yutthana
|
สวัสดีครับวันนี้นำเรื่องราวเกี่ยวกับกรุพระปรางค์วัดราชบูระมาเสนอครับ อาจเบื่อหน่อยเพราะตัวหนังสือมาก แต่ถ้าอ่านให้จบจะเห็นความเศร้าใจในสมบัติของชาติครับ ภาพแรกเป็นภาพกระสวนหรือโมเดลจำลอง ก่อนจะสร้างกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะครับ ตอนที่เจอครั้งแรกในกรุนั้นตัวไม้นั้นผุพังหมดเนื่องจากความชื้นภายในกรุแผ่นทองที่บุลงไปในกระสวนไม้ลงมากองอยู่บนซากไม้ที่ผุ ทางกรมศิลจึงจำลองพระปรางค์ไม้และนำแผ่นทอง(ของเดิม ) ติดเข้าไปเหมือนเดิม อย่างที่เห็นในรูปครับ
ผลจากการขุดค้นกรุพระปรางค์ วัดมหาธาตุ ได้ทองและของมีค่ามากมายจึงกลายเป็นเหตุเร่งเร้าให้คนร้าย คิดเห็นเป็นตัวอย่างว่า กรุพระปรางค์แหล่งอื่นๆ ก็คงมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเช่นกัน ปรากฏว่าต่อมาพระปรางค์วัดราชบูรณะ ถูกคนร้านลักลอบขุดแต่ไม่ถึงกรุ เมื่อกรมศิลปากรทราบก็กลัวของในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะจะถูกลักขุดจึงไปขุดต่อจากรอยเดิมของคนร้าย ขุดได้เล็กน้อย และพอรู้เค้าว่าในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะมีสมบัติอยู่จริง แต่เนื่องจากขณะนั้นกรมศิลปากรถูกสื่อต่างๆและหนังสือพิมพ์โจมตี วิจารณ์ กล่าวหาว่ากรมศิลปกรดีแต่ขุดหาพระขุดหาสมบัติ ไม่ได้ทำอะไรเอาแต่ขุดกรุแทนที่จะบูรณะโบราณสถานให้คงสภาพสวยงามตามหน้าที่รับผิดชอบที่ตั้งกรมศิลปากรขึ้นมา หากแต่ไปทำเรื่องราวอย่างอื่นที่ไม่เข้าเรื่องเข้าราว กรมศิลปากรจึงต้องกลบรอยขุดไว้ และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลรักษา แต่ข่าววี่แววว่าจะมีสมบัติของมีค่าผังอยู่ในกรุพระปรางค์วัดราชบูระคงล่วงรู้ไปถึงหูชาวบ้านทั่วไปแม้แต่ตำรวจที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ก็คงทราบดีทำให้คนร้ายเห็นช่องทางลักลอบขุดกรุ ทั้งนี้ตัวการสำคัญในการลักลอบขุดคือ จ.ส.ต. หัวหน้าเฝ้ายามและพลตำรวจอีกคนหนึ่ง ได้การเป็นตัวการร้ายเสียเองโดยชักชวนคนร้ายมาลักลอบขุดพอขุดได้ก็แบ่งกันเอาเครื่องทองไปขาย ได้เงินมากก็เอาเงินไปกินเหล้า (เวร มันคุ้มกันไหมเนี่ย ตกนรกแน่พวกนี้ ) แต่จะเป็นด้วยเทวดาอารักษ์หรือสิ่งศักสิทธิ์คุ้มครองสมบัติเหล่านั้นอยู่ จึงบันดาลให้นายตำรวจนายหนึ่งซึ่งแทนที่จะเดินกลับบ้านเอาเงินไปแจกลูกเมีย กลับเดินเข้าไปในโรงพักในสภาพที่เมาแอ๋ ขึ้นไปหาผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดพระนครศร๊อยุธยา คือพ.ต.ท. วุฒิ สมุทรประภูติ และพุดจาทำนองว่า วันนี้เขาร่ำรวยมากมีเงินทองมากมายสนใจจะเอาบ้างไหมจะแบ่งให้ผู้กำกับเลยเลียบเคียงถาม จึงรู้ความจริงและจับคนร้ายได้ ตอนที่จับคนร้ายรายหนึ่งที่ตลาดหัวรอ คนร้ายรายนั้นสวมมงกุฎ ถือพระแสงขรรค์ชัยศรีเดินรำ (เป็นบ้าอยู่) นับว่ายังเป็นโชคดีอยู่บ้างที่เรายังรักษาสบบัติของชาติได้ส่วนใหญ่ และจากปากคำของคนร้ายที่ให้การกับเจ้าหน้าที่มีบันทึกไว้ดังนี้ "......