เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
  พิมพ์  
อ่าน: 25421 "พระวิหาร" เรื่องที่ใครก็อยากรู้...จริงหรือเปล่า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 26 ก.ย. 09, 22:16

เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของกระทู้ละครับคุณsugar ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
manit peuksakondh
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 27 ก.ย. 09, 07:02

อ่านความคิดเห็นของทุกๆท่านด้วยความเคารพและสนใจยิ่ง ความคิดเห็นแตกต่างเป็นเรื่องที่ดีนะครับทำให้ได้รับความรู้ครบทุกด้าน รออ่านต่ออยู่นะครับ
มานิต
บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 27 ก.ย. 09, 07:49

อดใจรอหน่อย คุณติบอออกคัวไว้แล้วว่างานมาก...ส่วนผมก็อดใจรอที่จะเป็นฝ่ายค้าน(ไม่แค้น) ในบางประเด็นที่เห็นต่าง ก็ขออีกครั้งอย่าว่ากันกล่าวหากันนะคร๊า..บ  การเมือง-การศาสนา..เถียงกันแล้ววุ่นไม่จบ บานปลายง่ายด้วย แลบลิ้น
บันทึกการเข้า
sugar
มัจฉานุ
**
ตอบ: 53


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 27 ก.ย. 09, 11:25

แหม แหม แหม คุณ srisiam กรุณาออกตัวเต็มที่แบบนี้ก็กลัวแย่น่ะซิคะ  จะออกอาวุธทั้งทีใช้แบบมีคุณภาพหน่อยนะคะ ดิฉันเป็นห่วงน่ะค่ะกลัวคุณจะเป็นบาดทะยักซะก่อน

คุณติบอคงไม่เหงาไปอีกนานค่ะงานนี้...อิ อิ
บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 27 ก.ย. 09, 20:04

กังวลไปไยคุณsugar ไม่มีดอกอาวุธนะ มีแค่เข็มหมุดขึ้นสนิมไว้ปักด้วยความสมานฉันท์จ้า.............. ยิงฟันยิ้ม ยิ้มกว้างๆ ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 28 ก.ย. 09, 11:53

ขอบคุณ คุณ sirisiam ที่มาช่วยผมคลายเหงา
เรื่องวิชาการคุยกันถึงจะดูจริงจัง ถึงจะเห็นไม่ตรงกัน
ถ้าแค้นกันก็ไม่ใช่นักวิชาการดิคับ ยินดีโดนค้านเสมอครับ
และขอบคุณ คุณ sugar ด้วยครับ ที่เปิดประเด็นนี้ขึ้น

และขออนุญาตรบกวนสมาชิกเรือนท่านไหนเป็นคุณหมอ...
ผมขอวัคซีนกันบาดทะยักซักหลอดนะครับ
ที่ฉีดไว้ใกล้ถึงเวลาต้องกระดุ้นซะแล้ว... หิหิ




ความเดิมตอนที่แล้ว : คุณ sugar ถามคำถามผมไว้ร่วม 11 หรือ 12 ข้อนี่ล่ะ
ขออนุญาตตอบไม่เรียงลำดับตามคำถามนะครับ เอาทีละข้อ
เริ่มข้อ 1 ที่ "ขอมคือเขมรใช่หรือไม่" น่าจะเหมาะกับการอ่านที่สุด
แต่วันนี้มาขึ้นข้อ 0 ก่อน
ชวนคนอ่านงงๆเล่นครับ.....



ผมมีข้อความตัดตอนมาจากพงศาวดารกรุงเก่า
ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์

ขออนุญาตเล่าเพิ่มพอสังเขป ว่าพงศาวดารฉบับนี้
แต่งเพิ่มในราวรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช



ข้อความที่ตัดมา เล่าถึงเหตุการณ์ในรัชสมัยพระบรมราชเจ้า (เจ้าสามพระยา) ไว้ว่า

ศักราช ๗๙๓ กุนศก (พ.ศ. ๑๙๗๔) สมเด็จพระบรมราชเจ้า เสด็จพระบรมราชเจ้า เสด็จไปเอาเมือง (นครหลวง) ได้และท่านจึงให้พระราชกุมารท่านพระนครอินทร์เจ้าเสวยราชสมบัติ ณ เมืองนครหลวงนั้น ครั้งนั้นท่านจึงให้พระยาแก้ว พระยาไทยและรูปภาพทั้งปวง มายังพระนครศรีอยุธยา



