เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 8
  พิมพ์  
อ่าน: 125141 สมุดภาพสัตว์หิมพานต์
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


 เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:10

ภาพสัตว์หิมพานต์ส่วนใหญ่ เราจะพบได้ในภาพเขียนจากสมุดข่อยทั้งแบบเขียนสีและเขียนแบบขาวดำ ภาพจิตรกรรมฝาผนังตามพระอุโบสถ วัดวาอารามและลวดลายแกะสลักไม้ ลวดลายปูนปั้นต่างๆ รวมทั้งลายรดน้ำบนตู้ลายทองต่างแม้งกระทั่งบนบานโบสถ์ วิหาร เป็นที่เชื่อได้ว่า ภาพสัตว์หิมพานต์เกิดมีมาแล้วก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดังหลักฐานที่มีเรื่องราวปรากฎอยู่ในหนังสือเรื่องไตรภูมิพระร่วง การที่ได้ชื่อว่าภาพสัตว์หิมพานต์ก็เพราะว่า คนไทยในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า มีสถานที่อนห่างไกลที่เป็นที่อยู่ของผู้มีคุณวิเศษต่างๆมนุษย์ธรรมดายากที่จะไปถึง ช่างศิลปะของไทยจึงได้เกิดความบันดาลใจ คิดดัดแปลงไปต่างๆผูกเป็นลวดลายอ่อนช้อยงดงามตามเอกลักษณ์ของไทย ขั้นแรกก็คงทำจากจินตนาการแล้วต่อมาก็ประดิษฐ์ให้รูปร่างแปลกประหลาดออกไปตามต้องการ โดยนำหัวสัตว์บกมาต่อกับสัตว์น้ำบ้าง สัตว์ปีกมาต่อกับสัตว์บกบ้างและให้ชื่อต่างๆกันไปดังที่เห็นในภาพ ภาพสัตว์หิมพานต์ชุดนี้เป็นภาพจากสมุดไทยดำ เป็นภาพร่างของการผูกหุ่นรูปสัตว์เข้ากระบวนแห่พระบรมศพและพระศพเจ้านายบางพระองค์ ทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่3 จึงมีรูปมณฑปสำหรับวางผ้าไตรสำหรับเป็นเครื่องไทยทานถวายพระประกอบอยู่ในรูปด้วย(รูปประกอบเกริ่นนำ เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดสุทัศน์ผนังด้านหน้าพระประธาน ซึ่งวาดภาพป่าหิมพานต์ไว้ได้อย่างงดงามหาทีใดเปรียบ)และกระทู้นี้แม้ภาพประกอบจะเป็นขาวดำแต่อยากให้ผู้เข้ามาชมที่มีภาพสัตว์หิมพานต์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานเขียนสี งานปั้น งานแกะไม้ งานลายรดน้ำฯเข้ามาโพสต์ภาพอวดกัน เพื่อให้กระทู้นี้เป็นกระทู้รวมภาพสัตว์หิมพานต์ที่ดีกระทู้1ในเว็ปเลยครับ


บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:19

1.แรด(ระมาด)
            คำว่า “ระมาด” ในภาษาเขมรแปลว่าแรด ระมาดเป็นสัตว์หิมพานต์ที่ มาจากสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่อาจจะเพี้ยนไปบ้าง เพราะระมาด หรือแรดเป็นสัตว์ ป่าหายาก ศิลปินไทยในสมัยโบราณไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ระมาดหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้แต่วาดตามคำอธิบาย ระมาดที่ปรากฎในศิลปะไทยจึงดูคล้ายกับตัวสมเสร็จ ซึ่งมีจมูกเป็นงวงสั้นๆ ดูน่าจะเป็นพันธุ์ Malayan Tapir ที่มีอยู่ในเขตตะวันตกของประเทศไทย ตามประวัติศาสตร์แล้วคนไทยในกรุงเทพฯ มีโอกาส ได้เห็นแรดตัวจริงก็เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้าเมืองน่านส่ง ลูกแรดถวายตัวหนึ่ง จากนั้นรูปแรดที่ในตำรา สัตว์หิมพานต์ก็ถูกยกเลิกไป ไม่เขียนแบบสมเสร็จอีก นอกจากนี้ ระมาดยังเป็นพาหนะทรงของพระอัคนี เทพเจ้าแห่งไฟ ของศาสนาฮินดูด้วย