ผมได้ทำการขุดกรุ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน พศ ๒๕๐๐ ได้คิดกับพวกอีก ๒๐ คน เราไปขุดกันวันที่ ๒๕ เพราะวันนั้นไม่มีคนพลุกพล่าน พอเวลาเย็นวันที่ ๒๕ พวกผมอีก ๒๐ คนพร้อมกัน เริ่มทำงานกันในเวลาทุ่มเศษ ได้เอาเหล็กปลายแหลมเหมือนเหล็กขุนชาฟท์ ๓ อัน พร้อมกับเชือกมนิลา ๑ เส้นยาว ๔ วา และฆ้อนแปดปอนด์หนึ่งอันทำการขุดตามรอยเดิมที่กรมศิลปากรขุดทิ้งเอาไว้ได้ขุดศิลาขึ้นมาลึกประมาณวาเศษ ได้เห็นศิลาทำเป็นวงกลมไว้ในระยะใจกลางตัวพระปรางค์ ได้เห็นปล่องทำด้วยโลหะเป็นวงกลมขนาดเท่าลำไม้ไฝ่ขนาดใหญ่ ตอนกลางต้องขุดลงไปตามปล่องประมาณ ๓ เมตรเศษ ก็สุดปล่องก็พบปูนเพชรทำอย่างชนิดที่แข็งมากทำเป็นวงกลมมีรูตรงกลาง และมีปล่องอยู่ในรูนั้นได้ถอดเอาปล่องนั้นออก เอาปูนเพรชนั้นออก ได้พบซุ้มเป็นรูปสี่เหลี่ยมตอนมุมสี่เหลี่ยมมีรูทางทิศตะวันออก รูกว้างสี่นิ้วเศษ เป็นแผ่นหินอ่อนปิดอยู่ขนาดกว้างเท่ากับตัวกรุหนาประมาณสองคืบ เอาฆ้อนทุบประมาณ๓ ชั่วโมงจึงทะลุลงไป เห็นเป็นเครื่องทอง พอทะลุลงไปเป็นรูปกรุสี่เหลื่ยมทำด้วยศิลา เป็นปูนทาไว้แล้วเขียนเป็นภาพน้ำมัน พอลงไปข้างล่าง มีโต๊ะสำริด ๓ ตัว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกตัวหนึ่ง เหนือตัวหนึ่ง ทางทิศใต้อีกหนึ่งตัว ตอนกลางของตัวกรุทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างราวหนึ่งวาเศษ ข้างบนแท่นจัดวาง ถาดทองคำสามใบข้างในถาดมีกระโถนทองคำ ๔ ใบ มีไข่มุกเจาะเป็นรูอยู่เต็มกระโถนทั้งสี่ลูกนั้น และมีตลับทองคำอีกหลายใบวางอยู่ข้างแท่นสี่เหลี่ยมนั้น ในร่องสี่เหลี่ยมมีแหวนทองคำอยู่ ๒๐๐๐กว่าวงโต๊ะทางด้านทิศเหนือ มีพระแสงทองคำปักไว้ทางด้านทิศเหนือ บนโต๊ะมีเสื้อทองคำอยู่ ๘ ตัว และมหามงกุฎอีก ๑ อันกว้าง ๑ศอก สูง ๒ ศอกเศษ บนยอดมหามงกุฎมีหัวมุกดาหาร ๑ หัวขนาดเท่าไข่ห่าน มีจอกทองคำหลายลูกประดับทับทิม และมงกุฎราชินี ๓ อันวางอยู่บน โต๊ะนั้น ตลับทองคำ ๑๒ ใบ ฝาตลับมีหัวทับทิมใหญ่เท่าเม็ดข้าวโพดทุกใบ โต๊ะทางทิศตะวันออกมีมงกุฎราชินี ๕ อันตลับทองคำหัวทับทิม ๒๐ ใบ จอกหลายใบ เสื้อทองคำของพระมหากษัตริย์ ๓ ตัว เรือหงส์หนึ่งอันเป็นทองคำ คนพายเรือ และพระพุทธรูปทองคำ ๒๐องค์ กระบวยทองคำ ๘ ใบ โหล ๔ ใบทำด้วยหินขาว ม่านทองคำขึงท้องพระโรง ๑ ชิ้นใหญ่ ทางทิศใต้มีพระพุทธรูปทองคำ ๒๕ องค์ ตลับทองคำ ๑๓ ตลับฝาตลับประดับด้วยทับทิมสีแดง พระแก้วยืนสีน้ำผึ้ง ๗องค์ พระแก้วนั่งสีขาว ๕ องค์ พระมหามงกุฎราชินี ๘ อัน พระแก้วมรกตสี่องค์ ทางทิศตะวันตกมีผ้าพับไว้อย่างดีมากมาย แต่ป่นเป็นผงเมื่อแตะต้อง พระทองคำ ๓ องค์ หน้าตักกว้าง ๑ ศอก หนักราว ๔ กิโลกรัมพระนาค นั่ง ๑๒ องค์ หน้าตักกว้าง ๑ คืบเศษ พระพุทธรูปทำด้วยทองคำ นาก เงิน ๘ องค์ พระปั้มทองและเงิน ๒ กระสอบ พระแก้วยืน ๑๖ องค์ สีขาว มีราชรถคู่หนึ่งเทียมม้าคู่หนึ่งทำด้วยทองคำ มีขวด ๖ ลูกทำด้วยหินขาว มีแหวนในนั้นเต็มขวดและเศษทองคำอีกมากมายประมาณสิบกระสอบ พอเห็นของพวกนี้ พวกเราพูดขึ้นว่าพวกเรารวยกันแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงานมาได้ใช้เทียนไขจุดส่องดูในกรุนั้น