เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 30584 ชาติพันธุ์วรรณา ในขุนช้างขุนแผน (๓)
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 12 พ.ย. 09, 18:01

จับไก่เข้าเล้าเสร็จ พักเหนื่อยสักครู่จึงตามมาดูท่านทั้งหลายถกกันเรื่องกระเทียม  ไหลลื่นมาสะดุดตรงสุดท้ายนิดนึง เรื่องคำอธิษฐานของคุณพุ่ม บุษบาท่าเรือจ้างข้อที่ว่า
"ขออย่าให้เป็นสวาดิของพระองค์ชุมสาย"

ซึ่งมีการนำความหมายที่แปลโดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงประทานอธิบายไว้ในหนังสือคนดีที่ข้าพเจ้ารู้จัก ว่า คำอธิษฐานนี้กรมหลวงประจักรศิลปาคมทรงจำไว้ได้จดประทานมา ว่ามีความหมาย คือ มหาดเล็กตัวโปรดของกรมขุนราชสีหวิกรม อธิบายว่า ถ้าชอบทรงใช้มหาดเล็กคนไหน คนนั้นมักถูกจำโซ่ตรวนในเวลาใช้ไม่ได้ดังพระหฤทัย

ผมฟังดูชอบกลๆ อยากเป็นทนายแก้ต่างให้กรมขุนราชสีหวิกรมสักหน่อย

คำว่าสวาดิ ส่วนใหญ่ท่านมักจะใช้หมายถึงความปรารถนาของชายที่มีต่อหญิงนะครับ
ยกตัวอย่าง

พระราชนิพนธ์ นิราศฯ ท่าดินแดง ขึ้นต้นว่า

                                               แสนรักสุดรักภิรมย์สม
  ทุกอนงค์ทรงลักษณ์อันสุนทร             สถาวรพูนสวาดิสวัสดี

นั่นท่านเริ่มต้นก็รำพันถึงผู้หญิง
อีกหนึ่งตัวอย่าง ลิลิตตะเลงพ่าย  พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส

ซ่อนกลิ่นกลิ่นแก้วซ่อน       นาสา   เรียมฤๅ
ตาดว่าตาดพัสตรา            หนุ่มเหน้า
สลาสิงเล่ห์ ซรองสลา        นุชเทียบ   ถวายฤๅ
สวาดิดังเรียมสวาดิเจ้า        จากแล้วหลงครวญ ฯ

นี่ก็ชัดว่าครวญถึงผู้หญิงเช่นกัน

ดังนั้น คุณพุ่ม เธอเป็นสตรี  เมื่อเธออธิษฐานว่า"ขออย่าให้เป็นสวาดิของพระองค์ชุมสาย" ก็น่าจะหมายความอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอขอไม่เป็นกิ๊กกับท่านผู้นั้นนั่นเอง

เออหนอ หญิงใดจะคิดเลยเถิดไปถึงอธิษฐานว่า เจ้าประคู้ณ ชาติหน้าขอดิฉันอย่าเกิดเป็นตุ๊ด แล้วตุ๊ดนั้นได้ไปเป็นมหาดเล็กของท่าน เพราะท่านโหดร้ายกับตุ๊ดเหลือเกิน…เทอญ
ท่านก็ช่างตีความอย่างนี้แหละหนอ จึงได้เกิดคดีพญาระกา
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 12 พ.ย. 09, 18:20

พริ้วเชียว


วันดีชักชวนมิตรสหายให้ชมกระแสคลื่นในแม่น้ำอ๊ิดจี๊กัง
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 12 พ.ย. 09, 19:12

ขออนุญาตเข้ามาแจมกระทู้ครับ
เพราะมีเรื่องอยากขัดอาจารย์นิธิเสียหน่อย
ผมเห็นด้วยกับวิธีคิดของอาจารย์อยู่หลายครั้ง
แต่เรื่องตลกนี่อ่านยังไงก็ไม่เห็นด้วย

