เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 09:52
|
|
การจัดระเบียบสังคมในเมืองนิมิตรของรุ้ง ดูคล้าย ๆ กับในเรื่อง "โลกวิไลซ์" (Brave New World) ของ ALDOUS HUXLEY มนุษย์ทุกคนจะถูกแบ่งเป็น ๕ ชนชั้นตามความฉลาด คือ Alphas Betas Gammas Deltas และEpsilons
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sugar
มัจฉานุ
 
ตอบ: 53
|
ความคิดเห็นที่ 61 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 11:06
|
|
สวัสดีค่ะคุณรุ้ง (ผู้คือความหวังของดิฉัน)
ดิฉันได้ติดตามคอลัมน์นี้ของคุณมาระยะหนึ่งแล้ว เห็นทีจะต้องรบกวนคุณรุ้งช่วยให้ความกระจ่างแก่ผู้ด้อยปัญญาอย่างดิฉันด้วยนะคะ
ขนมหวานเป็นพ่อนๆ.......ไม่ชอบทาน
หินใสๆหลายเม็ด......ไม่ต้องการ
โต๊ะ เก้าอี้ใหม่.....ตัวเก่าก็ดีอยู่แล้ว
ข่มขู่........อหิสา อหิสา อหิสา
กระสุน.....อหิสา อหิสา อหิสา
ระเบิด.....อหิสา อหิสา อหิสา
เสียแขน ขา.....อหิสา อหิสา อหิสา
เสียชีวิต......อหิสา อหิสา อหิสา
เพื่อ..เป้าหมาย
อยากทราบว่า นี่คือการกระทำที่สูญเปล่าหรือเปล่าคะ เหมือนจะไม่เกิดประโยชน์กับตนเองและสังคมแบบนี้เลย. แล้วสังคมที่น่าอยู่นั้นอยู่กันด้วยความฉลาดหรือคุณธรรมดีคะ.
ด้วยความนับถือ
น้ำตาล
ปล. คุณรุ้งอย่าเพิ่งละทางโลกไปเร็วนักนะคะ ดิฉันเชื่อว่าความรู้ความสามารถของคุณ จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้มากมายค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 12:06
|
|
การจัดระเบียบสังคมในเมืองนิมิตรของรุ้ง ดูคล้าย ๆ กับในเรื่อง "โลกวิไลซ์" (Brave New World) ของ ALDOUS HUXLEY มนุษย์ทุกคนจะถูกแบ่งเป็น ๕ ชนชั้นตามความฉลาด คือ Alphas Betas Gammas Deltas และEpsilons นึกถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ และนึกถึงอีกเรื่องด้วย คือ 1984 ของ George Orwell ผู้เขียน Animal Farm
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 12:30
|
|
คำถามของคุณน้ำตาล ดิฉันไม่ใช่คุณรุ้ง และคงห่างไกลอยู่มาก ก็เลยตอบไม่ได้ (และขอสารภาพว่าอ่านไม่เข้าใจด้วยค่ะ) ต้องฝากไปถึงตัวแทนคุณรุ้ง เผื่อจะตอบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 13:02
|
|
คุณน้ำตาลทำเอาผมต้องลุ้นเหลียวซ้ายแลขวามองหารุ้ง จิตเกษมหรือม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตนผู้สร้างรุ้งขึ้นมา ให้มาตอบคำถามที่ว่า
ท่านอาจารย์เทาชมพูที่กำลังปลุกปั้นรุ้งให้ออกมาเผชิญโลกปัจจุบัน ท่านก็ไม่รับจะตอบเสียด้วย รู้สึกว่าท่านยังวิสัชนาค้างอยู่ในทฤษฎีเรื่องรัฐในอุดมคติของรุ้ง ผมเองก็สนใจว่าท่านจะวิสัชนาต่ออย่างไร หรือวิสัชนาในเชิงปุจฉาให้ผู้อ่านอย่างผมเข้าไปลองลับสมองดูมั่ง เผื่อจะสอบผ่าน
