เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16
  พิมพ์  
อ่าน: 60552 ชาติพันธุ์วรรณา ในขุนช้างขุนแผน (๒)
Whitearmy
อสุรผัด
*
ตอบ: 23



ความคิดเห็นที่ 195  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 12:16

เรื่องฝีมือการทำขนมเบื้องนี่  สมัยต้นรัตนกสินทร์คงถือเป็นศิลปะการทำอาหารชั้นสูงที่ต้องฝึกฝนกันนานกว่าจะทำได้และทำได้สวยงามสม่ำเสมอ

มองต่างมุมกับคุณหลวงขอท้วงหน่อย
ขนมเบื้องพบได้บ่อยชั้นสูงไม่
แป้งข้าวจ้าวมะพร้าวคั้นน้ำตาลไข่
คลุกเคล้าให้ส่วนผสมกลมกลืนกัน
ไฟรุมรุมกระทะวางตั้งบนเตา
ละเลงเข้าอย่ารอรีขมีขมัน
เป็นแพนเค้กพื้นบ้านหวานเค็มมัน
มีขายกันหัวท้ายบ้านไม่ขาดแคลน
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 196  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 13:02

ที่ว่า ขนมเบื้องเป็นศิลปะการทำอาหารชั้นสูง หมายความว่า เป็นอาหารที่ต้องใช้ฝีมือในการทำมาก คนที่ทำไม่เป็นเลยหรือไม่เคยฝึกทำมาก่อน เพียงแค่เห็นเขาละเลงแป้งขนมเบื้องบนกระทะ ใช่ว่าจะทำได้ทันที ยิ่งถ้าทำให้บางดีขนาดสม่ำเสมอ  ยิ่งต้องฝึกกันนาน ไม่เช่นนั้นโบราณเขาจะมีสำนวนว่า  ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก หรือ  กรณีศรีมาลากับสร้อยฟ้าก็เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดว่า  สร้อยฟ้าเป็นลูกเจ้าชาวเหนือ อาจจะเคยกินขนมเบื้องเคยเห็นชาวบ้านชาววังทำขนมเบื้องอย่างไรก็ตามแต่  เมื่อต้องมาทำจริงๆ มันไม่ใช่ของทำกันได้ง่าย ถ้าไม่ได้ฝึกฝนกันมา  ที่พูดอย่างนี้ได้  เพราะได้เคยไปนั่งดูเขาฝึกทำขนมเบื้องมาตั้งแต่เด็กๆ  และเคยไปถามแม่ค้าที่เขาขายขนมเบื้องตามงานวัด  กว่าจะละเลงแป้งขนมเบื้องกันเป็น หมดแป้งไปหลาย  ถึงใครที่ฝึกละเลงแป้งขนมเบื้องเป็นแล้ว  แต่ถ้าไม่ได้ทำอยู่เสมอ  นานๆ ทำที  ก็มีเหมือนกันที่ต้องมานั่งฝึกกันใหม่ 

ไม่ได้หมายความว่า เป็นอาหารของคนชั้นสูงในรั้วในวังอย่างใดเลย  ดีไม่ดี ขนมเบื้องในรั้วในวังก็อาจจะเอาขนมเบื้องชาวบ้านนี่แหละไปพัฒนาต่อให้ประณีตขึ้นเป็นขนมเบื้องชาววัง   

กลอนที่แต่งมา  วรรครองบทแรก (บรรทัดที่สาม) ใช้เสียงวรรณยุกต์ผิดหลักเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค  เพราะปกติกลอนวรรครองต้องลงท้ายด้วยเสียงวรรณยุกต์สามัญหรือหรือตรี     ส่วนบทที่สอง  ใช้คำรับสัมผัสซ้ำกับคำส่งสัมผัสท้ายบทแรก  กัน-ขมัน-มัน-กัน ไม่ผิดร้ายแต่ไม่นิยมกัน
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 197  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 15:27

คำ่วันนั้น

พระไวย หอมกลิ่นดอกพุทธชาดที่อยู่ในกระถาง  จึง

เกิดวาบหวามทรวงซาบอาบอาลัย                        เดินไปเข้าห้องศรีมาลา

นางศรีมาลามีความเขินอายเนื่องผู้คนยังตื่นอยู่  เด็กเล็กก็ยังไม่หลับ



พระไวยตอบว่าเจ้าอย่างอน                                ความรักพี่นี้ร้อนดังไฟเรือง