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:30

2.ม้าผ่าน
       ม้าเป็นสัตว์ที่อยู่คู่มนุษย์มาตั้งแต่โบราณกาล ม้ามีคุณประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการทำงานหรือแม้กระทั่งการสงคราม นั่นกระมังที่ทำให้มีการวาดรูปม้า หรือมีเรื่องเล่าของม้าในเกือบทุกอารยธรรม สัตว์ประเภทม้าในตำนานหิมพานต์ก็มีไม่น้อยทีเดียว ถ้าเล่าก็จะเป็นเรื่องยาว น่าจะหาข้อมูลเอาได้ไม่ยากนัก จึงไม่ขอกล่าวถึง


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:35

3.ช้างเผือกเขียว
ตำนานเกี่ยวกับช้างเผือกมีอยู่คู่คนไทยมาช้านาน ในตำนานพุทธประวัติ กล่าวว่าช้างเผือกนั้นคือสัญลักษณ์แห่งความรู้ และ การเกิด คืนก่อนวันประสูติของพระพุทธเจ้า พระมารดาของพระองค์ทรงสุบิณท์ ถึงช้างเผือก มอบดอกบัวให้พระนาง ดอกบัวอันหมายถึงความบริสุทธิ์และความรู้  ตำนานไตรภูมิ มีบทหนึ่งกล่าวถึงช้างเผือกว่า:" มหาราชมีครบซึ่งสิ่ง ๗ ประการ ภริยาที่สมบูรณ์ ขุมสมบัติคณานับ ผู้ปรึกษาแผ่นดินที่ดี ม้าที่วิ่งเร็ว กฎการปกครองที่ดี แก้วแหวนอันเป็นสิ่งสำคัญ และช้างเผือกที่สง่างาม"  เชื่อกันว่าช้างเผือกมีอิทธฤทธิ์เหนือช้างสามัญ ว่ากันว่ามีพลังดุจเทพแห่งสงคราม สำหรับกษัตริย์ของ ประเทศไทยและพม่าแล้ว การได้ครอบครองช้างเผือก เป็นอะไรที่สำคัญยิ่ง องค์ใดที่มีช้างเผือกหลายตัว จะเป็นกษัตริย์ ที่เกรียงไกร และจะนำพาบ้านเมืองสู่ความรุ่งโรจน์ หากช้างเผือกสิ้น ก็เป็นลางบแกเหตุเภทถัยแก่ ตัวกษัตริย์และแผ่นดินที่ปกครอง ราชันย์ในยุคก่อนจึงมุ่งมั่นที่จะได้ช้างเผือกมาอยู่ในความครอบครอง องค์ใดมีมากตัวก็สามารถให้ราชาเมืองอื่นเป็นของขวัญ เพื่อความเป็นมิตร ในบางคราก็มีการก่อสงครามแย่งชิงช้างเผือกก็มี  ในประเทศไทย ช้างเผือกเคยเป็นสัญลักษณของประเทศ เพราะเชื่อว่าสัตว์ชนิดนี้ศักดิ์สิทธิ์ แม้ปัจจุบันความเชื่อนี้ก็คงอยู่ ในรูป เรียกว่าช้างเผือกเขียว จะยกตัวอย่างจากตำราดูช้างมีช้างตระกูลอัคนิพงศ์ ช้างศุภลักษณ์ชื่อ”เทพคีรี”ตามตำราว่าไว้ดังนี้
”ช้างหนึ่งทรงนามลักขณา สมบูรรณกายา ประเสริติพร้อมดูดี
 มีนามชื่อเทพคีรี กายนั้นดังศรี ภูเขาอันเขียวสดใส
 เป็นช้างมงคลฦาไกร ควรคู่แต่ไท ธิราชเจ้าธรณี"
จริงๆแล้วช้างสีเขียวในตำราช้างยังมีอีกมากมาย แต่ขอเอ่ยไว้แต่เพียงเท่านี้