ทฤษฏีจิตวิทยาว่าด้วยตลกง่ายๆ คือ "ต่างพวก"
ทำนองเหมือนข้อสอบแนว odd man out
ไม่ต้องถึงขั้นเป็นกะเทย หรือชาติพันธุ์หรอกครับ
คนที่เกิดมาแคระ หรือพิกาล เราก็เอาเขามาเป็นตลกแล้ว

ใกล้ตัวเข้ามาหน่อย คือ ตลกชนชั้น
เช่น ละครทีวีที่ชนชั้นกลางดูกันติดงอมแงม ก็มักติดตลกเป็นชนต่างชั้น
ถ้าจะแขวะชนชั้นสูง ก็ติดตลกเจ้า มีตลกเป็นหม่อมราชวงศ์เข้ากับสังคมไม่ได้
หรือจะล้อชนชั้นล่าง ก็มักมีตลกเป็นคนรับใช้ทำตัวกะเปิ๊บกะป๊าบชูโรง

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือคนที่เกิดมาปกติ หรือแรกๆก็ปรกติ
แต่อยู่ๆไปแปลก หรือพิกาลขึ้นมา... ก็จะกลายเป็นตลกอีกเช่นกัน
(เหมือนเวลานินทากันว่าเพื่อนอ้วนขึ้น เพื่อนหน้าเหี่ยวลง อะไรทำนองนั้น)
เช่น กลอนสุนทรภู่มักเล่นตลกหัวล้าน เป็นปมจี้ใจคนแต่งเสียเองเป็นต้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 12 พ.ย. 09, 23:34

วันนี้ไปฟังสักวามาค่ะ   เลยขอซ้อมเล่นสักวาคั่นโปรแกรม

อ้างถึง
ท่านก็ช่างตีความอย่างนี้แหละหนอ จึงได้เกิดคดีพญาระกา

สักวาท่านสะดุ้งอยู่บนสวรรค์                    คารมใครแสบสันต์มันเหลือหลาย
หันไปฟ้องลูกพี่ลูกน้องชาย                     เหลนโหลนท่านมันร้ายน่าไล่ตี
คดีความแผลเก่า เลี้ยวเข้าได้                  ระคายหูระคายใจเราเต็มที่
ฟังแล้วมันน่าถองสักสองที                      ฝากทูลกรมราชสีห์ดีไหมเอย
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 00:35

           

          สักวาไอ๋หยาน่ากลัวครับ                    จะถูกจับทุบถองม่องเท่งแหง๋
          เกล้ากระหม่อมมิว่าใคร อย่าได้แปล        เป็นตุ๊กแกกินปูนนู่นหรือไร
          แค่ทนายแก้ต่างให้ข้างโน้น                  เพราะท่านโดนยัดข้อหาว่าสงสัย
          เป็นถึงสิงห์ชิงดาวน์เกรดเป็นเสือใบ        โปรดเห็นใจเถิดหนาเจ้าข้าเอย
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 08:54

เรื่อง "ขออย่าให้เป็นสวาดิของพระองค์ชุมสาย" ทำเอาต่อกระทู้ไม่ถูกเลย 
การตีความของคุณNAVARAT ซึ่งต่างจากการตีความของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ  น่าสนใจอยู่
แต่ถ้าจะหาข้อมูลยืนยันนี่ คงจะได้แต่พวกที่เรียกว่าพงศาวดารกระซิบล่ะกระมัง
ทราบแต่ว่า พระองค์เจ้าชุมสาย ทรงเป็นนักเลง ชนิดไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน

