เรื่องราชยานนี้ผมได้ข้อมูลจากเว็บไซด์ http://thaihandiwork.com/thailand_ry6_11.php จึงขออนุญาตนำมาลงประกอบครับ
ลักษณะ ของยานมาศดังกล่าวนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้ทรงพบหลายหลังในวัดต่างๆ ตามเส้นทางขณะเมื่อเสด็จขึ้นไปตรวจการปั้นหุ่นจำลองพระพุทธชินราช ณ จังหวัดพิษณุโลก ใน พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้ ทรงพรรณาถึงลักษณะและร่างภาพที่น่าสนใจไว้ในบทพระนิพนธ์ เรื่อง จดหมายระยะทางไปพิษณุโลก ซึ่งต่อมาได้ พิมพ์เผยแพร่เป็นอนุสรณ์ในการฉลองวันประสูติครบ ๑๐๐ ปีของพระงค์ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ทรงกล่าว ว่าทรงพบยานมาศหักทิ้งอยู่ข้างกุฏิพระที่วัดใหญ่ ตำบลบ้างต้นไทร จังหวัดชัยนาท ลักษณะเป็นฐานสิงห์ ๒ ชั้น และ ฐานหน้ากระดานบัวหงาย ๑ ชั้น ข้างบนมีพนักและมีคานพร้อม ทรงเห็นว่ามีรูปทรงงดงามดีและเป็นฝีมือเก่า พระภิกษุ ในวัดกราบทูลว่าเดิมใช้สำหรับหามพระอุปัชฌาย์ลงโบสถ์ในพิธีอุปสมบทและเป็น ของเก่ามีคู่วัดมานาน เมื่อพม่าตี กรุงศรีอยุธยาได้ได้เลยมาที่วัดนี้ เห็นยานมาศงดงามเข้าใจว่าหุ้มด้วยทองจึงใช้ดาบฟันที่กงเพื่อพิสูจน์ ทำให้มีรอย ดาบปรากฏอยู่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเห็นว่าเป็นงานศิลปกรรมที่ควรเก็บรักษา ไว้ จึงให้พระ วิสูตรโยธามาตย์ถอดเป็นชิ้นๆ บรรทุกเรือมาไว้ที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้นำคานลงมาด้วย*
นอกจากที่วัดใหญ่ดังกล่าว ยังทรงพบยานมาศที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก พบที่ วัดท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์ ๒ หลัง และที่วัดคีรีเชิงเขา อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ๑ หลัง โดยเฉพาะที่วัดท่าเสานั้นได้ทรง บรรยายลักษณะและร่างภาพไว้ ดังนี้ **
"...ใต้ หอไตรนี้มีของสำคัญคือยานมาศแห่พระ มีถึง ๒ อัน ยานมาศที่นี้สูง มาก หลังคานมีตัวนาคฐานเป็นสิงห์สองชั้นแล้วบัวหงายสูงจนตีนต้องมีบัว รอง สองอันรูปไม่ผิดกันแต่คันในผิดกัน รูปมีทำนองนี้ แต่กงไม่สู้แน่ เดาผสม ไว้ เพราะของเดิมหักไม่มีอยู่พอจะเทียบได้ ลายที่คันในควรสังเกตมีสอง สามอย่างคือ