เพราะเทียนไขสว่างดีกว่าอย่างอื่น ได้ลำเลียงส่งของอยู่ประมาณ ๔ ชั่วโมงเศษได้เริ่มขุดเป็นเวลา ๒ คืนครึ่ง ขนของขึ้นยังไม่ทันหมดดีเพราะพวกข้างนอกเิอาของที่ลำเลียงไปไว้ที่บ้านหมดเหลือคนอยู่ในกรุ ๒ คนผมเห็นว่าไม่ดีจึงให้ทั้ง ๒ คนขึ้นจากกรุให้หมดเพราะขณะนั้นฝนตกมาก หนทางที่ขึ้นนั้น ยังเห็นเป็นรอยเท้ามากมาย ในขณะที่ทั้งสองคนขนของยังไม่หมด เพราะเเหวนทองยังมีอยู่อีกมาก หัวทับทิม เศษทอง และ รูปช้าง ม้า ทองคำยังมีอยุ่อีกมากคนทั้งสองเห็นว่าจะเสียท่าพวกข้างบน (มันระแวงกันเอง ความโลภหนอความโลภ ) จึงรีบขึ้นมาจากกรุ ตรงไปที่บ้าน คนที่อยู่ข้างเจดีย์ เจ้าอ้าย เจ้ายี่ (คาดว่าน่าจะอยู่ใกล้กับที่ขุดที่สุด ) ของทั้งหมดนี้แบ่งกันได้คนละ ๒ กิโลครึ่ง ( สองกิโลครึ่ง คูณ ๒๐ เท่ากับ ๕๐กิโล ) พวกที่ไปขุดด้วยมีกัน ๒๐ กว่าคน บางคนมีพี่น้องก็ไปบอกกันให้มาเอาส่วนแบ่ง กลายเป็นคนได้รับส่วนแบ่งกลายเป็น ๓๐ กว่าคน ถึงกับจะฆ่าจะแกงกัน พอของขนมาถึงบ้านแล้วได้จดรายชื่อไว้แล้วเอากิโลมาชั่งแบ่งของกัน ของจำพวกมหามงกุฎหรือของใหญ่ไม่ได้แบ่งกัน มีคนหนึ่งยืนขึ้นว่าจะเอายังไงก็เอากัน พวกคนอื่นๆก็ชักปืนชักมีดออกมา ต่อจากนั้นก็แย่งกันจนล้มจนทับเด็กเล็กร้องไห้จ้าเหตการจึงยุติ พอได้รับของแล้วเอาผ้าขาวม้าห่อของแล้วแยกย้ายกันไป บางคนหนีไปได้บางคนก็พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พอเช้าวันที่๒๘ ตำรวจได้จับกุมหัวหน้าที่คุมขุดกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ซึ่งพอได้พระมหาพิชัยมงกุฎมาถึงบ้านแล้ว ก็เอามาสวมใส่ และออกมารำเล่นพร้อมกับลูกชาย แถวๆตลาดหัวรอ ตำรวจไล่จับจนข้าวของตกเรี่ยราดกลางถนน พวกชาวบ้านเก็บกันได้มากมาย บางคนไปขายแล้วปลูกบ้านหลังใหญ่โตก็มี บางคนก็เป็นบ้าเก็บไปแล้วก็ถูกพี่น้องโกงเอาไปอีกทีหนึ่ง ที่เหลือมาเป็นของกลางนั้นนิดหน่อย......."
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:44
|
|
รูปขยายครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:45
|
|
ต่อมาครับ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:45
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:46
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:47
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:47
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:48
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:48
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:49
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:50
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:50
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:51
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:52
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 04 ต.ค. 09, 13:53
|
|
ต่อมาครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|