ขออนุญาตขอความเห็นสมาชิกชาวเรือนที่อ่านกระทู้ครับ
ว่า "เมืองนครหลวง" คือเมืองอะไรเอ่ย ?
บันทึกการเข้า
manit peuksakondh
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 28 ก.ย. 09, 12:04

1.ขออนุญาตเรียนเกี่ยวกับข้อ 1 ที่ว่า "ขอมคือเขมรใช่หรือไม่" เคยอ่านเจอตอนเด็กๆว่า ไม่ใช่  ครับ ตำราเขาว่า ขอมนั้นสลาย ไปหมดแล้วเขมร เป็นชนอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่ขอมเคยอยู่ครับ
2.ตอนที่ผม ระหก ระเหิน ระเห เร่ร่อนไปอยู่เมืองเขมร ผมจำได้ว่า โครงกระดูกหน้าของคนเขมร(ส่วนใหญ่นะครับ) มีเค้าขอม ตามที่จารึกไว้ตามปราสาทต่างๆมากครับ
มานิต
บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 28 ก.ย. 09, 16:29

 รูดซิบปาก
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 29 ก.ย. 09, 07:30

ค่ำแล้ว (สำหรับค้างคาวอย่างผม-วันนี้ขอเป็นค้างคาวซักวันนะครับ)
ขออนุญาตมาต่อกระทู้ก่อนนอนซะหน่อย
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของ คุณ manit
และพลาสเตอร์ปิดปากที่คุณ sirisiam เตรียมให้ครับ


มาเล่าต่อว่า "เมืองนครหลวง" ที่ว่า หมายถึง "เมืองพระนคร" ของเขมรครับ
หรือที่เวลาเราเรียกกันติดปากทุกวันนี้ว่า "นครธม" น่ะล่ะครับ

หลักฐานเรื่อง "รูปภาพทั้งปวง" ที่พงศาวดารเล่าถึงก็ยังมีอยู่ แต่ถูกขนไปไว้ที่อื่นซะละ....
เพราะหลังการเสียกรุงครั้งแรก พระเจ้าบุเรงนองขนเอารูปสำริดเหล่านั้นกลับไปพม่าด้วย
ทุกวันนี้ถูกย้ายไปไว้ที่วัดยะไข่ ที่มัณฑะเลย์อีกต่อนึง






ภาพเศียรพระศิวะสำริดที่วัดยะไข่
จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=141740 ครับ


บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 29 ก.ย. 09, 07:35

ประติมากรรมที่เหลือในปัจจุบันโดนซ่อมแซมไปบ้าง
คงเพราะเกิดการชำรุดทั้งจากการขนย้าย และความเก่าแก่ตามกาลเวลา
เพราะนับจากเวลานั้น (ราว พ.ศ. 1800) ถึงปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2552
เวลาก็ผ่านมาร่วม 750 ปีได้ แล้ว แถมยังต้องเดินทางไกลไปอีก
บางชิ้นก็คงสูญหายไปบ้าง.... คุณ sugar คงไม่ว่ากันเนาะ..





ภาพพระศิวะ และสิงห์ในศิลปะบายน จากเวบเดิมครับ


บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 29 ก.ย. 09, 07:48

เล่ามาถึงตรงนี้ หลายๆท่านที่อ่านมาคงถามผมว่า "พล่ามมาทำไม ?" รูดซิบปาก
ขออนุญาตตอบว่า เพราะอยากให้เห็นภาพ "ความเจริญของขอม" และ
อยากให้เห็นต่อไปอีกว่า "คนสมัยอยุธยาเรียกเมืองนครธมว่า 'เมืองนครหลวง' "

ถ้านับจากการเขียนพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
พงศาวดารฉบับนี้เขียนขึ้นอย่างเป็น "งานเขียนเชิงวิชาการ"
ในรัชสมัยของ 'พระนารายณ์มหาราช'