คุณน้ำตาลอย่าเพิ่งน้อยใจว่ารุ้งไม่มาตอบคำถามนะครับ นี่เป็นเสน่ห์ของนวนิยายที่พระเอกตายตอนจบ คนอ่านมีสิทธ์ที่จะมโนภาพต่อว่า “ถ้า”……แล้วพระเอกไม่ตาย พระเอกคงจะ………..ยือยาวได้หลายสมุดไทย สนุกดี
นี่เป็นเหตุให้โลกรู้จักโรมิโอกับจูเลียต หรือคนไทยรู้จักโกโบริ เอามาสร้างหนังสร้างละครกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วก็ยังร้องไห้กันกระปู๊ดกระป๊าด
ถ้าคุณน้ำตาลยอมให้ผมเป็นตัวแทนของรุ้งอย่างที่อาจารย์เทาชมพูท่านแนะ เดี๋ยวเย็นๆหรือค่ำๆผมจะกลับมาตอบ แต่ต้องทำใจนะครับ รอยเท้าของผมห่างจากของรุ้งอยู่หลายเบอร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 14:56
|
|
ลงนั่งข้างๆคุณน้ำตาล รอเอเย่นต์คุณรุ้งมาตอบในตอนค่ำ ด้วยอีกคน
ต่อจากที่ค้างไว้
มีคนเขียนมาถามรุ้งว่า อุดมคติของเขาว่ารัฐมีหน้าที่จัดหางานที่เหมาะสมให้ประชาชน โดยอาศัยคำแนะนำของนักจิตวิทยา ประชาชนคนไหนถนัดทางไหนก็ทำงานอย่างนั้น เขานึกบ้างไหมถึงสัดส่วนที่เหมาะสมของคนในรัฐ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐ ถูกนักจิตวิทยาตัดสินว่า ถนัดในทางใช้แรงงานแบกหาม ส่วนน้อยที่ถนัดค้าขาย คิดเลขบัญชี ถ้าอย่างนั้นรัฐก็จะหนักไปทางผลิตงานโยธา มีแรงงานมากมาย แต่ไม่มีเงินที่จะหมุนเวียน แล้วประเทศจะพัฒนาไปทางไหน
ยังไม่รู้คำตอบของรุ้ง ฝากตัวแทนคุณรุ้งช่วยตอบด้วยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sugar
มัจฉานุ
 
ตอบ: 53
|
ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 19:23
|
|
เอา ง.งู มาคืนค่ะ อหิงสา...  คืนนี้ได้นั่งใกล้อาจารย์ ตื่นเต้นกลัวนอนไม่หลับจังค่ะ... และขอบคุณล่วงหน้าค่ะคุณ N.C.ที่จะช่วยเหลือในคำถามที่ได้ถามไว้...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 21:56
|
|
ขอประทานโทษที่มาดึกไปหน่อยนะครับ
รัฐของรุ้งเป็นรัฐในอุดมคติ แปลว่าเป็นรัฐที่ดีเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ในโลกของความจริง แม้เป็นโลกในความฝันก็จริงอยู่ แต่ไม่ใช่ความเพ้อฝัน เพราะรุ้งมีหลักการและเหตุผลในการคิด และนำเสนอ
มีคนเขียนมาถามรุ้งว่า อุดมคติของเขาว่ารัฐมีหน้าที่จัดหางานที่เหมาะสมให้ประชาชน โดยอาศัยคำแนะนำของนักจิตวิทยา ประชาชนคนไหนถนัดทางไหนก็ทำงานอย่างนั้น เขานึกบ้างไหมถึงสัดส่วนที่เหมาะสมของคนในรัฐ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐ ถูกนักจิตวิทยาตัดสินว่า ถนัดในทางใช้แรงงานแบกหาม ส่วนน้อยที่ถนัดค้าขาย คิดเลขบัญชี ถ้าอย่างนั้นรัฐก็จะหนักไปทางผลิตงานโยธา มีแรงงานมากมาย แต่ไม่มีเงินที่จะหมุนเวียน แล้วประเทศจะพัฒนาไปทางไหน