นางศรีมาลาก็บ่ายเบี่ยงว่า

เด็กเล็กมันยังตื่นครื้นทั้งเมือง                              ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร ฯ



เด็กเล็กในที่นี้ก็คงรวมความถึงพลายชุมพล  และสมุนตัวน้อยๆ  ยังวิ่งเล่นกันครึกครื้นอยู่แถวนอกชาน



อนิจจา   การตัดพ้อต่อว่าเท่านี้เป็นกองเพลิงที่ดินประสิวได้เชื้อ

ดินประสิวนั้นคือนางสร้อยฟ้าที่ยัง แค้นเคืองปวดปอดตลอดไส้  แสดงว่า รวดร้าวไปทั้งร่าง   น่าเห็นใจนางอยู่เหมือนกัน

ข้อสำคัญคือคนกลางเลือกไปรับราชการที่เรือนคู่แแข่งขัน



นางจึงอาละวาดด่าทอว่านางศรีมาลามีฝีมือในการยั่วยวนพระไวย  แถมมายกตัวเรื่องทำขนมเบื้องว่าเก่งกว่า



นางศรีมาลาก็ตอบว่านางสร้อยฟ้าต้องการให้พระไวยไปหาหรือ
คำเปรียบเปรยนั้นเป็นธรรมชาติ

นางสร้อยฟ้าประชดว่าศรีมาลาคงมียาดี  ทำให้มีเสน่ห์ใน   

พระไวยตอนนี้ยังฟังสองหญิงเปรียบเปรยกันไปมายังสนุกอยู่



นางทองประศรีไม่สนุกด้วย  เพราะสร้อยฟ้าเหน็บแนมพระไวยหลานชายเข้าด้วย  จึงด่าว่า

      เหวยลาวเลยลาวไปแล้วเหวย..........

หมายความว่านางสร้อยฟ้าทำเกินตน           นางทองประศรีได้เอื้อเฟื้อคำด่าทออีกประมาณเจ็ดแปดคำ


(น่าเสียดายมากที่ยังไม่มีเสภาครูแจ้งตอนนี้     น่าจะเป็นความรู้ได้อีกมาก)
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 198  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 16:19

หลังจากพระไวยออกจากบ้านไปเฝ้าแล้ว       สร้อยฟ้าได้เริ่มสงครามอีกครั้งหนึ่งโดยการ
กระทืบเท้าแสดงอำนาจ
ด่าบ่าวไพร่ของตัวเป็นการประชดอย่างหยาบคาย


การกระทืบเท้าในเรือนนั้น   ผู้ที่พอจะได้รับการอบรมจะไม่ทำ  เพราะถือว่าทรามมารยาท
หนึ่ง เสียงดัง                  สองเรือนกระเทือน                (สาม ผีเรือนตกใจ)
กระทืบโครมที่ระเบียงเรือนฝั่งนี้           หม้อชามรามไหที่อีกฟากเรือนกระเด็นกระดอนแน่ๆ


ความหึงหวง  และความต้องการตามธรรมชาติที่อยากให้สามีเอาใจ   รวมความน้อยใจที่โดนต่อว่ามาแล้วสองครั้ง  ว่า สู้คู่แข่งไม่ได้
สร้อยฟ้าไม่สามารถระงับอารมณ์  ข่มโทสะ  ที่หนุนเนื่องด้วยความอาย  ความน้อยใจ
นางไม่เคยมีคู่แข่ง

เมื่อสมเด็จพระพันวษาไม่เลือกตัวนางก็เป็นความผิดหวังครั้งใหญ่มาแล้ว

แต่ครั้งนี้เป็นความจริง  ที่นางแทบไม่มีความสำคัญในครัวเรือน


ความรุนแรงจึงเพิ่มระดับขึ้น


นางศรีมาลาไม่ได้เก็บปาก  ก็เถียงไปว่าอยากได้ตัวพระไวยก็มาฉุดเอาไป
มาด่าว่าซำ้ซากทำไม    นางไม่ได้เป็นนางเชลยที่ถูกตีเมืองมา