พักไว้ซักพักก่อนนะครับ





พูดถึงงานเขียนเชิงวิชาการไปแล้ว เดี๋ยวคนอ่านเครียด
มาแอบเม้าให้มัน(ส์)ปากเล่นกันดีกว่า
ก่อนรัชการสมเด็จพระนารายณ์ขึ้นไปหน่อย
(สมัยพ่อเขาที่ชื่อพระเจ้าปราสาททอง น่ะแหละ)
มีฝรั่งชาวฮอลันดาคนหนึ่ง ชื่อตา "เยเรเมียส ฟอน ฟลีต"
เข้ามาทำงานเป็น "ผู้ช่วยห้างขายสินค้า" ของบริษัทดัชต์-อีสอินดีส
คอยขายสินค้าให้คนอยุธยาที่พอจะมีฐานะแสะสตุ้งสตางค์บ้าง
รวมถึงจัดการเรื่องของใช้ต่างๆให้ราชสำนักด้วย

ตาฟอน ฟลีต แกก็เลยได้พบเจอผู้คนของอยุธยามากหน้าหลายตา
ถึงขนาดว่าจดบันทึกเรื่องเล่าเม้าท์มันส์กันให้สนุกปากได้เล่มบะเริ่ม 2 เล่ม
เล่มแรกที่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่(เพราะเม้าท์กันน้อยกว่า) คือ "พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา"
ส่วนหนังสืออีกเล่มที่ดังกว่ารู้จักในภาษาไทยว่า "จดหมายเหตุวันวลิต"

เรามาดูกันดีกว่า ว่าคนอยุธยาเขาเม้าท์เจ้าเม้าท์นาย
(ตามประสาพวกชนชั้นล่างดัดจริตอยากทำตัวเป็นชนชั้นสูงทั้งหลาย)
กันยังไงบ้าง... ฮืม






รูปช้างที่วัดยะไข่ ศิลปะเขมรสมัยบายนเหมือนเดิม
จากเวบเดิมครับ


บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 29 ก.ย. 09, 08:12

ผมขอย่อเฉพาะบางเรื่องใน "พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต" มาให้อ่านกันนิดหน่อย
พอหอมปากหอมคอนะครับ (มากกว่านั้นเดี๋ยวจะหาว่าเราเม้าท์ซะเอง)


เรื่องที่ยกมาเล่าในกระทู้ คือ เรื่องของพระเจ้าอู่ทอง

กษัตริย์พระองค์นี้ โดยทั่วไปในตำราประวัติศาสตร์ที่เราเรียนๆกันมา
(น่าจะเล่มเดียวกับที่คุณ manit เคยอ่านว่าขอมล่มสลายไปแล้วนั่นล่ะครับ)

ตำราเล่มนั้นทั่นว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ถวายวังเดิมเป็น "วัดพุทไธสวรรย์"
แล้วย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่ตำบลหนองโสน สร้างวังใหม่เมืองใหม่
สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี และเป็นปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา
อ่อ... ตั้งราชวงศ์ "อู่ทอง" เป็นราชวงศ์แรกซะด้วย
(อะไรมันจะเบ็ดเสร็จบริบูรณ์ซะรัชกาลเดียวขนาดน๊าน...)



มาดูกันดีกว่า ว่าคนอยุธยาสมัยหลังพระเจ้าอู่ทองลงมาเกือบ 300 ปี
เขาเม้าท์พระเจ้าอู่ทองให้วัน วลิต ฟังว่าอะไรบ้าง...

พระเจ้าอู่ทองครองราชย์อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาได้ประมาณ 10 ปี บรรดาโหรหลวงและหมอดูทั้งหลาย กราบทูลว่าได้เห็นดวงดาวโคจรไปในทางนำความพินาศมาสู่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งดูเหมือนว่าประชาชนทั้งหมดจะต้องตายลง ด้วยเหตุนี้พระเจ้าอู่ทองจึงมีพระบรมราชโองการให้ประชาชนทุกคน ฝังทอง เงิน ฯลฯ แล้วหนีไปกับพระองค์สู่นครกำพูชาโดยทางบก

พระเจ้าอู่ทองและข้าราชบริพารได้พบเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในป่า แต่ยังไม่เป็นที่พอพระทัย พระองค์จึงทรงสร้างเมืองขึ้นใหม่ และก่อสร้างด้วยหินธรรมชาติ ซึ่งพระองค์ขนานนามว่า นครหลวง (Lechoonloaghn) ประวัติศาสตร์เก่าแก่ของสยาม ระบุว่าเมืองนี้ได้รับการก่อสร้างอย่างสวยงามเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะทำได้ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวกัน ว่ามีเทพดาลงมาจากสวรรค์มาช่วยก่อสร้างเมืองที่สวยงามแห่งนี้ในเมืองกัมพูชา แต่ชาวสยามหลายคนกล่าวว่าท้าวอู่ทองสร้างเมืองนี้

