ขอบพระคุณสำหรับการคอยของท่านมานิตครับ
และขออนุญาตตอบคำถามของคุณ sugar กับคุณ virain ก่อน
ว่าถ้าคนเคยหาปลาได้ จับปลากิน ได้สารอาหารจากปลา
มาเสียดายปลาที่ทำตกน้ำไปเมื่อหลายสิบปีก่อนตัวเดียว
แล้วทิ้งเครื่องมือหาปลาเสียหมด... ก็ขาดสารอาหารตายกันพอดีสิครับ
เราก็ต้องหาปลาตัวใหม่ต่อไป หรือไม่ก็ดูแล รักษา และถนอมปลาที่มีอยู่
และทำอย่างรู้คุณค่าครับ ไม่ใช่ตีโพยตีพายเหมือนเด็ก 7 ขวบตอนอายุเข้าใกล้ 70
สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมลองหาอ่านดูใน pstcho-social development theory
ของตาเปียเจ้ดูได้ครับ สนุกดีไม่ยากเย็นอะไร มีแปลเป็นภาษาไทยด้วย
เพราะพวกเรียนจิตวิทยาเขาต้องเรียนกันทุกสถาบัน
ส่วนคุณศรี อย่างที่ผมเรียนไว้แล้ว ว่าการกวนลูกอมหมายเลข 113 ที่คุณว่า
เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก... แต่เป็นเรื่องลำบากใจสำหรับผมมากที่จะทำ
การยอมรับความจริง ทดลองมองอย่างคนนอก
และทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆรอบตัว (และรอบโลก) ที่เกิดขึ้น
เป็นสิ่งพึงกระทำสำหรับคนทุกคนที่อยากอยู่ร่วมกันในโลกใบนี้
แต่ขาดแคลนอย่างแทบจะหาไม่ได้ในสังคมไทย...
เพราะเรามักอยู่กันอย่างตัวกู ของกู... ถ้ามึงแย่งของกู.. กูจะเยี่ยวรดหัวมึง
หลายวันก่อนที่ห่างกระทู้นี้ไปร่วมเดือน
ผมเลยพอจะมีเวลาค้นตำราอ่านหนังสือหลายเล่มเสียใหม่
(เพราะไม่เคยมีโอกาสได้อ่านจากห้องสมุดไหนๆที่คุ้นเคย)
อ่านมาอ่านไปถึงได้เข้าใจว่าตำราประวัติศาสตร์ไทยที่ใช้กันอยู่
ถ้าอยากปรับปรุงให้ทันกับโลกที่ยังหมุนไปวันละ 24 ชั่วโมง...
ก็ควรจะต้องถูกฉีกทิ้งเสียใหม่ตั้งแต่อยุธยาตอนกลางเป็นต้นมา
ตำราฉบับครูประชาบาลและกรมการรักษาดินแดนที่เราใช้ๆกันอยู่นี่...
หลอกตัวเองและดูถูกบรรพบุรุษอย่างร้ายกาจครับ เราเลยเข้าใจเขาแบบนั้น
แต่ในความเป็นจริง ชาติอื่นๆที่เริ่มเข้าใจบรรพบุรุษของตัวเอง
และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากกว่าเราแล้ว...
เขาพัฒนาไปถึงไหนๆก่อนเราตั้งแต่นมนานกาเลแล้วล่ะครับ
ตัวอย่างการไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ สำหรับสังคมไทย คือ
ถ้ามีใครซักคน เอาหลักฐานมาบอกว่า "เราผิด"
คนไทยโดยทั่วไปก็มักจะ "แก้ต่าง" ให้ตัวเอง
ถ้าหาหลักฐานมาแก้ได้น่าเชื่อถือ ก็เรียกว่าแก้ต่าง
(หาหลักฐานไม่ได้ เอานู่นนี่มาอ้าง ก็เรียกว่า "แก้ตัว")
หรือถ้าทั้งการแก้ต่างและแก้ตัวช่วยอะไรไม่ได้
สิ่งที่คนไทยโดยทั่วไปมักจะทำต่อไป... คือ
โวยว่าคนนู้นคนนี้ก็ทำผิดเรี่องนี้เรื่องนั้น...
(เพื่อสื่อนัยว่าแล้วทำไมฉันจะทำผิดไม่ได้....)
จนกระทั่งการ
"ไม่เคยยอมรับความผิด" กลายเป็นบุคลิกประจำชาติไป
หรือที่แย่กว่านั้น... รับไปแต่พอว่ารับแล้วก็ทำใหม่อีก...เรื่องบางเรื่อง ถ้าต้องกวาดขี้ฝุ่นไว้ใต้พรม
ก็แปลว่า "ฝุ่น" ต้องเป็น "แค่ฝุ่น" นะครับ
ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็มีฝุ่น มะรืนนี้ก็มีฝุ่น อาทิตย์หน้าก็มีฝุ่น มีไปเรื่อยๆ
แบบนั้นมันกองขยะครับ ในที่สุดพรมผืนใหญ่แค่ไหนก็จะปิดไม่มิด...
ในที่สุด ถ้าเป็นปัญหาระหว่างคนเหมือนขุนแผน กับขุนช้าง...