สร้อยฟ้าขาดสติที่จุดนี้  คือ พระไวยไม่อยากไปหานาง    ใครเลยจะยอมรับการหยามนี้ได้
ยิ่งวาจาเปรียบเปรยว่านางเป็นนางเชลย  เจ็บปวดเหมือนถูกแทงด้วยกริช



ที่นางบุษบาคิดว่าลูกสาวไม่ค่อยมีปากมีเสียงนั้น      นางอาจจะเข้าใจผิดไป
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 199  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 17:10

มาถึงตอนนี้  นั่งพัก ขอฟังคุณวันดีเล่าเรื่องดีกว่าค่ะ
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 200  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 20:22



สร้อยฟ้าเป็นธิดาพระเจ้าเชียงใหม่  เมื่อมาพักลงเรือกันยาที่พิจิตร   คงสังเกตพระไวยอยู่แล้ว
กิจกรรมในยามค่ำคืนที่แม่ทัพไปเยือนเรือนท่านผู้ว่าในยามราตรี   คงเป็นที่ซุบซิบกันอยู่บ้าง
สร้อยฟ้าใช้ข่าวกรองชิ้นดีโจมตีศรีมาลาแบบ surprise attack



ศรีมาลาโกรธแทบบ้า  เพราะโดนว่าซึ่งหน้าว่ามิใช่สาวพรหมจารี  อุตส่าห์ทำสงบเสงี่ยม
เสไปว่าสร้อยฟ้ามาขึ้นกูขึ้นเอ็ง      ต้องตบเสียหน่อย     
ถ้าจะเข้าไปตบโดยไม่ประกาศคงเป็นการฉลาดกว่า      ขู่แล้วเดินวนเวียนไปมาเป็นการประกาศสงครามก่อนยกทัพ
อีกฝ่ายก็เตรียมตัวทัน


สร้อยฟ้ามีเวลาพอที่จะคาดนม  คือรัดทรวงด้วยผ้าที่คล้องคออยู่  และเกล้าผมให้แน่นหนา

การตบตีมิได้เกิดขึ้นเพราะผู้ช่วยนางเอก  พลายชุมพลถลันเข้าขวาง    สร้อยฟ้าผลักพลายชุมพลเซไปตกร่อง

(ร่องที่มีในเรือนไทยนั้น   มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่าง   พวกเราน่าจะชุมนุมประชุมกันคุยเรื่อง ร่องต่อไปในโอกาสหน้า)



โชคร้ายของสร้อยฟ้าที่พลายชุมพล(อายุ ๗ ขวบ   ต้องย้ำประเด็นนี้ไว้เรื่อยๆ)ได้รับบาดเจ็บ

นางทองประศรีมีคนทั้งตลาดสั่นหัวตั้งแต่ยังสาว ๆ  ซัดนางสร้อยฟ้าอีกชุดใหญ่     
ถ้าจะลอกมาลง  เกิดมีสหายแถวนี้นำไปเขียนบทละครโทรทัศน์เข้า   ท่านผุ้ชมจะตื่นตาตื่นใจกับคำไทยเดิมที่มีความหมายลึกซึ้ง


นางสร้อยฟ้าน่าสงสารแท้ๆรำพันว่า หัวเดียวไม่มีพี่น้อง    เชิญทุบถองเอาตามใจ




พระไวยกลับมาเห็นสร้อยฟ้ากำลังเถียงกับคุณย่าอยู่พอดี 
ถามเรื่องได้ความ   ก็ฉวยไม้ได้ไล่ตี



การตีนางพระราชทานแบบ ขวับขวับยับตลอดไปทั้งหลัง    ลายกระทั่งตัวตลอดบ่า     พระไวยหวิดจะทำผิดกฎหมายแล้ว
พระราชกำหนดบอกว่า  จะตีให้เสียทรงไม่ได้
ตีกันขนาดไหน  แขนหัก   ซี่โคร่งหัก   ขาเป๋ฤา
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 201  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 20:38

สร้อยฟ้าวิ่งหนีเจ้าไปในเรือน ปิดประตูแล้วร้องไห้
ร้องไปคร่ำครวญไป
ไม่ได้ว่าพระไวยเท่าไร    โกรธศรีมาลามากที่สุด

