luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อ 24 พ.ย. 09, 16:25
|
|
ทิ้งไปหลายวัน วันนี้ได้ฤกษ์มาเล่าต่อแล้วครับ
รุ่งขึ้นเช้า พลายยงกับไพร่พลทหารกรุงศรีอยุธยาทั้งห้าร้อยที่อาสาไปรบ ก็จัดแจงแต่งตัวเตรียมตัวออกรบ เมื่อได้เวลาเคลื่อนพลก็ลั่นฆ้องโห่เอาชัย เคลื่อนพลออกจากเมือง พวกจีนเมืองตังจิ๋วต่างพากันมามุงดูพวกทหารไทยพร้อมทั้งร้องอวยพรให้ได้ชัยชนะแก่ข้าศึก
ฝ่ายงวนบุนเจ๋งกับจาหลีบุนที่ยกทัพมาตั้งค่ายล้อมเมืองตังจิ๋วไว้ เมื่อได้เห็นทัพไพร่พลยกออกมาจากเมืองตังจิ๋ว ก็รีบแต่งไพร่พลอาวุธครบมือ จำนวนเจ็ดพันคนไปประจัญหน้ากับทัพพลายยง
เมื่อทัพทั้งสองมาเผชิญหน้ากัน ก็มีการประทะคารมกันเล็กน้อยก่อนจะลงมือสู้รบ โดยฝ่ายงวนบุนเจ๋งร้องถามไปก่อนว่า พวกไทยเหล่านี้มาแต่ไหน ตัวแม่ทัพชื่ออะไร และไพร่พลเอามาเท่านี้คง "จะพามาจิ้มฟันมั่นแม่นแท้" ฝ่ายพลายยงได้ยินเขาร้องถามเช่นนั้นแล้วตอบไปว่า ท่านไม่รุ้จักเราจงดูเอาไว้ เรามาแต่กรุงศรีอยุธยา เป็นหลานพลายแก้ว ลูกพลายงาม ชื่อพลายยง เป็นทหารใหญ่ในกรุงศรีอยุธยานั้น เดิมเจ้าเมืองตังจิ๋วเป็นเมืองขึ้นแก้กรุงปักกิ่ง ท่านยกทัพมาล้อมเมืองเขาไว้เยี่ยงนี้ไม่เกรงกลัวอำนาจพระเจ้ากรุงปักกิ่ง เมืองตังจิวเห็นว่ากรุงปักกิ่งนั้นไกลนัก เมืองตังจิ๋วจึงได้ส่งสารไปกรุงไทยให้ยกทัพมาช่วยปราบพวกเจ้า ถึงพวกเราจะมาแค่ห้าร้อยก็มีฤทธิ์มาก และว่า "ถ้ากลัวตายให้เตี่ยมาเชี้ยกู หาไม่หัวสูจะขาดสิ้น จะย่อยยับเป็นระดับทั้งแผ่นดิน ตัวตีนหัวขาดเพราะฟาดฟัน"
งวนบุนเจ๋งก็โต้ว่า นี่ไม่ใช่กงการอะไรของท่าน พวกจีนกับจีนรบกัน เจ้าเมืองตังจิ๋วเป็นคนชั่ว ไม่เกรงกลัวเราผู้เป็นเมืองใหญ่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น จึงได้ยกทัพมาล้อมเมือง เช่นนี้หาได้เป้นเหตุเกี่ยวข้องกับไทยไม่ แล้วก็ว่า "มิตายเพราะมือกูก็ดูเอา จะเจ้าไปใช้กวาดตึกพลัน" จากนั้นก็สั่งให้จาหลีบุนขับม้าเข้ารบกับพลายยงและให้ไพร่พลของตนเข้าตีพวกไทยทันที
ด้านพวกไทย ก่อนจะรบกับพวกจีนเมืองอ้ายมุ่ยกุยตั๋ง ก็หยอกล้อกับพวกจีนเหล่านั้นดังนี้ (ติดจะทะลึ่งอยู่บ้าง)
"ทั้งห้าร้อยตัวกลั่นมั่นคง โห่ส่งเยาะเล่นไม่เว้นตัว หลกก้นเลิกผ้าฮ้าของพ่อ จะมาต่อสู้ไทยอ้ายหัวตะกั่ว ถึงมึงล้อมกูไว้กูไม่กลัว ยิงหัวตุ๊ดตู่ของกูยาว พวกทัพอ้ายมุ่ยถึงเจ็ดพัน อายย่าหัวสั่นยิงฟันขาว แลเห้นของไทยมันใหญ่ยาว ด่าฉาวอิไนติกำพู้ ฉวยได้ปืนสั้นลั่นยิงตึง พวกไทยยืนขึงเป็นหมู่หมู่ แหวกผ้าไพล่ขาออกให้ดู อ้ายเจ๊กกรูเกรียวเข้าเหล่าอาแป๊ะ"
จากนั้นก้เป็นการบรรยายการรบ วึ่งพวกไทยแม้จะถูกพวกจีนเมืองอ้ายมุ่ยกุยตั๋งยิงฟันแทงอย่างไรก็ไม่เข้าไม่มีบาดแผล แต่พวกจีนถูกพวกไทยแทงฟันกลับตายเกลื่อนกลาดสมรภูมิ
ฝ่ายพลายยงต่อสู้กับจาหลีบุน ถูกจาหลีบุนฟันด้วยง้าวสามทีไม่เป็นไร แต่พลายยงฟันง้าวถูกจาหลีบุนคอขาดตกม้าตาย งวนบุนเจ๋งเห้นน้องของตนเสียท่าแก่ข้าศึกก็เข้ามาสู้กับพลายยงแต่ก็ถูกพลายยงเสกรัตคดมัดตัวเอาไว้ได้ พวกจีนเมืองอ้ายมุ่ยกุยตั๋งเห้นนายตนถูกจับก็เสียกระบวนทัพ ถูกพวกไทยจับเป็นเชลยได้เอาเชือกผูกคอมา เมื่อได้ชัยชนะและตามเชลยได้หมดแล้ว พลายยงก็ให้ไพร่พลเลิกทัพกลับเข้าเมืองตังจิ๋ว.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 76 เมื่อ 25 พ.ย. 09, 09:00