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:38

4.ครุฑ
ครุฑ เป็นสัตว์หิมพานต์ ในเทพนิยายที่เราค่อนข้างคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่เราพบเห็นกันอยู่เสมอตามที่ต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นหน้าธนาคาร ห้างร้านบางแห่ง บนธนบัตร บนเรือพระที่นั่ง ฯลฯ โดยเฉพาะในสถานที่หรือทรัพย์สินทางราชการ วรรณกรรมหลายเรื่องก็มีการกล่าวถึงครุฑ เช่น เรื่องอุณรุท แต่ที่คนไทยรู้จักกันดี ก็คือครุฑในเรื่องกากี อย่างไรก็ตาม  แม้คนส่วนใหญ่จะได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับครุฑมาบ้างแล้ว แต่เชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่ยังไม่ค่อยทราบประวัติของครุฑ ดังนั้น  กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่องของ “ครุฑ” จากส่วนหนึ่งในสารานุกรมของเสฐียรโกเศศ ปราชญ์เอกของไทยมาเล่าให้ฟัง ดังนี้
            ครุฑ เป็นพญานกที่มีรูปครึ่งมนุษย์ ครึ่งนกอินทรี  เป็นเทพพาหนะของพระวิษณุ เป็นโอรสของพระกัศยปมุนี และนางวินตา  พระกัศยปมุนีเป็นฤษีที่มีอำนาจมากตนหนึ่ง  นอกจากนางวินตาแล้ว ก็ยังมีนางกัทรู ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาเป็นภริยาอีกคน  โดยนางกัทรูได้ขอพรจากสามีให้มีลูกจำนวนมาก และต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอลูกเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา  ต่อมานางได้คลอดลูกออกมาเป็นไข่สองฟอง คือ อรุณ และครุฑ  ซึ่งต่อมาอรุณได้ไปเป็นสารถีของสุริยเทพ   ส่วนครุฑเมื่อแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ  เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย  รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ  ครั้งหนึ่งนางกัทรูและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าที่เกิดคราวกวนเกษียรสมุทร โดยว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี  นางวินตาทายว่าม้าสีขาว แต่นางกัทรูทายว่าสีดำ   ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรูใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสและถูกขังอยู่ในแดนบาดาลถึงห้าร้อยปี  ทำให้ครุฑและนาคต่างก็ไม่ถูกกันนับแต่นั้น    ครั้นต่อมาครุฑได้ทราบความจริงถึงอุบายของนางกัทรู  แต่เพื่อช่วยแม่ให้เป็นอิสระ ครุฑจึงได้ทำความตกลงกับพวกพญานาคที่ต้องการเป็นอมตะว่าจะไปนำน้ำอมฤตที่อยู่กับพระจันทร์มาให้  ครั้นแล้วก็บินไปสวรรค์ คว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก  แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น แต่ทวยเทพทั้งหมดแพ้ครุฑ  ยกเว้นพระวิษณุเท่านั้นที่ไม่แพ้ แต่ก็แย่ไปเหมือนกัน  ดังนั้นต่างจึงทำความตกลงหย่าศึก  โดยพระวิษณุหรือพระนารายณ์สัญญาว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะ  และให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์  ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าขอเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า  นี่เองจึงเป็นที่มาว่าเหตุใดครุฑจึงเป็นพาหนะของพระวิษณุ ส่วนหม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส  และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง  เมื่อครุฑเอาน้ำอมฤตไปให้นาคก็วางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา ๒-๓หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคล ใช้ประพรมน้ำมนต์  ส่วนงูเมื่อเห็นน้ำอมฤตบนหญ้าคาก็ไปเลียกิน ด้วยความไม่ระวัง จึงถูกคมหญ้าคาบาดกลางเป็นทางยาว งูจึงมีลิ้นแตกเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้)   ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดีปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ  ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน และยิ่งเพิ่มความเป็นศัตรูกับครุฑยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ดี มีเรื่องเล่าต่อมาว่า จากการที่พระอินทร์ได้ให้พรครุฑ จับนาคเป็นอาหารได้นั้น ทำให้พญานาควาสุกรีเกรงว่านาคจะสูญพันธุ์ จึงตกลงจะส่งนาคไปให้ครุฑกินที่ชายหาด วันหนึ่งถึงคราวของนาคหนุ่มชื่อสังขจูทะ จะต้องไปเป็นเหยื่อ แม่ก็ตามมาด้วยความรักและอาลัย ขอรัองอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ  วิทยาธรตนหนึ่งชื่อว่า ชีมูตวาหน เป็นผู้มีใจบุญสุนทานตัดแล้วซึ่งโลกีย์วิสัย ได้มาพบ ก็สอบถามได้ความแล้ว จึงเสนอตัวเองปลอมเป็นนาคให้ครุฑกินแทน ปรากฏว่าขณะที่ครุฑกำลังกินนาคปลอม แทนที่จะแสดงความเจ็บปวด ชีมูตวาหนกลับแสดงความปลื้มใจจนครุฑผิดสังเกตว่าต้องผิดตัวแน่   แต่สอบถามก็ไม่ยอมรับ ขณะนั้นเองนาคสังขจูทะก็ได้มาแสดงตัว ว่าตนคือเหยื่อของครุฑ เมื่อทราบความจริง ครุฑก็เกิดความสำนึกบาป และซาบซึ้งในความเสียสละของชีมูตวาหน    จึงวิ่งเข้าไปในกองไฟหมายจะฆ่าตัวตายเพื่อชำระบาป แต่ชีมูตวาหนได้ร้องห้าม  และว่าหากจะหยุดทำบาปก็ให้เลิกกินนาคเป็นอาหารต่อไป  ครุฑก็เชื่อและได้เหาะไปนำน้ำอมฤตมาประพรมกระดูกนาคที่ตนเคยจิกกินมาแต่กาลก่อน  จนนาคทั้งหมดได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่
            ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา  โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุ  ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ ๑๕๐ โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ครุฑมีชื่อเรียกหลายนาม เช่น กาศยปิ และเวนไตย อันเป็นชื่อสืบมาจากกัศยปและวินตา บิดามารดา สุบรรณ หมายถึง ผู้มีปีกอันงาม ครุตมาน เจ้าแห่งนก  สิตามัน มีหน้าสีขาว รักตปักษ์ มีปีกแดง เศวตโรหิต มีสีขาวและแดง สุวรรณกาย มีกายสีทอง  คคเนศวร เจ้าแห่งอากาศ  ขเคศวร  ผู้เป็นใหญ่แห่งนก  นาคนาศนะ ศัตรูแห่งนาค  สุเรนทรชิต ผู้ชนะพระอินทร์  เป็นต้น
            นอกจากตำนานข้างต้นแล้ว ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง  โดยเฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์  ดังนั้น  ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์  จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์  ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น  ซึ่งจากการที่เราใช้ “ตราครุฑ” เป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล  ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย  เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ  ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า “ธงมหาราช” เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๔  ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ ๓ ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค  เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค   และ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
            นอกเหนือจากการที่ “ตราครุฑ” ปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว   ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย  โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า “โดยได้รับพระบรมราชานุญาต” ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้  แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย  ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน ปัจจุบันการขอพระราชทานตราตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง  เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต  ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล  สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวังเรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:40