สิ่งที่นางเป็นห่วงคือเมื่อไรพระไวยจึงจะมาคืนดี

ดังเพชรนิลปิ่นหลุดออกจากเรือน                                ทลายแหลกแตกเปื้อนลงป่นปี้
จะมืดคล้ำดำไปไม่มีดี                                             สักกี่ปีจะได้คืนขึ้นเรือนทอง


การอ่านเสภาขุนช้างขุนแผนนั้น  ถ้าอ่านกันดัง ๆ   และผลัดกันแปล   สนุกมาก
ขอให้อ่านด้วยความสดชื่น   แฝงความสงสัย


นิล(หรือเพชร)ที่หลุดออกจากเรือน     ตกพื้นแล้วหายาก


ไม้ที่พระไวยคว้ามาตีสร้อยฟ้าคือไม้อะไร


ท่านผู้ใดทราบประวัติ นายบุญจันโขน   โปรดแบ่งปันด้วยเทอญ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 202  เมื่อ 10 พ.ย. 09, 20:56

อ่านแล้วก็สงสารผู้หญิงตัวคนเดียว  เป็นพระธิดา ยศศักดิ์ควรจะเป็นถึงเจ้าจอมหม่อมห้ามในวังหลวง แต่มาได้สามีหัวหมื่นมหาดเล็ก เขานอกจากไม่รักแล้วยังไม่เกรงใจอีกด้วย  ตีเอาๆยังกะตีข้าทาส

ไม้ที่พระไวยคว้ามาตี   กวีใช้คำว่า "ขวับขวับ" ประกอบเสียงตี   อ่านแล้วเข้าใจว่าเป็นไม้ชนิดอ่อน อย่างไม้ไผ่  เพราะบอกว่า
ขวับขวับยับตลอดไปทั้งหลัง              ลายกระทั่งทั่วตัวตลอดบ่า

โดนขนาดนี้ เนื้อไม่แตก  เพียงแค่เป็นริ้วลาย  เข้าห้องก็แค่  "เจ็บระบมตรมทั่วทั้งตัวไป"  ถ้าหากว่าเป็นไม้เนื้อแข็ง   ผิวบางๆของหญิงสาวคงแตกยับ เลือดอาบไปทั้งหลังแล้ว  เจ็บมากกว่าระบม
บันทึกการเข้า
Whitearmy
อสุรผัด
*
ตอบ: 23



ความคิดเห็นที่ 203  เมื่อ 11 พ.ย. 09, 03:30

ยิ่งถ้าทำให้บางดีขนาดสม่ำเสมอ  ยิ่งต้องฝึกกันนาน ไม่เช่นนั้นโบราณเขาจะมีสำนวนว่า  ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก หรือ  

ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก เป็นการแดกดันว่า การใช้ปากบันดาลโดยไม่ใช้มือทำ ย่อมไม่เกิดผล
สำนวนนี้ ไม่ได้ให้น้ำหนักว่าการละเลงขนมเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์เลยหนา





จากโคลงที่ยกมา ทำให้รู้ว่า สมัยก่อน ท่านทำทั้งขนมเบื้องคาวหลายหลากหน้าและขนมเบื้องหวาน  แต่สมัยนี้เหลือขนมเบื้องหวานเพียงอย่างเดียว


คุณหลวงเรื่อยเจื้อยว่าสมัยนี้มีแต่ขนมเบื้องไส้หวาน
ก็ขนมเบื้องงานวัดหลวงพ่อโสธร มีงานประจำปีทีมาขายกันเป็นร้อยร้าน
หรือตามตลาดข้างถนนก็เห็นกะละมังใส่ไส้สีส้มเด่นมาแต่ไกล
ทำด้วยมะพร้าวขูดด้วยกระต่ายปนกุ้งแห้งป่น แต่งสีส้มแจ๊ดและดับคาวด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย
หรือขนมเบื้องบรรดาศักดิ์ออกซุ้มตามที่คุณแวนดี้เอ่ยใน คห ๑๘๐ ก็ใช้ไส้กุ้งสดแต่งรสเค็มปะแล่ม
หรือไส้ปลาช่อนนึ่งแกะเนื้อขาวโขกทำเป็นปลาหย็องไงล่ะ
ขนมเบื้องจะออกแขก ประกวดประชันก็ต้องใช้ไส้เค็มชูโรง