แกก็ว่ายน้ำเข้าหาพระพันวสา แล้วก็เรียกซะว่า "จระเข้ใหญ่"
แต่ถ้าเป็นปัญหาระหว่างประเทศ มีประชากรทั้งโลกคอยดูอยู่
เมื่อเวลานั้นมาถึง จะแก้ปัญหายังไง... สังคมไทยยังปฏิเสธที่จะนึกถึงอยู่
หลักฐานเรื่องการขีดเส้นแผนที่เสียใหม่
การขึ้นทะเบียนโบราณสถาน หรือการบูรณะของกรมศิลปากร
กับหลักฐานการขออนุญาตของกรมพระยาดำรง
อะไรเกิดขึ้นก่อน อะไรเกิดขึ้นทีหลัง... ผมเชื่อว่าให้เด็กประถมดูก็รู้
ไม่ต้องไปพึ่งศาลโลกก็ยังได้
ของที่ให้เขาไปแล้ว แบ่งกันเรียบร้อยไปนานแล้ว
ถ้ายังไปวุ่นวาย เอาหลักฐานที่ทำเองข้างเดียวเสียใหม่มายืนยันว่าเป็นของกู
มันไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติครับ... ไม่โดนเขาให้ข้อหาบุกรุก
หรือเปลี่ยนแปลงโบราณสถานของคนอื่นมาจังๆอีกข้อ... ก็บุญแล้วนะครับ
เพราะเท่านี้เราก็เป็นตัวร้าย ลิ้น 2 แฉกไปแล้วในสายตาประชาคมโลก
(สงสัยด่าเขาไว้มาก แต่ลืมนึกไปว่าเราก็มีบรรพชนเป็นขอมร่วมกันเสียละกระมัง)
สำหรับผมถ้าไม่มองเรื่องผลประโบชน์ทับซ้อนอื่นๆ
เอาแต่เฉพาะเรื่องปราสาทพระวิหารเรื่องเดียว
ผมดีใจ ที่มีข้าราชการการเมืองที่กล้าลุกขึ้นมายอมรับความจริงกับประชาคมโลกได้
ในเมื่อคนไทยเลือกที่จะไปขอความเป็นธรรมจากศาลโลกเอง...
ยอมรับการตัดสินไปเสียได้ก็เป็นทางออกดีที่สุดแล้วครับ
แต่กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ เพราะข้าราชการการเมืองกลุ่มนี้
ไม่กล้ายอมรับ และตีแผ่ความจริงกับสังคมไทย
จะว่าทำไปเพื่อผดุงพระเกียรติยศของเจ้านาย.. ก็ไม่น่าใช่
เพราะดูเขาจะปล่อยไว้ให้ผลมันเป็นอย่างอื่นเสียมากกว่า
ในเมื่อเหตุ และผลในการพิจารณาคดีเกิดขึ้นแล้ว
และเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลเสียด้วย...
ทำไมต้องปล่อยให้เรื่องแบบนี้ค้างไว้
เป็นชนวนระเบิดที่พร้อมปะทุระหว่างชนชาติล่ะครับ ?
ไม่ว่าจะเป็นของใคร ถ้าตกลงตามที่เคยตกลง
เราก็มีสิทธิ์ในการเข้าชมเท่าๆกันทั้ง 2 ฝ่าย
และของที่เราเอามาจากปราสาทแล้วเราก็ไม่ต้องคืน
เพราะโดยเศรษฐกิจแล้ว เขมรก็ต้องพึ่งไทยอีกมาก
แต่ดูเหมือนเขาก็อยากปล่อยเอาไว้ให้เรื่องมันกลายเป็นดินอีกก้อน
ที่คอยพอกทับลงไปบนหางหมู... เพื่อรอวันที่หางเน่าแล้วตัดทิ้งหรือครับ ?
ปล. เรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นของสังคมไทย คือดูเหมือนว่าเราต้องการคนโง่ครับ
เพราะคนฉลาดจะรู้ว่าข้าราชการประจำทุกวันนี้... โง่ และขี้เกียจร้อยละ 99
ส่วนข้าราชการการเมืองนั่น... ไม่เคยถือศีลข้อ 4 และข้อ 2 ร้อยละร้อย
แถมที่โชคร้ายกว่านั้น.... กระแสการเมืองไทยที่มีมาหลายสิบปีนี่..
เป็นกระแสที่นำไปโดยนักปลุกระดมนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน และไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายไหน
สีสันมันมาจากการปลุกระดมให้สังคมแตกแยกทั้งนั้น...
คนไทยหลายคนก็แปลก... ยอมให้เขาจับเขาใส่หัวแล้วเสี้ยมเอาๆ
เสี้ยมเสร็จพอแหลมพอก็ขวิดกันไปทั่ว
เผลอๆจะขวิดแม้แต่คนอยู่บ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกันเองเสียด้วย!!!
ปล. 2 ถ้าให้พูดตรงๆ แบบไม่มีน้ำตาล มีแต่สาส์นพิษ
จี้ใจคนฟังแบบนี้น่ะ... นายติบอถนัดนักแล
แต่เกรงว่าคนฟังจะเอาอวัยวะเบื้องต่ำมาให้ผมเสียก่อนล่ะครับ เหอ
ปล. 3 ผมเกิดและไปสุโขทัยไม่ทันเห็น.. ว่าขอมดำดินเต็มๆชิ้นจะเป็นยังไง
บันทึกที่ดีที่สุด เขียนโดยกรมพระยานริศ เมื่อท่านเสด็จพิษณุโลก
และแวะไปเที่ยวชมเมืองสุโขทัย และเมืองฤๅษีสัชนาลัย
แต่หนังสืออ้างอิงต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะได้มาครับ... ขออนุญาตยกยอดรวบครับผม