5.นกเทศ
อาจจะเพี้ยนมาจากคำว่านกกระจอกเทศ แต่ก็ไม่มีที่ยืนยันเพราะในรูปไม่มีส่วนใดคล้ายนกกระจอกเทศแต่อย่างใด มีแต่หน้าเป็นนกปากอย่างครุฑ มีหางอย่างไก่ มีสีหงชาด(แดงอ่อน)น่าจะเกิดจากจินตนาการของศิลปินผู้สร้างเป็นแน่


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:42

6.นกอินทรี
นกอินทรีหรือ Eagle เป็นนกขนาดใหญ่ที่มีอยู่จริงอยู่ในโลกปัจจุบันแต่ในป่าหิมพานต์ แตกต่างจากนกอินทรีในความจริงโดยสิ้นเชิง ตามจินตนาการของช่าง นกอินทรีในป่าหิมพานต์ มีสีเขียวอ่อนมีปีกและหางสีหงดิน(น้ำตาลอ่อน)


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 21:49

7.นกหัสดิน(นกหัสดี ,นกหัสดีลิงค์)
     เป็นชื่อนกใหญ่ชนิดหนึ่งในเทวนิยายว่า อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ รูปตัวส่วนใหญ่เป็นนก เว้นแต่จงอยปากเป็นงวงอย่าง งวงช้าง ชื่อนกหัสดีลิงค์ไม่ค่อยปรากฎในเทวนิยาย คนส่วนมากทราบเรื่องนกขนาดใหญ่ในนิยายก็มี เช่น หงส์ พญาครุฑ นกหัสดิน สำหรับนกหัสดินบ้างก็ว่า รูปร้างเป็นนกทั้งตัว ใหญ่โต ขนาดโฉบเฉี่ยวเอาช้างในป่าไปกินเป็นอาหารได้ ไม่เกี่ยวโดยตรงกับนกหัสดีลิงค์นกที่มีจงอยปากเป็นงวงช้างนี้(แต่ในรูปนี้มีงวงเป็นช้าง)ถ้าเป็นนกหัสดีลิงค์ ปรากฏในภาษาบาลีว่า หัตดีลิงค์สกุโณ (หัตดี คือ ช้าง ลิงค์ แปลว่า เพศ สกุโณ แปลว่า นก) ในภาษาสันสกฤต คือ หัสดิน ลิงคะ แปลอย่างเดียวกัน ไทยเลือกใช้คำว่า หัสดีลิงค์ แปลกที่คำนี้ไม่มีในปทานุกรม กรมตำรากระทรวงธรรมการ พิมพ์ พ.ศ.2470 ไม่มีในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493 และ พ.ศ.2525 ค้นคว้าต่อไปพบในอักขราภิธานศรันท์ ของหมอปรัดเล พิมพ์ พ.ศ.2416 หน้า 328 และพบในปทานุกรม บาลีไทย-อังกฤษ-สันสกฤต ของกรมพระจันทบุรีนฤนาถ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.2513 หน้า 867 หรือแม้ในบาลีสยามอภิธานของนาคะประทีป เรียบเรียงไว้ พ.