จำได้ว่ามีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งพระองค์เจ้าชุมสายจะเสด็จเข้าเฝ้าฯ ก็ประทับเสลี่ยงมาจะเข้าประตูพระบรมมหาราชวัง ก็บังเอิญมาเจอะกันกับขบวนเสลี่ยงเจ้านายอีกพระองค์หนึ่งซึ่งว่ากันว่ามีพระอิสริยยศสูงกว่าพระองค์เจ้าชุมสาย จำไม่ได้ว่าเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือเจ้านายพระองค์ใด ซึ่งเล่ากันว่าเจ้านายในขบวนเสลี่ยงที่เสด็จมานี้ ก็ทรงเป็นนักเลงไม่ย่อหย่อนกว่ากัน  อันที่จริงขบวนของพระองค์เจ้าชุมสายต้องหลีกให้เจ้านายขบวนดังกล่าวเสด็จเข้าไปก่อนตามธรรมเนียมปฏิบัติ  แต่การณ์ไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์เจ้าชุมสายไม่ทรงหลีกขบวนของพระองค์ กลับยืนยันที่จะเสด็จเข้าก่อน  เรื่องก็ลุกลามถึงขั้นทะลาะวิวาทกัน  ผลของเหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงอย่างไร จำไม่ได้ 

เรื่องเล่าของพระองค์ชุมสายเท่าที่ทราบมีเท่านี้  ถ้าจะรู้เพิ่มเติมคงจต้องไปอ่านบันทึกของพวกราชสกุลชุมสายเพื่อว่าจะมีอะไรเพิ่มเติม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 10:38

เห็นด้วยกับติบอ ค่ะ

เรื่องที่คุณหลวงเล็กเล่า  เคยอ่านพบว่าเจ้านายอีกพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ  จบลงด้วยพระองค์ท่านก็ลงจากเสลี่ยง มาพระราชทานพระชงฆ์(แข้ง) และพระบาทให้กรมขุนราชสีหวิกรม  ดูเหมือนจะหลายทีด้วย 
คุณ N.C. คงจะทราบรายละเอียด  เผื่อจะมาเล่าสู่กันฟังบ้างค่ะ
********************
กลับมาเรื่องจีนและแขกในขุนช้างขุนแผน
มีร่องรอยของแขกชวาปลอม ที่ไปจับเถรขวาด     แขกเชื้อชาติอื่น ออกมาเป็นตัวประกอบนิดหน่อยตอนพลายชุมพลปราบจระเข้เถรขวาด
กวีพูดถึงคนดูริมฝั่ง

เจ๊กกับแขกมันทะเลาะกันเพราะพริ้ง                    เสียงหนุงหนิงเหนอหนาน่าเอ็นดู

เจ้าแขกว่าเมาะโมหะโยเปาะ                             เจ๊กทะเลาะอั๊วลาไหม่ไอ้มู่ทู่
พอจระเข้ขึ้นก็ตื่นพรู                                         ยัดเยียดเบียดดูริมวารี
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 10:52

อ้างถึง
เรื่องที่คุณหลวงเล็กเล่า  เคยอ่านพบว่าเจ้านายอีกพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ  จบลงด้วยพระองค์ท่านก็ลงจากเสลี่ยง มาพระราชทานพระชงฆ์(แข้ง) และพระบาทให้กรมขุนราชสีหวิกรม  ดูเหมือนจะหลายทีด้วย 
คุณ N.C. คงจะทราบรายละเอียด  เผื่อจะมาเล่าสู่กันฟังบ้างค่ะ

เคยอ่านเหมือนกันแต่ลืมไปแล้วว่าอ่านจากไหน  พอดีคดีนั้นไม่รับเป็นทนายแก้ต่างน่ะครับ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 11:42

กลับมาเข้าเรื่อง ที่กวีว่าไว้ว่า

อ้างถึง
เจ๊กกับแขกมันทะเลาะกันเพราะพริ้ง                    เสียงหนุงหนิงเหนอหนาน่าเอ็นดู

ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหนุงหนิงน่าเอ็นดูนั้นเป็นฉันใด
เคยแต่ได้ยินว่า

"เจ๊กปราศรัย เหมือนไทยทะเลาะกัน"