คำถามที่มีคนเขียนมาถามดังกล่าว ในฐานะตัวแทนของรุ้งผมก็จะตอบว่า สัดส่วนของพลเมืองในแต่ละรัฐมันก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว คนทำงานโดยใช้แรงงานจะมีมากกว่าคนที่ทำงานโดยใช้สมองมาก เสมือนฐานปิรามิดที่เรียวขึ้นไปสู่ยอด แต่ด้วยความปราณีตของระบบคัดเลือก ที่ทำให้นักจิตวิทยาสามารถแยกแยะได้กระทั่งว่า คนๆหนึ่งเหมาะที่จะทำงานประเภทใช้แรงกี่เปอร์เซนต์สมองกี่เปอร์เซนต์ ซึ่งคงจะเริ่มต้นจาก ใช้แรง100ใช้สมอง0 เรื่อยไปจน ใช้แรง90สมอง1 ใช้แรง80สมอง20 ใช้แรง70สมอง30 ฯลฯ จนถึงใช้แรง10สมอง90 ใช้แรง0สมอง100 (ตัวอย่างสุดท้ายนี้อาจจะตกขอบไปหน่อยเพราะคนที่จะใช้แรง0สมอง100ก็คงจะเข้าขั้นคนพิการนั่งรถเข็นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือที่ใช้แรง100ใช้สมอง0 พวกนี้คงจะบ้าหรือใกล้บ้า แต่รุ้งบอกว่ารัฐจะไม่ทำลายพลเมืองแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นก็ต้องหาอาชีพที่เหมาะสมให้เขาเหล่านั้นทำเหมือนกัน)
งานที่ให้พวกที่ถนัดใช้แรงมากกว่าสมองก็ไม่ใช่มีแค่งานโยธาอย่างเดียว ในกลุ่มของพวกที่มีเปอร์เซนต์ที่ใช้สมองมากขึ้น ก็มีงานเช่นเกษตรกรรม หรืองานในสายการผลิตของโรงงานทุกระดับยากง่าย งานบริการสังคมอื่นๆ ตั้งแต่เก็บขยะไปจน เป็นทหาร ตำรวจชั้นประทวน คนขับรถ ขับพาหนะสาธารณะ นักกิฬา ช่างซ่อม ช่างก่อสร้าง ฯลฯ พวกที่ถนัดใช้สมองมากกว่าแรง ถ้าเปอร์เซนต์สมองยังไม่มากก็เริ่มจากงานธุรการในสำนักงาน สมองมากขึ้นมาอีกก็เป็นนักบัญชี ศิลปิน นักแสดงนักบริหาร นักวิทยาศาสตร์ สถาปนิกวิศวกร ทหารตำรวจสัญญาบัตร ครู หมอ นักค้นคว้าทดลอง ต่างๆ นักบวชที่เป็นที่พึ่งของสังคมได้ พวกนี้เป็นส่วนยอดของปิรามิดในเชิงปริมาณ
ด้วยระบบซูปเปอร์คอมพิวเตอร์ในอนาคตและความสามารถของโปรแกรมเมอร์ เป็นไปได้ที่จะคัดสรรตำแหน่งงานร้อยแปดพันเก้าทุกประเภทมารองรับคนที่เหมาะสม ซึ่งผ่านการศึกษา ฝึกหัดแล้ว ผ่านการทดสอบพร้อมที่จะทำงานด้วยความรับผิดชอบได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 21:59
|
|
รัฐในอุดมคตินี้ต้องเป็นรัฐที่พึ่งตนเองได้ อาจเป็นการรวมตัวของประเทศต่างๆที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ไม่ต้องเป็นเพื่อนบ้านติดกันก็ยังได้ เพื่อเฉลี่ยทรัพยากร และเฉลี่ยผลผลิต ให้เกิดสมดุลย์ พลเมืองมีความสุขสบายตามอัตภาพ