|
|
กวีที่แต่งตอนนี้คงตั้งใจจะให้พลายยงเป็นพระเอก รบเก่งแบบเดียวกับพ่อและปู่ คงไม่ได้นึกถึงลูกชายนางศรีมาลาที่มาปราบพลายยงได้ทีหลัง สำนวนภาษาในตอนนี้ หนักกว่าครูแจ้งเสียอีก เดาว่าเป็นกวีชั้นหลังตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ถ้าสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงชำระ อาจจะทรงแต่งเสียใหม่แทน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 77 เมื่อ 25 พ.ย. 09, 09:30
|
|
เห็นด้วยกับความเห็นของคุณเทาชมพู
พลายยงคงจะเป็นพระเอกเฉพาะตอนนี้เท่านั้น หลังจากตอนนี้ไปแล้ว พลายยงจะกลายเป็นผู้ร้าย เพราะนางสร้อยฟ้ายุให้พลายยงให้ไปฆ่านางศรีมาลา เพื่อชำระแค้นในอดีต พลายยงจึงส่งแสนคำอินพาพรรคพวกไปบุกฆ่านางศรีมาลาที่บ้าน โชคดี กุมารทองและโหงพรายช่วยป้องกันนางศรีมาลาไว้ได้ จึงไม่ถูกแสนคำอินและพวกฆ่าตาย แต่นางศรีมาลาก็ถูกฟันเป็นแผลฉกรรจ์ตกน้ำลอยไปติดท่าหน้าวัดเรไร จากนั้น พลายยงกับนางสร้อยฟ้าก็รีบเดินทางพร้อมไพร่พลของตนกลับเชียงใหม่ในคืนที่เกิดเหตุนั้นทันที และก็กลายเป็นเหตุให้พลายเพชรพลายบัวต้องเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อไปแก้แค้นให้นางศรีมาลา กลายเป็นสงครามพี่น้องต่างมารดาอีกยาว และไม่จบด้วย ลักษณะเรื่องคล้ายๆ กับพระอภัยมณีตอนปลายที่ต่อจากฉบับหอสมุดแห่งชาติ ไม่ทราบว่าได้อิทธิพลแก่กันหรือเปล่า?
ส่วนที่ว่าสำนวนภาษาในตอนนี้ หนักกว่าครูแจ้งเสียอีก เดาว่าเป็นกวีชั้นหลังตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ ถ้าสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงชำระ อาจจะทรงแต่งเสียใหม่แทน คนแต่งคงเป็นเช่นที่คุณเทาชมพูเสนอ และคงเป็นสำนวนนอกวัง สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงพิจารณาแล้ว จึงไม่ทรงชำระเสภาภาคปลายต่อ เพราะไม่เช่นนั้นคงมีภาคปลายตั้งแต่สมัยของพระองค์แล้ว และพระองค์คงไม่ทรงพระนิพนธ์ใหม่ให้เสียเวลาหรอกครับ เพราะนั่นเท่ากับเป็นเสภาของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ซึ่งคงต้องตราหน้าปกว่า เป็นเสภาของพระองค์ทรงพระนิพนธ์ แทนที่จะว่าเป็นฉบับหอพระสมุดฯชำระ จะกลายเป็นว่าพระองค์จะพลอยทรงถูกครหายิ่งกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ยิ่งขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 78 เมื่อ 25 พ.ย. 09, 09:44
|
|
พระองค์คงไม่ทรงพระนิพนธ์ใหม่ให้เสียเวลาหรอกครับ เพราะนั่นเท่ากับเป็นเสภาของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ซึ่งคงต้องตราหน้าปกว่า เป็นเสภาของพระองค์ทรงพระนิพนธ์ แทนที่จะว่าเป็นฉบับหอพระสมุดฯชำระ จะกลายเป็นว่าพระองค์จะพลอยทรงถูกครหายิ่งกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ยิ่งขึ้น เข้าใจความเห็นของคุณหลวง แต่ขอค้านนิดหน่อยว่า สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ท่านก็นิพนธ์บางตอนในฉบับหอพระสมุดเหมือนกัน ทรงเล่าไว้เองว่า "แต่หนังสือบทนี้ได้มา ฉบับขาดเพียงพลายงามเข้าไปถึงเตียงนอนนางศรีมาลา ต่อนั้นต้องช่วยกันแต่งในหอสมุด ไปจนถึงบทพลายงามชมดง จึงต่อบทของครูแจ้งไปตลอดส่วนเรื่องพลายยง สมเด็จฯท่านสรุปไว้สั้นๆว่า " ตอนต่อไปนั้น คือตอนพลายยงไปเมืองจีนก็ดี ตอนพลายเพชรพลายบัวก็ดี เห็นไม่มีสาระในทางวรรณคดี จึงไม่พิมพ์"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 79 เมื่อ 26 พ.ย. 09, 08:12