กลอนเสภาที่ใช้ขับ เป็นการออกเสียงดังๆ
เสียงลงท้ายถ้าจะเพี้ยนนิดหน่อย เวลาขับก็ขับช่วยได้
ไม่ผิดฉันทลักษณ์ก็ไม่เป็นไร แต่ผิดใดไม่น่าเกลียดเท่ากับสะกดผิดๆ หลายแห่งดังใน คห 194 ข้างต้น
คนเราอยู่ใกล้ตัวหนังสือ ขีดเขียนพิมพ์ทานระมัดระวังบ้างก็ดี
(กระทู้นี้เป็นกระทู้ขุนช้างยาวอยู่แล้ว คุณหลวงชักใบยกโคลงที 10 กว่าบท เยิ่นเย้อ)
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 204  เมื่อ 11 พ.ย. 09, 06:56

อ้าว!    หลบ....









พระเจ้าเชียงใหม่มีอาจารย์ชื่อ เถรขวาด  เป็นผู้มีคาถาอาคมเก่งกล้าตามมาจากเชียงใหม่
และวานให้อยู่อยุธยาเพื่อคอยป้องกันพระธิดา
เถรขวาดนุ่งเหลืองห่มเหลือง  บิณฑบาตพอเลี้ยงตัว   กินข้าวเย็นและดื่มสุราเป็นระยะ ๆ
อาศัยอยู่ที่วัดพระยาแมน

นางสร้อยฟ้าใช้สาวใช้ไปหา  ขอความช่วยเหลือ  ให้ช่วยทำให้พระไวยหลงเสน่ห์และเกลียดชังนางศรีมาลา

เถรขวาดอายุ แปดสิบปลายแล้ว      นางไหมกว่าจะผ่านด่านเณรจิ๋วเข้าไปหาเถรได้ก็โดนคว้าข้อมือ
ซึ่งถือว่าเป็นการลวนลาม

นางไหมผู้นี้นับว่าแคล่วคล่องพอตัว  นางปัดมือเณรแล้วอุทานว่า  ต๊าย! ปลาขอดแล้วยังกระดิกได้

นับว่าปากคมพอใช้

นอกจากนี้วาทะของนางไหมที่ผู้อ่านเสภาชอบใจกันมาก แต่สมัยนี้ไม่ค่อยจะสนใจกัน

คือ เมื่อเถรหยอกนางทีเล่นทีจริง  นางเฉือนว่า    แก่จนแมลงวันตัวเมียบ่บินตอม


     
การทำเสน่ห์นั้นใช้ขี้ผึ้งปากผี   ซึ่งคงเก็บยากหน่อยกว่าจะได้มาปั้นตุ๊กตาสักคู่
นี่ต้องทำสองคู่  คือคู่พระไวยกับศรีมาลาหันหลัง   และคู่พระไวยกับสร้อยฟ้ากอดกัน

การทำเสน่ห์ได้ผล

บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 205  เมื่อ 11 พ.ย. 09, 07:06

พระไวยรักสร้อยฟ้าและเฆี่ยนตีศรีมาลา       
นางทองประศรีก็ต้องมนต์ไปด้วยคือเป้าหมายของการด่าก็ย้ายมาที่ศรีมาลา


พลายชุมพลจึงหนีออกจากบ้านไปหาขุนแผนและนางแก้วกิริยาที่กาญจนบุรี
รายงานว่าพระไวยถูกเสน่ห์
แล้วหนีจากกาญจนบุรีไปหาตายายที่สุโขทัยต่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 206  เมื่อ 11 พ.ย. 09, 09:05

"ขนมเบื้องทำด้วยปากยากอะไร"
กลอนวรรคนี้บอกชัดเจนในตัวแล้วว่า ขนมเบื้อง ถ้าทำด้วยปาก คือแค่พูด  ก็ไม่ยาก     แต่ถ้าลงมือทำ มันยาก
ไม่ได้หมายความถึงได้ผลหรือไม่ได้ผล