ครั้งหนึ่งนั่งเครื่องบิน อาเจ้ กับอากงคุยกัน คนหนึ่งอยู่หัวเครื่อง อีกคนหนึ่งอยู่ท้าย ถ้าหลับตาอยู่ไม่เห็นอาการยิ้มแย้มของอาเจ้แล้ว จะนึกว่าเมียจับผัวได้คาหนังคาเขาว่าพากิ๊กไปเที่ยวเมืองนอก
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 14:07

ขออนุญาตย้อนไปที่เรื่องในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ที่ว่า...มีเรื่องพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งต้องอธิกรณ์ว่า เล่นสวาท กรมสังฆการีสอบสวนได้ความจริง พระราชาคณะรูปนั้นต้องลาสึก...เพิ่งไปค้นมา  ขอเล่าก่อนเดี๋ยวลืม

เรื่องนี้เกิดในรัชกาลที่ ๒ ก่อนจะถึงเหตุการณ์ที่ว่า ต้องเล่าเท้าความเหตุการณ์ก่อนนั้นเสียก่อน
ในเดือน ๑๒ ปีชวด อัฐศก จ.ศ.๑๑๗๘ (พ.ศ. ๒๓๕๙) มีโจทก์ฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัมหาธาตุ พระญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลาง และพระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุ กรุงเก่า ประพฤติผิดวินัยข้อเมถุนปาราชิกมาช้านานจนมีบุตรหลายคน  จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นรักษรณเรศ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) กับพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพิจารณาไต่สวนชำระได้ความเป็นจริงดังที่โจทกัน จึงมีรับสั่งให้นำพระราชาคณะทั้ง ๓ ลาสึกจากพระแล้วนำไปจำคุก  การณ์ครั้งนั้นเป้นเหตุอื้อฉาวมากที่พระราชาคณะผู้ใหญ่หลายรูปต้องปาราชิกาบัติ  รัชกาลที่ ๒ ทรงพระวิตกถึงพระศาสนามาก จึงทรงเผดียงให้สมเด็จพระสังฆราช (มี) และสมเด็จพระพนรัต (อาจ หรือ อาด) วัดสระเกศ แต่งหนังสือ โอวาทานุสาสนี แสดงข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุแจกจ่ายไปตามวัดต่างๆ เพื่อให้เป็นกฎสำหรับพระทั้งสงฆมณฑล (เหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้ กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ ทรงแต่งโคลงทอดบัตรสนเท่ห์ ว่าร้ายเจ้านายทั้งสองที่ตัดสินชำระความครั้งดังกล่าวด้วย)

จากนั้นมา ปีเถาะ เอกศก จ.ศ.๑๑๘๑ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์ลง  รัชกาลที่ ๒ มีพระราชดำริจะทรงสถาปนาสมเด็จพระพนรัต (อาจ) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชสืบต่อ  ถึงกับโปรดเกล้าฯ ให้แห่สมเด็จพระพนรัต มาสถิตที่วัดมหาธาตุ สำหรับรอเป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่การตั้งสมเด็จพระสังฆราชต้องระงับไประยะหนึ่ง เพราะเกิดโรคห่าระบาดมาก พอถึงเดือน ๑๑ ปีเดียวกัน เกิดมีโจทก์ฟ้องว่า สมเด็จพระพนรัต (อาจ) "ชอบหยอกเอินศิษย์หนุ่มด้วยกิริยาไม่สมควรแก่สมณะ" (นี่เป็นสำนวนของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ถ้าเป็นสำนวนเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ขำ บุนนาค) จะใช้คำชัดเจนกว่า ว่า "ภอใจลูบคลำเล่นของที่ลับพวกสิศยที่รุ่นหนุ่มสวยๆ ") โปรดเกล้าฯ ให้ตระลาการชำระความจริงดังที่มีคำโจทก์ แต่ไม่ถึงกับปาราชิกาบัติ  กระนั้นก็ทรงเห็นว่าหมองมัวมากไม่ควรแก่สมณศักดิ์จึงให้ถอดออกจากสมณศักดิ์แล้วเนรเทศออกจากวัดมหาธาตุ 