ศ.2465 ก็มีปรากฏคำนี้อยู่ แสดงว่าคนไทยเรารู้จักคำนี้มานาน พจนานุกรมภาคอีสาน - ภาคกลาง ฉบับปฏิธาน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส) ก็รักษาคำนี้ไว้ ชาวอีสานรุ่นเก่า รู้จักนกหัสดีลิงค์ โดยเหตุที่งานศพเจ้านายผู้ใหญ่ พระเถระผู้ใหญ่ หรืองานศพท่านผู้มีวาสนาบารมีสูงยิ่ง มักจัดงานศพโดยสร้างรูปนกหัสดีลิงค์ มีพิธีบวงสรวงก่อนสร้างรูปนก นกนั้นขนาดใหญ่ รองรับหีบศพได้ นิยมสร้างในวัดใกล้บ้านผู้ตาย จัดหาช่างและวัสดุเครื่องสังเวยให้พร้อม เพียงแต่เริ่มสร้าง ก็เป็นที่สนใจของคนทั่วไป นกนั้นสร้างแบบมีชีวิต เช่น หันศีรษะได้ งวงม้วนได้ ตากระพริบ หูกระดิก มีเสียงร้องได้ด้วย หลังนกมีที่ว่างพอสำหรับพระภิกษุนั่งอ่านคัมภีร์หน้าศพไปด้วย พิธีต้องจัดกระบวนญาตินุ่งขาวห่มขาวตามหลังศพ มีฆ้องดนตรีธงต่างๆ ถ้ามีเครื่องยศของผู้ตาย ก็ต้องเข้าขบวนด้วย
          เนื่องจากศพแต่ละงานมีฐานะต่างกัน บางงานกำหนดเผาที่วัด บางงานกำหนดเผาที่ทุ่งกลางเมือง การนำศพเคลื่อนจากที่ตั้งกระบวนไปยังที่เมรุ เขานิยมใช้ตะเฆ่รองรับฐานของนกหัสดีลิงค์ มีเชือก  3 สายผูกที่ฐานล่างของนกให้ญาติและชาวบ้านชักลากไป ถ้าเป็นศพเจ้าเมืองหรือศพพระเถระผู้ใหญ่สมัยเก่า เขาเล่ากันว่า คนทั้งเมืองมาช่วยกันลากศพนั้นๆผช้าๆ งานใหญ่ๆ เช่นนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ โรงทาน น้ำกินน้ำใช้ ต้องบริบูรณ์ตลอดงาน ครั้นศพถึงเมรุ ผู้เข้าพิธีในงานจัดกำลังไว้ยกนกหัสดีลิงค์ที่บรรจุหีบศพเข้าเทียบในเมรุ วัตถุประสงค์ในการทำนกหัสดีลิงค์ คือ นกใหญ่เช่นนั้น มีฤทธิ์กำลังมาก แสดงว่าผู้ตายมีบุญบารมีมาก จึงอยู่บนหลังนกนั้นได้ และเมื่อจะทำฌาปนกิจ ต้องมีพิธีฆ่านกหัสดีลิงค์เสียก่อนประชุมเพลิง ลำดับงานอย่างเช่น เมื่อศพเทียบเมรุแล้ว สวดอภิธรรม มีสมโภชน์ศพตามกำลังของเจ้าภาพและญาติ จนกระทั่วถึงกำหนดวันประชุมเพลิง เจ้าพิธีจัดเครืองบวงสรวงเชิญผู้ที่กำหนดตัวเป็นผู้ทำพิธีฆ่านกหัสดีลิงค์ ผู้จะฆ่านก ต้องฟ้อนรำตรงไปที่ตัวนก รำไปรอบตัวนก 3 รอบ แล้วใช้ศรยิงไปที่ยังตัวนก เขาสมมุติกันแล้วว่า จะเสียบลูกศรเข้าไปจุดใดของนก ทำเครื่องหมายไว้ พอลูกศรเสียบตัวนก คนที่เตรียมไว้ภายในตัวนก จะเทสีแดงออกมาจากรอยลูกศร คนภายในตัวนกจะส่งเสียงร้อง แล้วการเคลื่อนไหวของนกจะช้าลงจนหยุดนิ่ง คือ นกตายไปแล้ว ในท้องนกเขาเตรียมฟืนไว้แล้ว เจ้าพิธีเลื่อนหีบศพลงชิดกองฟืน ทอดผ้าบังสุกุล แล้วประชุมเพลิงตามอย่างงานทั่วไป
ขอพักไว้แค่นี้ก่อน เมื่อวานไข้ขึ้น วันนี้ก็ไม่ค่อยสบายตัวทั้งวัน