ต้องไม่เอาอุปสงค์และอุปทานของรัฐในระบบทุนนิยมที่ส่งเสริมเสรีภาพในการแสวงหาสิ่งฟุ่มเฟือยมาบำรุงความสุขของปัจเจกชน แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา มาเทียบวัดกับความเจริญของรัฐในอุดมคตินะครับ เพราะคนในรัฐของรุ้งจะทำงานเท่าที่ความต้องการบริโภคกำหนดเท่านั้น เวลาที่เหลือ พลเมืองจะไปเล่นกิฬา ไปห้องสมุด ไปฟังดนตรี ไปดูโขนละคร ไม่ใช่ไปหาเงินกันบ้าระห่ำเพราะเจ้าหนี้บัตรเครดิตมันขยันทวงเหลือกำลัง ถ้ารัฐในอุดมคติปฏิเสธระบบทุนนิยม ทุนหมุนเวียนก็แปรสภาพ จากกระดาษมาเป็นผลิตผล หรือผลิตภัณฑ์คงคลัง ดังที่ท่านสิทธิพรทรงกล่าวว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” ผมต้องแถมอีกหน่อยนึง “ทุกสิ่งทั้งสี่ปัจจัยเป็นของให้ฟรี” พลเมืองจะได้รับการจัดสรรผลผลิตนี้อย่างยุติธรรม แม้จะต่างแบบต่างขนาดกันบ้างก็ตาม แล้วประเทศจะพัฒนาไปทางไหน รัฐนี้คงจะไม่ปฏิเสธความเจริญทางวัตถุตราบเท่าที่มันทำหน้าที่สนองคุณภาพจิตใจของมนุษย์ด้วย รัฐนี้คงจะไม่กู้เงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนทำผลผลิตที่จะส่งออกกลับไปขายให้เขาในราคาถูกกว่าที่เขาจะผลิตได้ในประเทศนั้น ได้กำไรมาแล้วก็ใช้หนี้ กว่าหนี้จะหมดพอดีได้เวลากู้ใหม่มายกเครื่องสิ่งที่ลงทุนไว้เดิมให้ทันสมัย จะได้สามารถแข่งขันทางธุรกิจได้ เริ่มวงจรทาสอีกรอบหนึ่ง รัฐในอุดมคติของรุ้งจะทุ่มทำงานวิจัยและพัฒนาหาสิ่งที่เหมาะสมพอดีกับที่จำนวนพลเมืองและทรัพยากรในประเทศจะเอื้ออำนวยให้ทำการผลิตได้โดยไม่ต้องเป็นหนี้เขา แต่เพื่อสำหรับบริโภคกันเอง และบำรุงความสุขให้ตามอัตภาพ หากเหลือก็จึงจะขายให้กับรัฐอื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 22:08
|
|
แต่ทว่า รัฐในอุดมคติของรุ้งมันจะเป็นจริงไปไม่ได้ เพราะเหตุผลเดียวคือกิเลศของมนุษย์ มนุษย์เต็มไปด้วยความโลภไม่มีอะไรสนองความต้องการได้ดีพอจนถึงที่สุด มนุษย์เต็มไปด้วยโทษะไม่ได้อย่างใจตนก็โกรธ มนุษย์เต็มไปด้วยโมหะคิดว่าตนเองดีวิเศษกว่าคนอื่น สุดท้ายมนุษย์ก็อยู่สุขไม่ได้นาน ต้องแก่งแย่งกัน ทะเลาะกัน ยกพวกตีกัน ไปถึงทำสงครามกัน ถ้าไม่รบกันเองเป็นสงครามกลางเมืองก็รบกับชนชาติอื่น หรือศาสนาอื่น
คนในประเทศของรุ้งปัจจุบันกำลังมีความทุกข์อันใหญ่หลวง เพราะกิเลศของมนุษย์ที่ประทุใกลัจะถึงขีดสุดเพราะขาดหิริโอตตัปปะนี่แล ถ้ารุ้งมีตัวตนจริงและเอาจิตเข้าไปผูกพันด้วย นักอุดมคติอย่างรุ้งก็คงจมอยู่ในทุกข์นั้นโดยไม่สามารถช่วยใครได้เลยแม้แต่ตนเอง สิ่งทีรุ้งอาจจะทำได้ด้วยสติปัญญาและประสพการณ์ก็คือ แทนที่จะเสนอวิธีการในทางโลก รุ้งควรจะเสนอธรรมะให้แก่เพื่อนร่วมทุกข์ของรุ้ง โดยยังไม่จำเป็นต้องโกนผมห่มจีวร
