เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
อ่าน: 7172 คำให้การจีนกั๊ก เรื่องเมืองบาหลี
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 22 พ.ค. 09, 23:00

๏ ครั้น ณ วันเดือน ๕ ข้างขึ้น ๆ กี่ค่ำจำไม่ได้  ปีมเมียอัฐศก ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นลูกค้าเมืองสรียะบานายเรือเปนจีน ต้นหนเปนชาติวิลันดามาถึงเมืองบาหลีลำ ๑  ต้นหนวิลันดาถือหนังสือเจ้าเมืองไยกระตรามาถึงเจ้าเมืองบาหลีฉบับ  ๑  ในหนังสือนั้นว่าให้เจ้าเมืองบาหลีปลูกเรือนไว้ เจ้าเมืองไยกระตราจะเอาคนมาไว้ที่เมืองบาหลีสักห้าพันคน เจ้าเมืองบาหลีเหลงจึงมีหนังสือให้ต้นหนวิลันดาถือไปถึงเจ้าเมืองไยกระตราว่า เมืองบาหลีเหลงนี้แต่ก่อนไม่เคยมีคนชาติวิลันดามาอยู่   ถ้าจะมาอยู่ให้ได้ก็มาเถิด เรือนที่จะให้คนอยู่นั้นเราปลูกไว้แล้ว อยู่ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วันต้นหนวิลันดาก็ถือหนังสือกลับไปเมืองสรียะบา เจ้าเมืองบาหลีเหลงจึงเกณฑ์คนประมาณห้าพันคนมาทำสนามเพลาะเปนวงเดือน ที่ชายทเลท่าเรือจอดน่าบ้านกะปิตันปันตัด เอาไม้มะพร้าวปักเรียงกันห่างประมาณ ๓ ศอก สูง ๗ ศอก กว้าง ๗  ศอก ๒ แถวยาวประมาณ ๑๐ เส้น   ใส่ขื่อชักบนปลายไม้มะพร้าวเปนคู่ ๆ กัน จึงเอาไม้ไผ่ทั้งลำมาวางเรียง ๆ กันกรุข้างใน แล้วเอาดินถม เอาน้ำรด เอาไม้กระทุ้งให้แน่น สูง ๗ ศอกถึงปลายไม้มะพร้าว ๚
๏ ครั้น ณ วันเดือน ๖ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีมเมียอัฐศก วิลันดาเอาเรือบดปาก กว้างประมาณ ๑๐ ศอก ๒ เสาคนในลำประมาณ ๒๐ คน มีปืนกระสุน ๔ นิ้ว ๒ บอกมาหยั่งน้ำที่อ่าวน่าเมืองบาหลีเหลงอยู่ ๒ วัน วันเดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำก็กลับไป ๚
๏ วันเดือน ๖ แรม ๔ ค่ำ ข้าพเจ้าเห็นเรือรบวิลันดากลับมาหยั่งน้ำอยู่อิก ๒ วัน วันเดือน ๖ แรม ๖ ค่ำก็กลับไป ๚
อยู่ ณ วันเดือน ๗ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมเมียอัฐศก ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นไฟลำ ๑ กำปั่นใหญ่ปืน ๒ ชั้นลำ ๑ มาทอดสมอลงที่อ่าวน่าเมืองบาหลีเหลงกำปั่นใหญ่ทอดใกล้เรือข้าพเจ้าประมาณ ๒๐ เส้นเศษ กำปั่นไฟมาทอดชิดเรือข้าพเจ้าประมาณ ๓ วา ๔ วา ข้าพเจ้าก็ลงเรือสำปั้นเอาสุกร ๒ ตัว เป็ด ๖ ตัว ลูกเรือ ๓ คนแจวเรือไปถึงท่ากำปั่นไฟ ข้าพเจ้าขึ้นไปบนกำปั่น ทหารวิลันดาถามข้าพเจ้าว่ามาแต่ไหน ข้าพเจ้าบอกว่าเปนลูกค้ากรุงเทพพระมหานครมาค้าขาย ทหารจึงลงไปบอกแก่นายทหารในท้องกำปั่น แล้วขึ้นมาพาข้าพเจ้าลงไปในท้องกำปั่น นายทหารวิลันดาจึงถามข้าพเจ้าว่าเปนลูกค้ามาแต่ไหน ข้าพเจ้าบอกว่ามาแต่กรุงเทพพระมหานคร นายทหารจึงว่าทำไมไม่รู้ฤๅ ว่าเราจะมาตีเมืองบาหลีเหลง ข้าพเจ้าบอกว่าไม่รู้ นายทหารจึงว่าเราได้มีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองใหม่ว่าอย่าให้ลูกค้ามาค้าขายที่เมืองบาหลีเหลง ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าไปขอหนังสือเดินทางที่เมืองใหม่ ๆ ก็หาได้บอกแก่ข้าพเจ้าไม่ จึงได้มาค้าขายเมืองบาหลีเหลง นายทหารจึงบอกข้าพเจ้าว่าเจ้าเมืองไยกระตาบังคับมาว่า ถ้ากำปั่นมาถึงพร้อมกันแล้วให้รบเมืองบาหลีเหลงใน ๓ วัน ให้นายเรือเร่งทวงเงินให้เสร็จแล้วกลับไปเสียเร็ว ๆ ข้าพเจ้าจึงบอกว่าเงินขายของไว้ทวงได้แล้วสัก ๒ ส่วน ยังค้างอยู่กับชาวบาหลีเหลง ๒ ส่วน         นายทหารจึงว่ากับข้าพเจ้าว่าให้เร่งทวงเงิน สินค้าซึ่งค้างอยู่นั้นขนลงบรรทุกเรือให้แล้วใน ๒ วัน ข้าพเจ้าจะลากลับมาเรือ นายทหารจึงว่าจะฝากหนังสือขึ้นไปให้เจ้าเมืองด้วยฉบับ ๑ แล้วเอาหนังสือมาให้ข้าพเจ้า ๆ จึงว่า ถ้าเจ้าเมืองบาหลีเหลงรับหนังสือไว้แล้ว ข้าพเจ้าจะกลับมาบอก ถ้าไม่รับไว้ข้าพเจ้าจะเอาหนังสือมาคืน ข้าพเจ้ารับเอาหนังสือ ลงเรือสำปั้นกลับไปขึ้นท่าเมืองบาหลีเหลง ข้าพเจ้าเอาหนังสือซ่อนเสียในเสื้อ ข้าพเจ้าจึงไปที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าเห็นเจ้าเมืองใหญ่เจ้าเมืองรองปลัดเมือง มาพร้อมกันอยู่ที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าหาได้เอาหนังสือออกให้ไม่ ข้าพเจ้าจึงบอกว่านายทหารวิลันดาอยู่ที่กำปั่นไฟหาตัวข้าพเจ้าไปที่กำปั่น จะให้ข้าพเจ้าเอาหนังสือขึ้นมาให้กับเจ้าเมือง ข้าพเจ้าหาอาจรับมาไม่ เจ้าเมืองจึงถามว่าเขาว่าอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าบอกกับนายทหารว่าเปนลูกค้ามาค้าขาย นายทหารว่าเปนลูกค้าก็ให้เร่งขนของทองเงินเสียให้เสร็จใน ๒ วัน ถ้ากำปั่นมาพร้อมกันเมื่อใดจะตีเมืองบาหลีเหลง เรือจะกีดทางปืน เจ้าเมืองจึงว่าไม่รับเอาหนังสือขึ้นมานั้นดีแล้ว ถ้าเขาจะมีหนังสือขึ้นมาให้เขาเอามาเอง เข้าของเบี้ยอีแปะซึ่งยังค้างอยู่กับผู้ใด เร่งขนลงบรรทุกเรือเสียเถิดเจ้าเมืองจึงให้คนไปตีเกราะที่ต้นทางจะขึ้นไปเมืองบาหลี บ้านตามทางก็ตีเกราะต่อ ๆ ตลอดกันไป ข้าพเจ้าดูอยู่ประมาณ ๓ บาท ๔ บาทนาฬิกา ข้าพเจ้าแลเห็นคนถือปืนถือหอกถือหลาว ที่บ้านไกล ๆ วิ่งลงมาหาเจ้าเมืองที่บ้านกะปิตันประมาณ  ๑๕๐ คน ๑๖๐ คนเศษ แล้วข้าพเจ้าก็รีบลงเรือสำปั้นกลับมาที่กำปั่นไฟ เอาหนังสือคืนให้กับนายกำปั่น  ๆ ถามว่าเจ้าเมืองว่ากะไร ข้าพเจ้าบอกว่าเจ้าเมืองว่าตัวเปนลูกค้าไปรับเอาหนังสือเขามาทำไม เมื่อจะมีหนังสือขึ้นมาก็ให้เขาเอาขึ้นมาเอง  แล้วข้าพเจ้าก็ลานายทหารกลับมาเรือ ข้าพเจ้าให้ลูกเรือเอาเรือสำปั้นขึ้นไปขนของที่ห้างกะปิตันลงมาบรรทุกเรือ ๚
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 22 พ.ค. 09, 23:12