|
|
ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าว่า "แต่หนังสือบทนี้ได้มา ฉบับขาดเพียงพลายงามเข้าไปถึงเตียงนอนนางศรีมาลา ต่อนั้นต้องช่วยกันแต่งในหอสมุด ไปจนถึงบทพลายงามชมดง จึงต่อบทของครูแจ้งไปตลอด" ตรงข้อความที่เน้น แสดงว่า สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ไม่ได้ทรงพระนิพนธ์เสภาตอนดังกล่าวเพียงลำพังพระองค์ ต้องมีผู้อื่นที่อยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณร่วมแต่งเสภาตอนนี้ด้วย แต่จะเป็นใครนั้น ยังไม่มีข้อมูลพอที่จะสันนิษฐานได้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 80 เมื่อ 26 พ.ย. 09, 08:42
|
|
สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ท่านก็นิพนธ์บางตอนในฉบับหอพระสมุดเหมือนกัน ทรงเล่าไว้เองว่า
"แต่หนังสือบทนี้ได้มา ฉบับขาดเพียงพลายงามเข้าไปถึงเตียงนอนนางศรีมาลา ต่อนั้นต้องช่วยกันแต่งในหอสมุด ไปจนถึงบทพลายงามชมดง จึงต่อบทของครูแจ้งไปตลอด ตรงนี้มีข้อมูลจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพท่านทรงพระนิพนธ์เสภาตอนนี้ด้วยพระองค์เอง โดยทรงตั้งพระทัยให้มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมฝรั่งสมัยวิกตอเรียอยู่ด้วย คือแหม่มสมัยนั้นเวลามีเหตุทำให้ตกใจแล้วมักเป็นลมล้มพับไปทุกที คุณชายคึกฤทธิ์ท่านว่าวัฒนธรรมสมัยวิกตอเรียนี้แพร่เข้ามาในสยามเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๕ เสภาตอนนี้จึงเป็นเสมือนดัชนีบอกเวลาในการแต่งเรื่องอยู่ด้วย เมื่อพลายงามเข้าไปในห้องนางศรีมาลา เห็นนางหลับอยู่ด้วยฤทธิ์ของมนตร์สะกด จึงคลายมนตร์ แล้วกระไอให้เสียง ครานั้นศรีมาลานารี รู้สึกสมประดีได้ยินเสียง ลืมตาเห็นชายอยู่ปลายเตียง เจ้ามองเมียงจำได้ว่าพลายงาม นึกสำคัญในจิตคิดว่าฝัน ไม่หวาดหวั่นยิ้มแล้วก็ทักถาม นึกอย่างไรใจกล้าเข้ามาตาม จะเกิดความงามหน้าพากันอาย เจ้าพลายได้ฟังเข้านั่งอิง นางรู้ว่าคนจริงมิ่งขวัญหาย ตกใจเพียงจะดิ้นสิ้นใจตาย ร้องว้ายแล้วก็ซบสลบไป
นางศรีมาลาก็ได้เป็นฝรั่งสมใจนึกตรงนี้เอง

|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อ 26 พ.ย. 09, 11:42
|
|
พอมาถึงบทอัศจรรย์ของพลายงามกับศรีมาลา คุณชายคึกฤทธิ์สารภาพว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพหรือไม่ แต่รู้สึกว่าเข้าที ตอนที่เปรียบเทียบว่าพลังความรักของหนุ่มสาวรุนแรงดุจดังพลังธรรมชาติอื่น ๆ ทั้งหนุ่มสาวคราวแรกภิรมย์รัก ไม่ประจักษ์เสน่หามาแต่ก่อน กำเริบรักเหลือทนทุรนร้อน พอร่วมหมอนก็เห็นเป็นอัศจรรย์ เหมือนเกิดพายุกล้ามาเป็นคลื่น ครืนครืนฟ้าร้องก้องสนั่น พอฟ้าแลบแปลบเปรี้ยงลงทันควัน สะเทือนลั่นดินฟ้าจลาจล นทีตีฟองนองฝั่งฝา ท้องฟ้าโปรยปรายด้วยสายฝน โลกธาตุหวาดไหวในกมล ทั้งสองคนรสรักประจักษ์ใจความจริงบทรักตอนนี้ของสองหนุ่มสาวมีฉบับของครูแจ้งด้วย แต่ไม่ผ่านการเซนเซอร์จากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 82 เมื่อ 26 พ.ย. 09, 13:02