ขอโอกาส ตัวแทนของรุ้งจะลองดู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 22:13
|
|
ขนมหวานเป็นพ่อนๆ.......ไม่ชอบทาน
หินใสๆหลายเม็ด......ไม่ต้องการ
โต๊ะ เก้าอี้ใหม่.....ตัวเก่าก็ดีอยู่แล้ว
ผู้ที่มีพื้นฐานขนาดคิดดังนี้ได้ คือผู้ที่เห็นกิเลศหยาบๆในตระกูลโลภะได้ แล้วเกิดสติตัวจริงขึ้นมาตัดกิเลศนั้นได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้ความพยายาม อันนี้ก็ดีอยู่แล้ว
ข่มขู่........อหิงสา อหิงสา อหิงสา
กระสุน.....อหิงสา อหิงสา อหิงสา
ระเบิด.....อหิงสา อหิงสา อหิงสา
เสียแขน ขา.....อหิงสา อหิงสา อหิงสา
เสียชีวิต......อหิงสา อหิงสา อหิงสา
การที่คุณน้ำตาลนำตนเข้าไปพัวพันในเหตุการณ์ที่มีทีท่าว่าจะรุนแรง แล้วเกิดเรื่องไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เป็นกิเลศตระกูลโทษะ แม้สติอาจเกิดและตัดโทษะไปในชั่วขณะนั้น แต่การที่ยังไม่นำตนออกไปจากเหตุการณ์ ก็จะเกิดสภาวธรรมซ้ำๆขึ้นมาอีกได้ และรุนแรงขึ้นขนาดสติไม่อาจตัดได้แล้ว ต้องพยายามกดข่มไว้ด้วยการบริกรรมคำว่าอหิงสา ซึ่งก็ช่วยได้เล็กน้อยแค่ไม่ทำให้คุณไปสร้างวิบากกรรมต่อด้วยการไปทำรุนแรงตอบโต้เขา แต่ก็หาได้ช่วยให้เกิดกุศลใดๆกับตนเองไม่ เคราะห์หามยามร้ายต้องเสียชีวิต จิตดับไปตอนที่ยังมีโทษะครอบงำอยู่ ก็ได้ไปเกิดในอบายแน่นอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 22:28
|
|
เพื่อ..เป้าหมาย เป้าหมายอะไรครับ
คนเรามีสองประเภท เอาตามที่รุ้งว่าก็คือ อินโทรเวิร์ตกับเอ็กซ์โทรเวิร์ต ในการต่อสู้ทางการเมือง พวกเอ็กซ์โทรเวิร์ตพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในขณะที่พวกอินโทรเวิร์ตจะใช้วิธีอหิงสา กลุ่มการเมืองทุกกลุ่มจะปะปนไปด้วยคนทั้งสองประเภทนี้ อะไรมากอะไรน้อยเท่านั้นเอง แต่เมื่อถึงจุดแตกหักคราวใด ฝ่ายอหิงสามากจะเป็นฝ่ายที่เสียเลือดเนื้อ ถ้าจำนวนไพร่พลไม่มากพอจนเขาไล่ทำร้ายเท่าไรก็ไม่ไป ฆ่าก็ไม่หนี ก็จะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้
แล้วลองสังเกตุดูนะครับ ในการต่อสู้ระหว่างคนสองกลุ่ม จะมีตัวขุน คัวโคน ตัวม้าตัวเรือตัวเม็ด พวกเม็ดมากหน่อยเอาไว้แลกกันแทบจะหมดกระดาน ไม่ว่าจะฝ่ายอหิงสาหรือหิงสา ขุนจะตายเป็นตัวสุดท้าย ส่วนใหญ่แล้วไม่ทันได้ตาย เผ่นหนีก่อนตั้งแต่เสียโคนแล้ว แต่เอ๊ะ คุณเล่นหมากรุกเป็นหรือเปล่าไม่ทราบ พอจะบอกผมได้ไหม หมากกระดานนี้คุณเป็นตัวเม็ดหรือตัวอะไร?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 22:31
|
|
อยากทราบว่า นี่คือการกระทำที่สูญเปล่าหรือเปล่าคะ เหมือนจะไม่เกิดประโยชน์กับตนเองและสังคมแบบนี้เลย.
