเรียนวิชาชีพ
ตรงนี้ ตัวแทนของรุ้งเห็นด้วยครับ ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์สร้างมันขึ้นมาทั้งคู่ เป็นเพียงสำบัดสำนวนเท่านั้นที่กล่าวว่า "เพราะดนตรีเป็นภาษาสวรรค์ ส่วนถ้อยคำและโคลงฉันท์เป็นเพียงภาษามนุษย์" และเกิดจากรสนิยมของคนกล่าวเองด้วย เรื่องรสนิยม คนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งโลก ไม่มีใครถูกใครผิดกว่าใคร มันไม่ใช่เรื่องของความดีหรือความชั่วที่ต้องชี้กันให้ขาด
คำร้องกับดนตรีที่เสริมกันก็มีถม ยกตัวอย่าง
ผมขอยกบทพระราชนิพนธ์ สยามานุสติ ของล้นเกล้าฯ ร.6
“หากสยามยังอยู๋ยั้ง ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
…..ฯลฯ ..”
ถ้าอ่านเป็นทำนองเสนาะของโคลงสี่สุภาพ
เราจะได้อารมณ์หนึ่ง
พอฟังทำนองดนตรีที่แต่งโดยครูนารถ ถาวรบุตร บรรเลงโดยวงโยธวาฑิต
ก็ได้อีกอารมณ์หนึ่ง
ครั้นทุกคนร่วมเปล่งเสียงร้องเนื้อนั้นตามวงดนตรีไปด้วย
ก็จะได้อีกอารมณ์หนึ่งที่แตกต่างออกไปโดยชัดเจน
และเป็นชนิดอารมณ์ตรงกับจุดมุงหมายด้วย
รู้สึกเหมือนผมไหมครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น
เพลงนี้ไม่ว่าภาษาสวรรค์หรือภาษามนุษย์ ก็คงจะอนุโลมได้ว่าทั้งสองอย่างก็เป็นกันทั้งคู่ ดังที่ท่านอาจารย์ว่า
และในฐานะที่เป็นตัวของผมเอง ไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้ใด ผมลองศึกษาตนเองในเรื่องนี้ดู อยากจะขอแสดงเป็นทัศนะเฉยๆ
ผมจำได้ว่า เวลาที่ผมได้ยินเพลงอะไรก็ตามเป็นครั้งแรก แล้วนึกชอบ ผมจะนึกทำนองได้ก่อนเนื้อร้อง โดยเฉพาะท่อนที่โดนใจ เนื้อร้องนั้นแม้จะดูเหมือนจำได้พร้อมๆกัน แต่ถ้าดูละเอียดลงไป จะเห็นว่าทำนองจะมาก่อนเสมอ
ไม่ทราบว่าคนอื่นๆจะเป็นเหมือนผมหรือเปล่า อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ และไม่ว่าจะสรุปเช่นไร ก็คงไม่ได้หมายความว่า ใครแน่กว่าใครด้วย