|
|
เล่าเสภาพลายยงอาสาไปรบที่เมืองตังจิ๋วต่อครับ
เมื่อพวกทหารไทยกลับเข้าในเมืองตังจิ๋ว ด้วยความหิวโซจากการสู้รบจึงเข้ายิ้อแย่งสินค้าที่พวกจีนค้าขายเอามากินเป็นที่วุ่นวายไปทั้งตลาด (ฉากตอนนี้คล้ายกับตอนที่พวกพระท้ายน้ำวซึ่งถูกเชียงใหม่ อาละวาดที่กาดกลางเมือง) ฝ่ายพวกจีนเมืองตังจิ๋วทราบว่าพวกไทยที่ออกไปรบได้ชัยชนะก็โห่ร้องรับด้วยความดีใจเอาสิ่งของมาให้ทหารไทยมากมาย พลายยงพาทหารไทยทั้งห้าร้อยเข้าไปที่ตึกเจ้าเมืองตังจิ๋ว แล้วพลายยงก็รายงานการสู้รบกับพวกเมืองอ้ายมุ่ยกุยตั๋งให้เจ้าเมืองฟังว่า
"ไปรบทัพจับงวนบุนเจ๋งมา กับจีนไพร่ได้ห้าหกสิบคน แต่พื้นตายก่ายกันยับนับห้าพัน เหลือนั้นแตกไปในไพรสณฑ์ ฟันจาหลีบุนหมุนวายชนม์ เป็นน้องตนของงวนบุนเจ๋งมา"
จอจิหลังเจ้าเมืองได้ฟังดังนั้นก็ดีใจเข้ากอดจูบพลายยง เมื่อเหลือบไปเห้นงวนบุนเจ๋งที่พลายยงจับมัดมาก็โกรธฉวยง้าวจะฟันคอให้ตายแต่ก็ยั้งไว้ แล้วให้พลายยงเอางวนบุนเจ๋งไปสอบสวนเอาความจริงก่อนเฆี่ยนแล้วส่งตัวไปเมืองไทยเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกันแก่พวกจีนทั้งหลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 83 เมื่อ 27 พ.ย. 09, 08:59
|
|
คุณเพ็ญชมพูอ้างถึงข้อมูลจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์เสภาตอนพลายงามได้นางศรีมาลาด้วยพระองค์เอง ข้อมูลนี้ตรงกับที่หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในหนังสือพระกวีนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หน้า ๓๑ ความว่า
" เมื่อเสด็จพ่อทรงตรวจสอบเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เพื่อจะพิมพ์ใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงเห็นว่าตอนพลายงามได้นางศรีมาลานั้น เนื้อความไม่สมเหตุสมผลและกลอนในตอนนั้นก็ไม่ดีสมกับที่จะพิมพ์ขึ้นใหม่ ทั้งได้พบอีกฉบับหนึ่งที่มีผู้แก้ในตอนนี้ไว้แล้ว แต่เผอิญสมุดขาด ไม่จบความ เสด็จพ่อจึงทรงแต่งขึ้นใหม่ทั้งตอนดังต่อไปนี้และตรัสว่า เสภาเขาไม่บอกตัวคนแต่งกันไว้ ถ้าใครอ่านก็เป็นรู้ได้เองว่าสำนวนของใคร ฉบับนี้ก็จะรู้ได้ว่าเป็นสำนวนคนสมัยใหม่ เพราะผู้หญิงตกใจแล้วเป็นลม (faint) อย่างฝรั่ง? "
แต่ทั้งคำอธิบายหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล และคำอธิบายม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นข้อมูลของคนอื่น ย่อมไม่หนักแน่นเท่าคำของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ซึ่งได้ทรงเป็นผู้ชำระเสภานี้เองที่ว่า "แต่หนังสือบทนี้ได้มา ฉบับขาดเพียงพลายงามเข้าไปถึงเตียงนอนนางศรีมาลา ต่อนั้นต้องช่วยกันแต่งในหอสมุด ไปจนถึงบทพลายงามชมดง จึงต่อบทของครูแจ้งไปตลอด" และในพระนิพนธ์ว่าด้วยการชำระหนังสือเสภา ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์ไว้ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ฉบับพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ในตอนท้ายของพระนิพนธ์นี้ มีข้อความว่า
" การตรวจชำระหนังสือเสภาฉะบับหอพระสมุดวชิรญาณนี้ ตั้งแต่แรกชำระจนเวลาพิมพ์ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา กับ ข้าพเจ้า ได้ช่วยกันทำมากว่า ๒ ปี ...."