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
virain
นิลพัท
*******
ตอบ: 1655


AmonRain


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 23:20

กำลังหยุดอยู่ที่สัตว์ปีกพอดีเลย เลยเอาภาพนี้มาลงเพิ่มเติมตามเจตนารมย์ของพี่ยีนส์ที่อยากรวบรวมภาพสัตว์หิมพานต์ไว้ในกระทู้นี้
เป็นรูปจำหลักไม้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เป็นรูปสัตว์ปีกชนิดหนึ่งแต่ปนเปกับสัตว์อื่นหลายชนิด แต่ด้วยเพราะความจำสั้น
จำไม่ได้ว่าเขาเขียนอธิบายไว้ว่าอะไรต้องขออภัยด้วยครับ
 


บันทึกการเข้า
virain
นิลพัท
*******
ตอบ: 1655


AmonRain


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 23:37

ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ละเอียดๆด้วยครับ และขอให้หายไวๆ รักษาสุขภาพด้วยครับ


บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 23:40

รูปของน้องเนเป็นม้าผสมนกเรียก อัสดรวิหค เป็นม้าผสมที่เกิดจากม้าและนก ร่างกายเป็นม้ามีสีเหลืองเป็นสีพื้น ส่วนหัวเป็นนก มีขนคอเป็นสีส้มแดง ปีกมีสีแดงชาด กีบและหางมีสีดำ อัสดรวิหคสามารถ เหาะเหินเดินอากาศได้เพราะ ปีกที่มีพละกำลังมหาศาล เช่นเดียวกับม้าผสมประเภทมีปีกเช่น ม้าปีกและดุรงค์ปักษิณ อัสดรวิหคเป็นสัตว์ที่กิน ทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร อาหารหลักของอัสดรวิหคได้แก่ แมลง สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ตัวเล็กๆ และ เมล็ดพืช
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 23:43