ตกลงสมเด็จพระพนรัต (อาจ) จึงไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชทั้งๆที่ทรงมุ่งหมายจะให้เป็น  ที่ตลกร้าย ก็คือสมเด็จพระพนรัต (อาจ) เป็นผู้แต่งหนังสือโอวาทานุสาสนี หนังสือที่ว่าด้วยวัตรอันพระภิกษุพึงปฏิบัติ ร่วมกับสมเด็จพระสังฆราช(มี) แต่กลับมาปฏิบัติผิดพระวินัยเสียเองทั้งที่เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่  นี่เป็นตัวอย่างของคดีความเล่นสวาทสมัยก่อนที่นำมาถ่ายทอดสู่กันฟัง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 15:15


อ้างถึง
ในเดือน ๑๒ ปีชวด อัฐศก จ.ศ.๑๑๗๘ (พ.ศ. ๒๓๕๙) มีโจทก์ฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัมหาธาตุ พระญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลาง และพระมงคลเทพมุนี (จีน) วัดหน้าพระเมรุ กรุงเก่า ประพฤติผิดวินัยข้อเมถุนปาราชิกมาช้านานจนมีบุตรหลายคน  จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นรักษรณเรศ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) กับพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพิจารณาไต่สวนชำระได้ความเป็นจริงดังที่โจทกัน จึงมีรับสั่งให้นำพระราชาคณะทั้ง ๓ ลาสึกจากพระแล้วนำไปจำคุก  การณ์ครั้งนั้นเป้นเหตุอื้อฉาวมากที่พระราชาคณะผู้ใหญ่หลายรูปต้องปาราชิกาบัติ  รัชกาลที่ ๒ ทรงพระวิตกถึงพระศาสนามาก จึงทรงเผดียงให้สมเด็จพระสังฆราช (มี) และสมเด็จพระพนรัต (อาจ หรือ อาด) วัดสระเกศ แต่งหนังสือ โอวาทานุสาสนี แสดงข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุแจกจ่ายไปตามวัดต่างๆ เพื่อให้เป็นกฎสำหรับพระทั้งสงฆมณฑล (เหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้ กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ ทรงแต่งโคลงทอดบัตรสนเท่ห์ ว่าร้ายเจ้านายทั้งสองที่ตัดสินชำระความครั้งดังกล่าวด้วย)

โคลงนั้นก็คือ

ไกรสรพระเสด็จได้          สึกชี
กรมเจษฎาบดี                เร่งไม้
พิเรนทรแม่นอเวจี           ไป่คลาศ
อาจพลิกแผ่นดินได้         แม่นแม้นเมืองทมิฬ

http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp?stcolumnid=603&stissueid=2428&stcolcatid=2&stauthorid=13

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ คงจะกริ้วในบาทสุดท้าย ซึ่งเป็นเสมือนแช่งบ้านเมือง โดยเฉพาะคำว่า ‘พลิกแผ่นดิน’ โปรดฯให้ค้นหาตัวผู้ทิ้งหนังสือ ได้ตัวกรมหมื่นศรีสุเรนทร์

ในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๒ จดเรื่องนี้ไว้ว่า

“ครั้งนั้นกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ ซึ่งเป็นศิษย์นายสี พุทธโฆษาจารย์ไม่เห็นด้วย ก็ทิ้งหนังสือเป็นคำโคลงหยาบช้าต่อตระลาการกระทบกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดินด้วย จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพิจารณาหนังสือทิ้ง กรมพระราชวังได้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ กับนักปราชญ์ที่รู้กาพย์ กลอนโคลง พิจารณาก็ลงเนื้อเห็นว่าเป็นสำนวนฝีโอษฐ์กรมหมื่นศรีสุเรนทร์แน่แล้ว จึงรับสั่งให้หากรมหมื่นศรีสุเรนทร์มาซักถามก็ไม่รับ จึงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนถามจึงได้รับเป็นสัตย์ กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ทนอาชญาไม่ได้ ก็สิ้นชีพในพิม แล้วมิได้บาดหมายให้ถอดชื่อเหมือนอย่างหม่อมเหมน ข้าราชการเพ็ดทูลลางคนก็ออกพระนามว่า พระองค์เจ้าคันธรศบ้าง ออกพระนามว่ากรมหมื่นศรีสุเรนทร์บ้าง”

หลังจากชำระความกรมหมื่นศรีสุเรนทร์แล้ว เกิดมีผู้ทิ้งหนังสือในพระบรมมหาราชวัง หยาบช้าถึงองค์พระเจ้าแผ่นดินทีเดียว ความในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ ว่า

“ครั้นชำระความกรมหมื่นศรีสุเรนทร์แล้ว ก็มีผู้ทิ้งหนังสือหยาบช้าในพระราชวัง โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นตระลาการพิจารณาให้ค้นลายมือเจ้า แลเจ้าจอมทุกเรือนเอามาสอบกับหนังสือทิ้ง ก็ถูกลายมือพระองค์เจ้ากระษัตรี ซึ่งเป็นภคคินีของพระองค์เจ้าสุริยวงศ์ ได้ไล่เลียงไต่ถามพระองค์เจ้ากระษัตรีก็ยังหารับไม่ จึงมีพระราชดำรัสให้ลงพระราชอาญา จำไว้ที่หลังห้องพระสุคนธ์ พระองค์เจ้ากระษัตรีได้ให้โขลนที่คุมนั้นไปซื้อกระดาษดินสอมาให้ ได้เขียนหนังสือที่นั่น แล้วใช้ให้คล้ายบุตรีพระสิริโรท เอาไปทิ้งที่ท้องพระโรงอีกครั้งหนึ่ง

คล้ายคนนี้เป็นคนรำ แต่ได้พระราชทานให้เป็นบุตรของพระองค์เจ้ากระษัตรี จึงได้มาเยี่ยมเยือนพระองค์เจ้ากระษัตรี ตระลาการถามก็รับทั้งสองคน”

จากการค้นทุกตำหนักทุกเรือนเมื่อเกิดความหนังสือทิ้งของพระองค์เจ้ากษัตรี เลยจับเพลงยาวนายช้อยได้ที่เรือน หม่อมเจ้าองุ่นในกรมหลวงนรินทรรณเรศ (กรมหลวงนรินทรรณเรศ เป็นพระโอรสที่ ๓ ใน สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี สมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ ในรัชกาลที่ ๑ เป็นต้นราชสกุลนรินทรางกูล ณ อยุธยา

หม่อมเจ้าองุ่นทิ้งหนังสือหยาบช้าซ้ำอีก

ครั้งนั้นจับเรื่องชู้สาวในพระราชวัง ผิดกฎมณเฑียรบาลได้อีกหลายราย โปรดเกล้าฯให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิต ตั้งแต่พระองค์เจ้ากษัตรี หม่อมเจ้าองุ่น และหญิงชายอีก ๘ คน เฉพาะพระองค์เจ้ากษัตรี นั้น ให้ทุบด้วยท่อนจันทน์ตามราชประเพณี
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 15:59

ยาวล่ะครับงานนี้  จากจีนแขกในเสภาขุนช้างขุนแผน - กะเทย - เล่นสวาท - เจ้านายนักเลง - ตอนนี้กลายเป็นเรื่องทิ้งบัตรสนเท่ห์ ประหารท่อนจันทน์เสียแล้ว 