นั่นเท่ากับยืนยันว่า สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงชำระเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนร่วมกับพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา
คำถามต่อมาคือ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา ได้ร่วมทรงพระนิพนธ์เสภาตอนพลายงามได้นางศรีมาลาหรือไม่ ? ตรงนี้มีความเป็นไปได้อยู่มาก ด้วยเหตุผลดังนี้
๑.พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา ทรงพระปรีชาด้านวรรณคดีเพราะทรงได้รับการศึกษาภาษาไทยตามแบบเก่า ประกอบกับเคยทรงพระนิพนธ์โคลงกลอนอยู่เสมอ เคยทรงได้รับรางวัลที่ ๑ ในการแต่งโคลงกระทู้ประกวดของหนังสือวชิรญาณหลายครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็ได้ทรงพระนิพนธ์คำฉํนท์สดุดีสังเวยในพระราชพิธีฉัตรมงคล ลาที่ ๒ รายละเอียดเกี่ยวกับเจ้านายพระองค์นี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงพระนิพนธ์ในพระประวัติพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา แล้วสามารถหาอ่านได้
๒.พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา ในขณะที่ทรงร่วมชำระเสภาขุนช้างขุนแผนนั้นทรงดำรงตำแหน่งเลขานุการหอพระสมุด เกือบจะพร้อมกับที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณ ด้วยรัชกาลที่ ๖ มีพระราชปรารภกับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ว่า เลขานุการหอพระสมุดฯ แต่เดิมนั้นอนูโลมเอาบรรณารักษ์คนเก่าของหอพระสมุดมาเป็น แต่ทำการไม่เรียบร้อยจนต้องเปลี่ยนใหม่ จึงมีพระราชประสงค์ให้สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หาคนมาเป็นเลขานุการคนใหม่ที่มีคุณสมบัติสมตำแหน่งจริงๆ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จึงได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา มาเป็นเลขานุการด้วยทรงรู้จักและเคยทรงใช้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา เป็นเลขานุการในสมัยที่ทรงรับราชการที่กระทรวงมหาดไทยมาแต่ต้น พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา ได้ทรงเป็นเลขานุการหอพระสมุดฯ เป็นเวลา ๑๔ ปี ได้ทรงตรวจชำระต้นฉบับและทรงจัดการพิมพ์หนังสือมากถึง ๕๐๙ เรื่อง หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเสภาขุนช้างขุนแผน
๓.ในช่วงปี ๒๔๕๘ ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายกหอพระสมุดฯ สืบต่อจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ซึ่งสิ้นพระชนม์ แม้ว่าพระภารกิจราชการจะน้อยลง แต่ก็ยังต้องทรงราชการอื่นในตำแหน่งเสนาบดีที่ปรึกษาราชการอยู่ ฉะนั้นสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ คงจะมีพระภารกิจอื่น นอกจากการทรงเป็นสภานายกฯ ซึ่งต้องทรงแบ่งเวลาไปทำราชการอื่นด้วย การที่ทรงพระนิพนธ์และทรงชำระเสภาขุนช้างขุนแผน น่าจะทรงทำได้ไม่เต็มที่ ภาระน่าจะตกแก่พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา ผู้เป็นเลขานุการเป็นส่วนใหญ่ สมเด็จกรมพระยาดำรงอาจจะทรงตรวจแก้ไขและทรงกำกับการชำระ.
พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา เป็นเจ้านายที่ทรงมีส่วนอย่างยิ่งในการชำระเสภาขุนช้างขุนแผนและวรรณคดีอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่หอพระสมุดพิมพ์เผยแพร่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบและมักยกเรื่องการชำระวรรณคดีตลอดจนหนังสือต่างๆ ของหอพระสมุดให้เป็นของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพไปเสียทั้งหมด เลยกลายเป็นว่าทั้งผิดและชอบในการชำระเสภาก็พลอยเป็นของพระองค์ไปเสียทั้งสิ้น.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 84 เมื่อ 27 พ.ย. 09, 09:44
|
|
น่าทึ่งการศึกษาค้นคว้าของคุณทั้งสองคน ทำให้ต้องไปหาพระประวัติกรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา มาเติมในกระทู้นี้ พบเพียงสั้นๆว่า พระนามเดิม พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายกัลยาณประวัติ (พ.ศ. ๒๔๑๔-๒๔๗๐)พระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเลี่ยมใหญ่ ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ในรัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นต้นสกุล กัลยาณะวงศ์ นอกจากตำแหน่งในหอพระสมุด ทรงเป็นบรรณาธิการคนแรกของหนังสือเทศาภิบาล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์วชิรญาณ,หนังสือเทศาภิบาล,บรรณาธิการจดหมายเหตุความทรงจำ, ไกลบ้าน และ วัดราชาธิวาส