รูปที่2ของน้องเน นกเทศหรือนกอินทรี 2นกนี้คล้ายกันมาก
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 23:51

8.หงส์
            เป็นนกในป่าหิมพานต์ มีเสียงไพเราะ ผิดกับหงส์หรือ swan ของฝรั่งซึ่งเป็นสัตว์ปีกที่อยู่ในน้ำ ขนมีสีขาวหรือสีดำ และไม่มีเสียง หงส์ของไทยซึ่งได้คติความเชื่อมาจากเทพปกรณัมอินเดีย ว่าเป็นพาหนะของพระพรหม เป็นนกที่มีรูปงาม มีศักดิ์สูง มักถือตัว ไม่คบหาปะปนกับนกอื่น หงส์จึงมักนำมาใช้เปรียบเทียบชั้นของบุคคลที่มีชาติกำเนิดและมีศักดิ์สูง ซึ่งต้องรักษาเกียรติของตนไว้ไม่ทำให้มัวหมอง รูปหงส์นิยมทำเป็นประติมากรรมประดับพุทธศาสนสถาน เช่น ประดับหน้าบัน ประดับหัวเสา ทำแท้ทวย ทำเป็นราวเทียน หรือ ทำเป็นเรือ เช่น เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ส่วนจีนก็มีนกทิพย์ เรียกในสำเนียงแต้จิ๋วคล้ายกันว่า หง มีลักษณะแตกต่างจากหงส์ของอินเดีย ฝรั่งแปล หง ของจีนว่า phoenix หงเป็นนกที่มีลักษณะคล้ายพญาลอ ตามรูปที่นิยมวาดเป็นรูปครึ่งนกยูงครึ่งพญาลอ มีสีสลับกันเป็นห้าสี หงเป็นเครื่องหมายของพระราชินีของจีน ส่วน phoenix เป็นนกในนิยายของฝรั่ง อาศัยอยู่ในทะเลทรายอาหรับ มีอายุยืน ๕-๖ ศตวรรษ แล้วจะเผาตัวเองไหม้เป็นเถ้าถ่าน และเถ้านั้นจะกลับกลายเป็นนก phoenix หนุ่มตัวใหม่ซึ่งจะมีอายุยืนต่อไปอีก ๕-๖ ศตวรรษ


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 17 พ.ย. 09, 00:09

9.อัปสรสีหะ
           มักเขียนเป็นรูปมนุษย์ผู้หญิงครึ่งบนช่วงล่างเป็นกวาง เป็นจินตนาการของช่างอีกอย่างหนึ่ง เมื่องานพระเมรุสมเด็จพระพี่นางฯที่ผ่านมาก็มีการทำอัปสรสีหะประกอบพระเมรุด้วยแถมยังทำใส่นาฬิกหน้าฝรั่งเสียด้วยจนถูกเรียกว่าลูกครึ่ง

         




คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
jean1966
สุครีพ
******
ตอบ: 1256


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 17 พ.ย. 09, 00:16

10.นกทัณฑิมา
            เป็นนกที่มีหัวเป็นนก ตัวเป็นครุฑ มีไม้เท้าหรือกระบอง ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ อธิบายว่า “นกทัณฑิมาเป็นนกในพวกสัตว์หิมพานต์ รูปเป็นครุฑ ถือกระบอง” ไทยจัดเป็นสัตว์ในนิยาย ภาพจิตรกรรมที่วาดรูปนกทัณฑิมาเป็นรูปนกที่มีมือที่ปลายปีกเหมือนครุฑ แต่มีหัวและหน้าเป็นนก เนื่องจากเป็นนกที่มีอาวุธติดตัว จึงได้นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ที่คอยคุ้มกันอันตราย เช่น เมื่อทำลายเสื้อ ก็ให้หมายความว่า นกทัณฑิมาจะคุ้มครองผู้ที่สวมใส่ให้พ้นอันตราย เป็นต้น ในภาษาบาลีมีกล่าวถึงชื่อนกทัณฑมานวก แต่เพียงว่าเป็นนกตัวเล็กนิดเดียว ปากยาวดุจไม้เท้า เที่ยวจดจ้องหาปลาอยู่ตามหนองบัว


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.083 วินาที กับ 19 คำสั่ง