การแต่งกลอน  วรรคที่สาม นิยมใช้เสียงสามัญ หรือเสียงตรีก็ได้  แต่ "ไข่" เป็นเสียงเอก  เขาไม่ใช้กัน
กวีที่แต่งขุนช้างขุนแผน ไม่มีใครใช้เสียงเพี้ยน   โดยหวังจะให้นักขับเสภาช่วยกลบเกลื่อนให้   หัดแต่งกลอน อย่างแรกที่ต้องคำนึงคือแต่งให้ถูกตามฉันทลักษณ์

อย่านึกว่าโพสต์เป็นภาษาอังกฤษแล้วดิฉันจะจำสำนวนภาษาคุณไม่ได้      คำถามก็คือเมื่อไรคุณจะเลิกมาตอแยในเรือนไทยเสียที   คุณกินนรเริงร่า นุชนา บาบาตอฟ
ถ้าคุณมาด้วยเจตนาจะสนทนาในเรือนไทย  ดิฉันก็จะไม่ว่าอะไร   ให้โอกาสคุณตั้งแต่กระทู้คุณไปถามถึงราชสกุลนวรัตนแล้ว  
แต่คุณจะต้องคำนึงถึงมารยาทด้วยว่า ในเรือนไทย  เราคัดค้านกันได้ ท้วงติงหรือแย้งกันได้  แต่ต้องให้เกียรติกันด้วยคำสุภาพ   ไม่ใช้ถ้อยคำนำไปสู่การทะเลาะวิวาท  และไม่แถว่า ถ้ามาหาว่าฉันผิดเรื่องนี้  คุณก็ผิดเหมือนกันในเรื่องโน้น

คุณจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนภาษาจากไทยเป็นอังกฤษ หรือเปลี่ยนอะไรก็ตาม   สิ่งหนึ่งที่คุณเปลี่ยนไม่ได้ คือถ้าใครทักท้วงว่าคุณผิด     คุณจะเกิดโทสะขึ้นมาทันที   นับว่าน่าเสียดายโอกาสที่คุณจะได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นๆ ฉันมิตร  
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 207  เมื่อ 11 พ.ย. 09, 16:02

ไม่เป็นไรครับ  ถือเสียว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงวิชาการเจริญครับ  คนเราจะให้คิดเห็นเหมือนกันหมดคงเป็นไปไม่ได้  ต้องถกเถียงแสดงความเห็นกันในสิ่งที่เห็นไม่ตรงกันบ้างเป็นธรรมดา  มิฉะนั้นความรู้จะไม่งอกงาม

ขอขอบพระคุณคุณเทาชมพูมากครับ 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 208  เมื่อ 11 พ.ย. 09, 16:06

ขอบคุณคุณหลวงเล็กค่ะ   ถ้าอย่างนั้นดิฉันก็จะให้โอกาสเขาอีกที  
ถ้าจำกัดอยู่แต่กับประเด็นที่สนทนากัน ถึงคิดเห็นต่างกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ   ดิฉันไม่ได้ท้วงความเข้าใจที่ต่างกัน
แต่ท้วงวิธีการใช้ถ้อยคำ ที่ไม่เหมาะสม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 209  เมื่อ 12 พ.ย. 09, 14:37

ลาวตัวสำคัญในขุนช้างขุนแผน   ยังออกโรงมาแค่อินโทร ที่คุณวันดีจูงมาให้เห็น     ยังเหลือบทบาทอีกมาก   
คือเถรขวาด  ราชครูเชียงใหม่    กวีผู้แต่งแก้ตัวให้แกว่าตอนเกิดศึก แกไม่อยู่ มัวเข้าป่าไปหาเหล็กไหล   กว่าจะออกจากป่า พระเจ้าเชียงใหม่ก็ยอมแพ้แม่ทัพอยุธยาไปแล้ว   ทำเอาแกแค้นจัด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
แกก็เลยลงมาอยู่อยุธยา    ทำตัวเป็นอลัชชีไปตามเรื่อง   แต่ก็ไม่ลืมที่พระเจ้าเชียงใหม่มอบหมาย คือให้ดูแลทุกข์สุขพระธิดา
เมื่อสร้อยฟ้าเดือดร้อนเพราะสามีไม่รัก     บากหน้าไปพึ่ง  เถรขวาดก็เลยได้ออกโรง เป็นตัวละครลาวสำคัญบิ๊กเบิ้มไปจนปลายฉบับหอพระสมุด

เชิญคุณวันดีค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.069 วินาที กับ 20 คำสั่ง