ถึงจะเป็นตัวเม็ดเอาไว้แลกเพื่อเปิดทาง ก็คงไม่ถึงกับสูญเปล่า แต่สิ่งที่สูญเสียไปจะคุ้มค่ากับการได้มาซึ่งเป้าหมายหรือเปล่า อันนี้ก็น่าคิด
ทุกครั้ง ผู้ชนะทางการเมืองก็ได้ดีใจในระยะสั้นๆ และแล้ว สัจธรรมเรื่องกิเลศมนุษย์ที่ผมว่าไปแล้วก็จะเป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นมาอีก สถานภาพต่างๆล้วนเกิดขึ้น ดิ้นอยู่ แล้วก็ดับไป เหมือนกันหมดไม่มีข้อยกเว้น ต่างกันที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ตอนมันดิ้นอยู่นี่ซีครับ เขาจะหลอกพวกเม็ดให้ไปเป็นทหารเลวตายก่อนพวกเขาทุกที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 06 ม.ค. 10, 22:34
|
|
แล้วสังคมที่น่าอยู่นั้นอยู่กันด้วยความฉลาดหรือคุณธรรมดี
คุณธรรมต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดนะครับ ความฉลาดที่ไร้คุณธรรมสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นและจะถึงตนเองในลำดับถัดไป ในสังคมที่ทุกคนมีคุณธรรม แม้จะไม่ฉลาดนักก็คงดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขได้ จนกว่าคนเลวภายนอกจะเข้ามาข้องแวะด้วย แล้วโง่ให้เขาหลอกจนเกิดทุกข์ขึ้นมาได้ ดังนั้น คนดีควรจะต้องพัฒนาตนเองให้ฉลาดด้วย จะได้ใช้เป็นเกราะป้องกันตนจากความเลวของผู้อื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 07 ม.ค. 10, 09:44
|
|
อ่านปุจฉา - วิสัชนา ด้วยความสนใจ และพอใจ สาธุ
คุณรุ้งส่งตัวแทนมาแล้ว ตอบได้โดนใจ เหมือนคุณรุ้งยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ คอยตอบคำถามแฟนหนังสือได้ เป็นเหตุให้คำถามที่สอง ตามมา ********************** ผู้อ่านอีกคนหนึ่งถามรุ้งว่า คุณรุ้งครับ ผมได้ข่าวผ่านทางตัวแทนคุณรุ้งว่า เมื่อมีอายุมากพอสมควรแล้ว คุณรุ้งอาจจะสละทางโลกหันเข้าหาทางธรรม จึงอยากถามว่า คุณรุ้งจะรู้สึกขัดแย้งกับหลักธรรมบ้างหรือเปล่า อย่างเช่นคุณรุ้งเคยเชื่อว่า " มนุษย์ทุกคนย่อมมีคุณสมบัติชั้นเลิศประจำตัวมิทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าหากเขามิใช่คนเด่นก็ด้วยเหตุคุณสมบัติของเขา ไม่ต้องกับความนิยมของชนแห่งสังคมตามกาลสมัย" (ความฝันของนักอุดมคติ พิมพ์ครั้งที่ ๙ หน้า ๑๗๘)
แต่พระพุทธเจ้า ท่านจำแนกมนุษย์ไว้เป็น ๔ เหล่า เรียกว่า บัว ๔ เหล่า ได้แก่ ๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู) ๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปจิตัญญู) ๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ) ๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
เมื่อคุณรุ้งเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีคุณสมบัติชั้นเลิศประจำตัวมิทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างนี้ แปลว่าพวกบัวใต้น้ำ ก็ยังมีคุณสมบัติเลิศได้ด้วยหรือครับ ถ้าอย่างนั้น คุณสมบัติที่ว่า หมายถึงอะไร หมายถึงทักษะ (skills) ฝีมือ (talent) หรือคุณธรรม (merit) กันแน่? โปรดวิสัชนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|