มีเสภาขุนช้างขุนแผนภาคปลายที่กรมศิลปากรชำระต่อจากที่หอพระสมุดฯ ชำระ อยู่ตอนหนึ่งกล่าวถึงพลายยงลูกสร้อยฟ้าอาสาสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ(พระเจ้าแผ่นดินที่ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระพันวษา)ไปรบที่เมืองอ้ายมุ่ย (เมืองปลายอาณาเขตของจีน) และได้นางเวสิวลูกเจ้าเมืองอ้ายมุ่ยเป็นเมีย  เป็นตอนเดียวที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับจีน  ไม่ทราบว่า  ควรจะนำมาเล่าไว้ในกระทู้นี้ไหม  เพราะอาจมีคนที่ไม่เคยรู้จักหรืออ่านเสภาตอนนี้ จะได้ทราบ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 16:18

ไหนๆเลี้ยวออกนอกซอย    เลยอ่าวไทยไปแล้ว ก็มุ่งหน้าไปอ้ายมุ้ยเถอะค่ะ
เมืองนี้  จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า หมายถึงเอ้หมึง

ในตอนจบ  พลายยง ถูกพลายเพชรพลายบัวฆ่าหรือเปล่าคะ   จำไม่ได้แล้ว
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 13 พ.ย. 09, 16:30

เอาเป็นว่า ต้นสัปดาห์หน้า จะเริ่มเล่าเรื่องเสภาพลายยงไปรบที่เมืองอ้ายมุ่ยได้นางเวสิว
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 16 พ.ย. 09, 13:56

มาทำตามสัญญานะครับ

ก่อนจะไปถึงเสภาตอนพลายยงอาสาไปรบเมืองอ้ายมุ่ยได้นางเวสิว  ต้องเท้าความไปถึงเสภาตอนจบของฉบับหอพระสมุดวชิรญาณก่อน  เพื่อจะได้ทราบว่าเนื้อเรื่องในภาคปลายก่อนที่จะถึงตอนที่จะเล่านี้ ดำเนินมาอย่างไร

หลังจากพลายชุมพลปราบจระเข้เถรขวาดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่หลวงนายฤทธิ์ มหาดเล็กแล้ว  กล่าวถึงเณรจิ๋วซึ่งเป็นศิษย์ของเถรขวาด  คอยอาจารย์เถรขวาดกลับมาอยู่นาน เป็นทุกข์อยู่  อยู่เณณจิ๋วจำวัดฝันไปว่าเถรขวาดตาย ก็ตกใจตื่นพร้อมกันนั้นก็มีลางบอกเหตุไม่ดีขึ้นมากมาย  เณรจิ๋วจึงตรวจดูยามอัฐกาล ได้ความว่า "ได้เมื่อพระยาม้ารีจตาย   ต้องสายศรทรงองค์พระราม" เณรจิ๋วเห็นท่าไม่ดีจึงออกตามหาอาจารย์มาที่กรุงศรีอยุธยา ดดยแปลงกายเป็นนกทึดทือบินมา  เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยาก็ได้เห็นศพเถรขวาดที่พลายชุมพลตัดศีรษะขาดกลิ้งอยู่  นกเณรจิ๋วเสียใจที่ทราบว่าอาจารย์ตรวจตายแล้ว จึงพยายามคาบเอาศีรษะอาจารย์เถรขวาดกลับเมืองเชียงใหม่ ระหว่างทางที่นกทึดทือเณรจิ๋วคาบศีรษะอาจารย์กลับเชียงใหม่นั้น เณรเกิดเหนื่อยขึ้นมาจึงแวะพักเหนื่อย  ก็วางศีรษะอาจารย์ไว้  บังเอิญมีเสือตัวหนึ่งมาคาบเอาศีรษะเถรขวาดหนีไป นกเณรจิ๋วเห็นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงร้องไห้บินกลับเชียงใหม่ไป

กล่าวถึงพระไวยแอบไปได้นางแว่นฟ้าลูกสาวเศรษฐินีในละแวกบ้านใกล้เคียงเป็นเมีย โดยที่ไม่มีใครที่บ้านพระไวยทราบ  ระหว่างนั้นสมเด็จพระพันวษาได้พระราชทานนางสร้อยระย้า ลูกสาวเจ้าเมืองพิมาย ซึ่งเจ้าเมืองพิมายได้นำมาถวายตัวเป็นนางในแต่เล็ก แต่ยังไม่ทำราชการอันใด  ให้เป็นภรรยาของพลายชุมพล  พระไวยกับศรีมาลาจึงได้ช่วยกันจัดงานแต่งให้พลายชุมพลกับนางสร้อยระย้า  ฝ่ายพระไวยยังลอบไปหานางแว่นฟ้าอีกจนถูกเศรษฐินีผูเป็นแม่นางแว่นฟ้าจับได้ว่าพระไวยแอบมาหลับนอนกับลูกสาวตน พระไวยจึงได้ขอษมาและยินดีรับเลี้ยงนางแว่นฟ้าเป็นเมีย 

ฝ่ายนางศรีมาลามาแจ้งขุนแผนว่าพระไวยหายไปไหนไม่รู้หลายวัน  ขุนแผนจึงจับยามดู  ระหว่างนั้นมีแขกเมืองมาถวายเครื่องบรรณาการแด่สมเด็จพระพันวษา มีทูตญวนเป็นต้น  สมเด็จพระพันวษามีรับสั่งให้พระไวยกับพลายชุมพลออกตีคลีให้แขกเมืองชมเป็นขวัญตา ร้อนถึงพลายชุมพลต้องออกตามหาพระไวย จนไปพบพระไวยอยู่กับนางแว่นฟ้า  จึงแจ้งความรับสั่งให้ทราบ  นางแว่นฟ้าจึงได้รับช่วยจัดเครื่องแต่งกายสำหรับพระไวยกับพลายชุมพลแต่งตัวไปตีคลี  พระไวยพานางแว่นฟ้ามาที่บ้านพระไวย  ไหว้นางศรีมาลากับขุนแผน  นางศรีมาลากัยนางแว่นฟ้าไปดูพระไวยพลายชุมพลตีคลีหน้าพระที่นั่ง แล้วเกิดการหยั่งเชิงกันเล็กน้อย เมื่อเหตุการณ์นี้ไปแล้ว  สมเด็จพระพันวษาสวรรคต สมเด็จพระจักรพรรดิขึ้นครองราชย์สืบแทน  ขุนแผน นางแก้วกิริยา ลาวทอง พระไวย พลายชุมพลตาย ส่วนนางสร้อยระย้าไม่มีลูกกับพลายชุมพลก็กลับเมืองพิมายไป (ถ้าว่ากันตามจริง เนื้อความฉบับหอพระสมุดควรจะมาสิ้นสุดตรงนี้ เพราะหลังนี้ตัวละครจะเปลี่ยนไปเกือบหมด)

..........................................................

กล่าวถึงนางสร้อยฟ้าหลังจากกลับเชียงใหม่แล้วก็คลอดลูกชื่อพลายยง เมื่อพลายยงโตขึ้น นางสร้อยฟ้าก็ดำริที่จะพาพลายยงลงมาเฝ้าถวายตัวกับสมเด็จพระจักรพรรดิที่กรุงศรีอยุธยา  นางจึงได้สั่งให้เตรียมของเดินทางมากรุงศรีอยุธยา  โดยตั้งขุนนางดูแลเมืองเชียงใหม่ระหว่างที่นางไม่อยู่  นางสร้อยฟ้านำพลายยงเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิ  พลายยงเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระจักรพรรดิมาก

............................................................

เล่าเกริ่นเท่านี้ก่อน ตอนหน้าเข้าเรื่องล่ะครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 19 คำสั่ง