พระนิพนธ์ที่สำคัญคือหนังสืออลินจิตต์คำฉันท์,คำฉันท์สดุดีสังเวยพระราชพิธีฉัตรมงคล,และโคลงกระทู้ที่ได้รางวัล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 85 เมื่อ 27 พ.ย. 09, 10:37
|
|
มีเกร็ดเกี่ยวกับพิธีแต่งงานของพลายงามกับศรีมาลา จากพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเองว่า บทเดิมพอขุนแผนพลายงามขึ้นไปถึงเมืองพิจิตร พระพิจิตรก็ให้นิมนต์พระมาทำพิธีแต่งงานพลายงามกับนางศรีมาลา ทำให้เข้าใจว่าได้ขอร้องตกลงกันไว้แต่ก่อนนั้นแล้ว บทที่แต่งประชัน เขาแต่งให้พลายงามไปเห็นนางศรีมาลาแล้วมีความรักใคร่ จึงลอบเข้าหา เห็นว่าที่เข้าแก้เป็นเช่นนี้ถูกต้องสมต้นสมปลาย เพราะเมื่อกองทัพกลับ สมเด็จพระพันวษาทรงตั้งพลายงามเป็นจมื่นไวย แล้วมีรับสั่งให้แต่งงานกับนางศรีมาลา ขุนช้างมาช่วยงานจึงเกิดวิวาทกัน ก็ถ้าแต่งงานที่เมืองพิจิตรแล้ว ทำไมจะมาแต่งงานกันใหม่อีก
ถึงคำขุนแผนกราบทูลในบทเดิมก็ว่า
เมื่อไปทัพได้กับศรีมาลา ลูกพระยาพิจิตรบุรี แต่รักใคร่ยังมิได้ทำงานการ เขาผ่อนผันนัดงานมาเดือนสี่
เห็นว่าเรื่องที่ถูกควรเป็นอย่างที่แต่งในบทประชัน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีกวีแต่งหลายท่าน บางทีการต่อเรื่องก็สับสนอลหม่านเช่นนี้แล 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 86 เมื่อ 27 พ.ย. 09, 11:13
|
|
เรื่องที่ทรงแต่งให้ศรีมาลาตกใจแล้วเป็นลมอย่างฝรั่งสมัยวิกตอเรีย คงเนื่องด้วยทรงสังเกตว่ามีหลายตอนก็ทำเช่นนั้น
มีพระนิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
หนังสือเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนที่เราอ่านกันทุกวันนี้ ไม่ได้แต่งแต่เมื่อรัชกาลที่ ๒ ทั้งหมด บทที่แต่งต่อมาในรัชกาลที่ ๓ ก็มีหลายตอน ข้อนี้รู้ได้ด้วยสังเกตในตัวความที่กล่าวในเรื่องเสภานั้น จะยกตัวอย่างเช่นตอนแต่งงานพลายแก้วกับนางพิม ในตอนที่ ๗ เล่ม ๑ นี้
กล่าวตรงขุนช้างแต่งตัวเมื่อจะไปเป็นเพื่อนบ่าวพลายแก้ว ในเสภาว่า "คิดแล้วอาบน้ำนุ่งผ้า ยกทองของพระยาละครให้" ตรงนี้เป็นสำคัญว่าแต่งในรัชกาลที่ ๒ ด้วยพระยาละครฯ มีแต่ในรัชกาลนั้น รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ เป็นเจ้าพระยาทั้ง ๒ รัชกาล
ต่อมาตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ก็สังเกตได้ว่าแต่งในรัชกาลที่ ๒ ด้วยชมเรือนขุนช้างว่า "เครื่องแก้วแพรวพรรณอยู่ก่ายกอง ฉากสองชั้นม่านมุลี่มี" เพราะเล่นเครื่องแก้วกันเมื่อในรัชกาลที่ ๒
ส่วนตอนที่รู้ได้ว่าแต่งในรัชกาลที่ ๓ นั้น เช่นตอนทำศพนางวันทอง มีกล่าวว่า
นายแจ้งก็มาเล่นต้นปรบไก่ ยกไหล่ใส่ทำนองร้องฉ่าฉ่า รำแต้แก้ไขกับยายมา เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป
นายแจ้งนี้คือเสภาชั้นหลัง ที่มีอายุอยู่มาจนรัชกาลที่ ๕ เป็นคนต้นเพลงที่ดี มีชื่อเสียงในรัชกาลที่ ๓ จึงรู้ว่าเสภาตอนนี้แต่งเมื่อในรัชกาลที่ ๓
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 87 เมื่อ 27 พ.ย. 09, 11:23
|
|
พระประวัติพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา - ประสูติเมื่อ 25 กันยายน 2414 พระนามเดิม พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณประวัติ - 2434 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดบรมนิวาส - 2431 แรกทรงรับราชการในกรมปลัดทัพบก กรมยุทธนาธิการ ต่อมาเป็นนายร้อยตรี เลขานุการของผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (สมเด้จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) - ต่อมา เป็นนายเวรหนังสือ แล้วเป็นนายร้อยเอก ผู้ช่วยนายเวรใหญ่ แล้วเป็นนายเวรใหญ่ - 2435 เป็นนายเวรหนังสือลับกระทรวงมหาดไทย (เป็นปีเดียวกับที่สมเด็จกรมพระยาดำรงได้ทรงย้ายจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการไปเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณประวัติย้ายจากกรมยุทธนาธิการมารับราชการที่กระทรวงมหาดไทย) - เป็นเลขานุการ แล้วเป็นปลัดกรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ ต่อมาเป็นกรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ จากนั้นเป็นเลขานุการอีก แล้วเลื่อนเป็นปลัดกรมฝ่ายพลำภังค์ - 2442 เป็นปลัดบัญชี 2451 เป็นเลขานุการอีกครั้งหนึ่ง แล้วเป็นข้าหลวงตรวจการ กรมสรรพากรนอก - 2453 เป็นเลขานุการหอพระสมุดวชิรญาณ (ไม่ใช่เป็นเลขานุการหอพระสมุดฯ ในปีที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นสภานายกหอพระสมุดฯ เมื่อ 2458 ขออภัยในความผิดพลาดของข้อมูล) - 2456 รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏ สถาปนาเป็น พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา และรับพระราชทานยศเป็นมหาอำมาตย์ตรี - 2462 - 2463 เริ่มทรงประชวรด้วยพระโรคเส้นประสาทพิการ ทำให้ทรงหลงลืมและทรงมึนตึงไม่เฉียบแหลมเหมือนเช่นแต่ก่อน - 2466 พระอาการอันเกิดแต่พระโรคดังกล่าวหนักขึ้น รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทรงออกจากตำแหน่งเลขานุการหอพระสมุดวชิรญาณ และให้รับพระราชทานเบี้ยบำนาญจนพระชนมายุ รวมเวลาราชการของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณประวัติ ๓๕ ปี (แบ่งเป็นราชการกรมยุทธนาธิการ ๔ ปี กระทรวงมหาดไทย ๑๗ ปี หอพระสมุดวชิรญาณ ๑๔ ปี โดย ๓๕ ปีเป็นช่วงที่ทรงรับราชการอยู่กับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ) - ประชวรพระวาโย สิ้นพระชนม์ ณ วังถนนเจริญกรุง เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2470 เวลา 11.30 น. พระชันษาได้ 56 ปี เชิญหีบพระศพไปบรรจุ ณ วัดส้มเกลี้ยง ในวันที่ 19 พ.ค. ศกเดียวกัน - ได้รับพระราชทานเพลิงพระศพพร้อมกับพระศพพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิไลยวรวิลาส เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2473 ณ พระเมรุ วัดเบญมบพิตรดุสิตวนาราม โดยรัชกาลที่ 7 เสด็จฯ ไปพระราชทานเพลิงพระศพ เวลา 17.30 น. ในการนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศไม้สิบสองบรรจุพระศพพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณประวัติด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 88 เมื่อ 27 พ.ย. 09, 11:44
|
|
กล่าวตรงขุนช้างแต่งตัวเมื่อจะไปเป็นเพื่อนบ่าวพลายแก้ว ในเสภาว่า "คิดแล้วอาบน้ำนุ่งผ้า ยกทองของพระยาละครให้" ตรงนี้เป็นสำคัญว่าแต่งในรัชกาลที่ ๒ ด้วยพระยาละครฯ มีแต่ในรัชกาลนั้น รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ เป็นเจ้าพระยาทั้ง ๒ รัชกาลตรงนี้ต้องอธิบายนิดหนึ่งว่า พระยาละคร ในที่นี้ หมายถึง ตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช สมัยก่อนคนทั่วไปมักเรียกเมืองนครศรีธรรมราชกันสั้นๆ ว่า เมืองนคร หรือเมืองละคอน ซึ่งเป็นภาษาปากที่พูดเพี้ยนไปจากว่า นคร นั่นเอง เมืองนครศรีธรรมราชมีศิลปหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงด้านการทอผ้ายกมาแต่โบราณ นัยว่าจะได้ทอผ้ายกนี้ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการที่กรุงเทพฯ ด้วยในสมัยก่อน ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์เมื่อยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ เสด็จลงไปทรงจัดการปกครองที่หัวเมืองนครศรีธรรมราชใหม่ โดยทรงชำระตำแหน่งข้าราชการหัวเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ด้วย ด้วยเหตุว่า เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนเดิมนั้นเพิ่งถึงแก่พิราลัย และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ นั้นมีพระมารดาเป็นธิดาของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชด้วย ส่วนที่ว่า พระยาละครฯ มีแต่ในรัชกาลที่ ๒ นั้น รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๓ เป็นเจ้าพระยาทั้ง ๒ รัชกาล ขอเวลาไปตรวจเอกสารก่อนครับ ตอนนี้ไม่มีข้อมูล 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
luanglek
|
ความคิดเห็นที่ 89 เมื่อ 30 พ.ย. 09, 09:13
|
|
เล่าเสภาพลายยงอาสาไปรบที่เมืองจีนต่อครับ