พระเจ้าอู่ทอง ประทับอยู่ที่กัมพูชาพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เป็นเวลา 9 ปี แต่เนื่องจากเมืองนี้อยู่ห่างไกลจากทะเล และไม่มีเรือสำเภาจากเมืองจีนหรือเมืองอื่นๆ แวะมาเลย ประกอบกับทั้งโหรหลวงได้กราบบังคมทูล ว่าความวิบัติอย่างใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นที่กรุงศรีอยุธยาไปแล้ว พระองค์จึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา และให้พระราชโอรสปกครองเมืองหลวงแทน










เอาล่ะดิ..... คนอยุธยาเขาว่า "พระเจ้าอู่ทอง"
เป็นคนสร้างไอ้รูปสำริดสมัยบายนพวกนั้น.... เอาไงหว่า

คำตอบ คือ "เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเมาท์ทูเมาท์กันครับ"
เขาบอกเล่ากันเป็นข่าวซุบซิบปากต่อปาก เหมือนเรื่องพระเจ้าตากไม่ตาย
หนีไปบวชแล้วกลายเป็นพระยายมอะไรเทือกนั้นล่ะครับ
(เผลอๆจะเล่าต่อว่ากลับมาเกิดใหม่ตอนนี้ด้วย... หิหิ)
เพราะมันเป็น "ข่าวเมาท์" เลยไม่ต้องมี "หลักฐานอ้างอิง" อะไร
เลื่อนลอยขนาดนี้.... สังคมจะใส่สีตีไข่ยังไงก็ได้
สนุกสนานไปตามปากลุงเมาป้าเมาท์ทั้งหลายที่ก๊อซซิปกันน้ำหมากกระจายเวลาเกบแชร์.... เอ๊ย!! ขยิบตา

แต่ข่าวโคมลอยเลื่อนเปื้อนแบบนี้ ก็บอกเราว่า....
คนอยุธยาสมัยหลังพระเจ้าอู่ทองลงมาเกือบๆ 300 ปี
เห็นว่าพระเจ้าอู่ทอง "เป็น" คนสร้างปราสาทบายน
และเห็นว่า "เมืองพระนคร" หรือ "นครธม" ของขอม
เป็น "นครหลวง" หรือ "เมืองหลวง" ของอยุธยาอีกทอดนึง......











ขอพักซ๊ยข้าวต้มซักพักใหญ่ๆนะครับ
พุงหายหลามเมื่อไหร่มาเล่าต่อ
(จะได้ขึ้นเรื่องแรกที่ตกลงไว้ "ขอม คือเขมรใช่หรือไม่" ตามคำถามของคุณ sugar ซะที)
บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 29 ก.ย. 09, 09:52

กำลังอ่านเพลิน..ถูกเบรกอีกแล้ว..วันหลังพิมพ์ไปกินข้าวต้มไปซีครับ...จะได้ต่อเนื่อง..สะใจผู้อ่านหน่อย..ขอบคุณอีกครั้งที่เอาของดีมาล่อ..ที่ละนิด..ที่ละนิด..แต่ไม่วายมีแขวะเล็กๆ...ไม่เป็นไร...ศรีฯทนได้...... โกรธ
บันทึกการเข้า
sugar
มัจฉานุ
**
ตอบ: 53


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 29 ก.ย. 09, 11:45

ขอบคุณคุณติบอมากค่ะที่สละเวลาก่อนทานข้าวต้มมาพล่...โอ๊ะไม่ช่าย!!!...มาเล่าเรื่องราวดีดีให้กันฟังน่ะค่ะ...  ยิงฟันยิ้ม  ดิฉันเห็นใจค่ะจะทานข้าวยังถูกรบกวนจนจะติดคอซะอีก... คุณศรีเธอช่างทำได้ลงคอนะ.
บันทึกการเข้า
srisiam
สุครีพ
******
ตอบ: 857


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 29 ก.ย. 09, 12:12

แล้วจะโดนข้อหาเป็นมารคอหอยไหมเอ่ย?...คุณsugar................ ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.056 วินาที กับ 19 คำสั่ง