ยิ่งถ้าทำให้บางดีขนาดสม่ำเสมอ ยิ่งต้องฝึกกันนาน ไม่เช่นนั้นโบราณเขาจะมีสำนวนว่า ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก หรือ
ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก เป็นการแดกดันว่า การใช้ปากบันดาลโดยไม่ใช้มือทำ ย่อมไม่เกิดผล
สำนวนนี้ ไม่ได้ให้น้ำหนักว่าการละเลงขนมเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์เลยหนา
จากโคลงที่ยกมา ทำให้รู้ว่า สมัยก่อน ท่านทำทั้งขนมเบื้องคาวหลายหลากหน้าและขนมเบื้องหวาน แต่สมัยนี้เหลือขนมเบื้องหวานเพียงอย่างเดียว
คุณหลวงเรื่อยเจื้อยว่าสมัยนี้มีแต่ขนมเบื้องไส้หวาน
ก็ขนมเบื้องงานวัดหลวงพ่อโสธร มีงานประจำปีทีมาขายกันเป็นร้อยร้าน
หรือตามตลาดข้างถนนก็เห็นกะละมังใส่ไส้สีส้มเด่นมาแต่ไกล
ทำด้วยมะพร้าวขูดด้วยกระต่ายปนกุ้งแห้งป่น แต่งสีส้มแจ๊ดและดับคาวด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย
หรือขนมเบื้องบรรดาศักดิ์ออกซุ้มตามที่คุณแวนดี้เอ่ยใน คห ๑๘๐ ก็ใช้ไส้กุ้งสดแต่งรสเค็มปะแล่ม
หรือไส้ปลาช่อนนึ่งแกะเนื้อขาวโขกทำเป็นปลาหย็องไงล่ะ
ขนมเบื้องจะออกแขก ประกวดประชันก็ต้องใช้ไส้เค็มชูโรง
กลอนเสภาที่ใช้ขับ เป็นการออกเสียงดังๆ
เสียงลงท้ายถ้าจะเพี้ยนนิดหน่อย เวลาขับก็ขับช่วยได้
ไม่ผิดฉันทลักษณ์ก็ไม่เป็นไร แต่ผิดใดไม่น่าเกลียดเท่ากับสะกดผิดๆ หลายแห่งดังใน คห 194 ข้างต้น
คนเราอยู่ใกล้ตัวหนังสือ ขีดเขียนพิมพ์ทานระมัดระวังบ้างก็ดี
(กระทู้นี้เป็นกระทู้ขุนช้างยาวอยู่แล้ว คุณหลวงชักใบยกโคลงที 10 กว่าบท เยิ่นเย้อ)