พลายยงเอาตัวงวนบุนเจ๋งไปสอบสวนเอาเหตุที่งวนบุนเจ๋งยกทัพมาล้อมเมืองตังจิ๋ว งวนบุนเจ๋งให้การว่า ที่ยกทัพมาล้อมเมืองตังจิ๋วไม่ได้หมายมุ่งเอาทรัพย์สมบัติ แต่ด้วยความแค้นเคืองที่ตนเองเป็นลูกขุนนางผู้ใหญ่ เจ้าจอจิหลังเจ้าเมืองตังจิ๋วกลับไม่เคารพนับถือตน จึงได้ยกทัพหมายจะมาฆ่าจอจิหลังเท่านั้น มิได้คิดจะก่อกบฏต่อพระเจ้ากรุงปักกิ่งและกรุงศรีอยุธยาแต่อย่างใด ฝ่ายจอจิหลังได้ฟังคำให้การของงวนบุนเจ๋งดังนั้นก็พูดขึ้นว่า ให้งวนบุนเจ๋งเลือกเอาว่าเจ้าจะอยู่ร่วมแผ่นดินกันหรือจะให้ส่งตัวไปฆ่าที่เมืองไทย งวนบุนเจ๋งตอบว่า ให้ส่งตนเองไปฆ่าที่เมืองไทยไม่ของ้อจอจิหลัง จอจิหลังได้ฟังก็โกรธสั่งให้ตำรวจในเฆี่ยนงวนบุนเจ๋งด้วยหวาย งวนบุนเจ๋งถูกเฆี่ยนแต่ก็ไม่ร้องกลับกัดฟันตาเขียวร้องด่าจอจิหลังไปว่า ลำพังตัวจอจิหลังไหนเลยจะได้ตัวตนเองมา นี่เพราะไปขอพวกไทยมาช่วยรบสู้ต่างหาก มิฉะนั้นคงได้จิกหางหนูจอจิหลังลากถูในฐานะเชลยศึก
จอจิหลังได้ฟังก็สั่งให้เอางวนบุนเจ๋งไปจำใส่ใต้ดาดฟ้าสำเภา แล้วสั่งให้จัดสำเภาขนข้าวของให้พลายยงสารพัดเป็นเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา และยังได้ลูกสาว คือนางเวสิว ให้เป็นเมียพลายยงด้วย เจ้าพนักงานจีนก็รีบไปจัดสิ่งของลงสำเภาทันที
จอจิหลังมาแจ้งแก่ภรรยาเรื่องที่ส่งนางเวสิวลูกสาวตนไปเป็นคู่ครองพลายยง นางสีจุหลีงิวได้ฟังจอจิหลังแจ้งดังนั้นก็มาพูดกับลูกสาวด้วยความอาลัยไม่อยากให้ลูกสาวไปกับพลายยง นางคร่ำครวญต่างๆนานา ส่วนนางเวสิวก็ว่า ตนเองนั้นยังเด็กไม่รู้ประสีประสา อายุเพิ่งได้สิบสี่ปี ธรรมเนียมการกินนอนอันใดก็ยังไม่เข้าใจ ลุกจะขอผัดผ่อนเลื่อนการเดินทางไปเป้นฤดูมรสุมหน้าเพื่อเรียนรู้ธรรมเนียมให้พร้อมเสียก่อน
นางสีจุหลีงิวว่า
...ลูกเอ๋ยมิเคยจำเคยนา เจ้าจะว่าไปไยกับกินนอน ถ้าได้ประสบพบพลายยง จะหลงไปด้วยรสสโมสร แล้วจะลืมบิดาแลมารดร กินนอนใครบ่ห่อนจะสอนกัน คงรู้ในการประเวณี อันสิ่งนี้โบราณท่านสาปสรร ย่อมรู้ทั่วเป็นผัวเป็นเมียกัน แต่อนันตชาติสืบสืบมา เจ้าพลายยงฤทธิเรืองกู้เมืองไว้ จับงวนบุนเจ๋งได้ไม่เข่นฆ่า ไปแทนคุณชาวไทยในอยุธยา ว่าแล้วจัดแจงแต่งลุกพลัน...
ว่าแล้วก้แต่งตัวให้นางเวสิว จากนั้นพานางเวสิวมาขึ้นเกี้ยวหามไปส่งพลายยงที่สำเภาที่จอดรออยู่ พอได้เวลาก็ถอนสมอชักใบสำเภาออกเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา เมื่ออกเดินทางนางเวสิวและข้ารับใช้ของนางก็ร้องไห้อาลัยอยู่อื้ออึง พลายยงก็ไม่รู้จะปลอบดยนประการใด แต่ก็คิดว่า
"อันเวสิวเขาให้มาเป็นคู่ จะสมสู่ร่วมรักหาควรไม่ ถ้าถวายเจ้าฟ้าพาราไทย จะได้เกียรติยศปรากฏจริง"
สำเภาใช้เวลาเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยา ๑ เดือน (เอ! ตอนไปบอกว่าเดินทางไป ๑๕ วัน แต่ขากลับทำไมเดินทางนานเป็นเท่าตัว) เมื่อมาถึงพลายยงก็รีบเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อกราบบังคมทูลราชการทัพที่เมืองตังจิ๋วและทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องบรรณาการและถวายนางเวสิวเป็นข้าบริจาริกา
แต่สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิรับสั่งว่า
"กูไม่ต้องการลูกหลานเจ๊ก เป็นเมืองเล็กน้อยนักหาควรไม่ เอ็งไปได้ยากลำบากใจ ก็ยกให้เลี้ยงอยู่เป็นคู่ครอง"
แล้วก็มีพระราชดำรัสสรรเสริญพลายยงว่าเก่งกล้าหาญไม่มีใครเทียม แล้วพระราชทานเครื่องยศแต่งตั้งให้เป็นที่เจ้าเชียงอินทร์(เจ้าเมืองเชียงใหม่) ทรงพระนามว่า พระเจ้าสมมติวงศ์ ขึ้นไปปกครองเมืองเชียงใหม่ในฐานะเจ้าประเทศราช
พลายยงกราบถวายบังคมลาออกมาจากที่ แล้วก็ให้บ่าวไพร่ช่วยกันขนของไปที่วังแขกเมือง เมื่อถึงวังแขกเมือง พลายยงก็เล่าเรื่องที่ไปรบที่เมืองตังจิ๋วให้นางสร้อยฟ้ามารดาฟัง พร้อมกันนั้นพลายยงก็แนะนำให้นางสร้อยฟ้ารู้จักกับนางเวสิวที่เจ้าเมืองตังจิ๋วมอบให้เป็นเมียมา
นางสร้อยฟ้าก้รับขวัญพลายยงและนางเวสิวลูกสะใภ้ว่า
"เป็นบุญเจ้าทั้งสองเคยครองกัน อย่าโศกศัลย์เสียใจเลยลูกยา เจ้าไร้ยาติขาดมิตรมาเมืองนี้ ชนนีจะรักให้นักหนา อุตส่าห์รักษาตัวกลัวนินทา สิ่งใดชั่วช้าอย่าได้ทำ ตัวแม่นี้ก็แก่เกือบชรา เหมือนหนึ่งเข้าป่าเมื่อจวนค่ำ เงินทองมีเท่าไรมิได้อำ ก็นึกคร่ำว่าจะปลูกให้ลูกยา แม้นตายหมายฝากซึ่งซากผี เมื่อโรคมีเจ็บไข้ได้รักษา จงอยู่กินด้วยกันอย่าฉันทา ว่าแล้วลุกมานั่งหอกลาง"
จากนั้นนางสร้อยฟ้าก็สั่งให้บ่าวไพร่ช่วยกันจัดห้องหับให้นางเวสิว
เอาเท่านี้ก่อน.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|