ขอย้อนกลับขึ้นไป 2 ตอนก่อนหน้านี้ ตกไปประเด็นหนึ่งที่เห็นว่าน่าสนใจ ขอคัดมาใหม่ก็แล้วกันครับ
"กะปิตันจึงเรียกเอาภาษีกาแฟกับข้าพเจ้าหาบหนึ่ง ๒๐๐ อีแปะ กาแฟหนัก ๔๐๐ หาบเปนอีแปะแปดหมื่น เปนเงิน ๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ข้าพเจ้าถามกะปิตันว่าภาษีนี้ได้กับเจ้าเมืองฤๅ ๆ ได้กับผู้ใด กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่าภาษีนี้ เจ้าเมืองยกให้สำหรับเลี้ยงพวกจีนมาอยู่ในเมืองบาหลี ข้าพเจ้าถามว่าจีนมาอยู่ในเมืองบาหลีสักเท่าไร กะปิตันบอกว่ามีจีนอยู่ประมาณ ๘๐ คน ๙๐ คนเศษ"

ภาษีที่ว่านี่น่าสนใจว่าน่าจะเป็นระบบเจ้าภาษีอย่างเมืองสยามในสมัยนั้นนะครับ



บาหลีเหลงในที่นี้หมายถึงบูเลเหลง (Buleleng) ไยกระตรา คือจาการ์ตาซึ่งขณะนั้นพวกวิลันดา คือฮอลันดาได้ยึดครองเอาไว้ได้แล้ว

ต้นหนวิลันดาถือหนังสือมาให้เจ้าเมืองบาหลีเหลงปลูกเรือนเตรียมไว้ จะส่งคนมาอยู่ห้าพัน เจ้าเมืองก็เลยขุดสนามเพลาะเตรียมรับแขกวิลันดาแทน เรื่องนี้สำคัญ เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของสงครามที่นำไปสู่การยึดครองเกาะบาหลีโดยชาวดัทช์ที่พ่อค้าเรือสยามเข้าไปพบเห็นโดยบังเอิญครับ



บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 22 พ.ค. 09, 23:13

๏ รุ่งขึ้น ณ วันเดือน ๗ แรม ๑๓ ค่ำ เพลาเย็น ของก็ยังหาหมดไม่ ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นมาทอดอยู่ราย ๆ กันประมาณ ๒๔ ลำ ๒๕ ลำ ข้าพเจ้าก็ลงสำปั้นไปหานายทหารที่กำปั่นไฟ ข้าพเจ้าขอทุเลากับนายทหารว่าขนของ ๒ วันแล้วขนได้  ๒ ส่วน ยังส่วน ๑ ขอทุเลาอิก ๓ วัน นายทหารจึงว่าเจ้าเมืองไยกระตาบังคับขาดมาว่ากำปั่นรบมาถึงพร้อมแล้วเมื่อใดก็ให้รบเมืองบาหลีเหลงใน ๓ วัน นายทหารจึงว่าข้าพเจ้าเปนลูกค้ากรุงเทพพระมหานครจะงดให้ อิก ๓ วัน ถ้าถึง ๓ วันแล้วเราจะยิงสนามเพลาะเมืองบาหลีเหลงให้ทลายให้สิ้น จะมาทุเลาอิกนั้นไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็กลับมาเรือเร่งขนของอยู่   จน ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ ข้าพเจ้ากับลูกเรือขึ้นไปขนของบนบ้านกะปิตัน มีลูกเรือเฝ้าเรือใหญ่อยู่ ๓ คน ข้าพเจ้าลงมาที่หาดทรายชายทเล แลไปเห็นกำปั่นใช้ใบมาแต่ไกลประมาณสัก ๒๓ ลำ ๒๔ ลำ แล้วข้าพเจ้าเห็นฝรั่งที่กำปั่นไฟลงเรือช่วงประมาณ ๓๐ คน ไปที่เรือข้าพเจ้า ขึ้นบนเรือแล้วถอนสมอข้าพเจ้าก็เร่งลงเรือสำปั้นออกไปดู ข้าพเจ้าขึ้นบนเรือถามเปนภาษามลายูว่าจะถอยเรือข้าพเจ้าไปข้างไหน พวกทหารวิลันดาบอกว่าจะถอยไปทอดเสียให้พ้นทางต่อแหลมข้างใต้ กำปั่นรบมาถึงจะมาทอดที่นี่ พวกทหารกับลูกเรือก็ถอนสมอขึ้นใช้ใบไปทอดข้างต่อแหลมข้างใต้ พ้นที่เดิมออกไปประมาณสัก ๒๐  เส้น ทอดสมอลงแล้วพวกทหารก็กลับไปกำปั่นไฟ อยู่ประมาณโมง ๑ ข้าพเจ้าแลไปดูเห็นกำปั่นมาถึง ทอดอยู่ที่เรือข้าพเจ้าทอดอยู่ก่อนประมาณ ๒๓ ลำ ๒๔ ลำ ๚
๏ รุ่งขึ้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๒ ค่ำ ข้าพเจ้าขึ้นไปขนของที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าเห็นพวกชาวบาหลีเหลงถอนเอาต้นเข้าในนาริที่ทำสนามเพลาะตามชายทเลมากองเปนคันสูง ๓ ศอก ยาวประมาณ ๒ เส้นเศษ ทั้ง ๒ ข้างต่อปีกกาออกไปบังตาไม่ให้เห็นคน แล้วขุดหลุมเปนฟันปลา ฦก ๒ ศอก กว้าง ๒ ศอกบ้าง ๓ ศอกบ้าง ข้างน่ารับปืนตรง ข้างหลังไถลลาดพอขึ้นได้ลงได้ง่าย ประมาณหลุมสุดปีกกาข้างเหนือสัก ๑๕๐ หลุม ข้างใต้สัก ๑๕๐ หลุม คนอยู่ในหลุม ๆ ละ ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ประมาณ ๖๐๐ คน ๗๐๐ คน ถือปืนบ้าง ถือหอกบ้าง ถือหลาวบ้างทุกคน แล้วเจ้าเมืองให้รื้อเรือนที่ใกล้ ๆ ทางปืนเสีย ให้พวกครัวขึ้นไปอยู่บนเนินเขาบ้านปลัดเมืองทั้งสิ้น เอาไว้รบแต่ชายฉกรรจ์ประมาณคน ๓๐๐๐ เศษ ข้าพเจ้าขนของเสร็จแล้ว ครั้นเพลาค่ำข้าพเจ้าก็กลับลงไปเรือสินค้าที่ข้าพเจ้าขายไว้กับชาวบาหลีเหลงที่ยังทวงไม่ได้ ประมาณเงินสัก ๑๗๐๐ เหรียญ ๑๘๐๐ เหรียญ ๚
๏ ครั้น ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๓ ค่ำ นายทหารจึงให้พวกสิป่ายมาบอกข้าพเจ้าว่าวันเดือน ๘ แรม ๔ ค่ำ จะตีเมืองบาหลีเหลง จะยิงปืนกระสุนปืนจะถูกเรือเข้า ให้นายเรือใช้ไปเสียให้พ้น ข้าพเจ้าบอกว่าต้นหนใหญ่กับจีนลูกเรือคนหนึ่งขึ้นไปซื้อผลกาแฟ ที่เมืองมองงุย ยังหากลับไม่  ข้าพเจ้าจะขอรอท่าอยู่ก่อน พวกสิป่ายก็กลับไป เพลาเย็นข้าพเจ้าเห็นกำปั่นใหญ่มาทอดสมอเรียงลำน่ากำปั่นอยู่ข้างเหนือ ข้างกำปั่นตรงน่าสนามเพลาะออกมาประมาณ ๕ เส้นเศษ ๒๐ ลำ แล้วเอาเรือบดปากกว้าง ๕  ศอก ๖ ศอกลงน้ำ เอาปืนใหญ่ใส่น่าเรือบดลำละบอก กระสุนจะโตเล็กประการใด ข้าพเจ้าแลดูแต่ไกลประมาณหาถูกไม่ แล้วเอาสมอเล็ก ๆ สายสมอเชือกน้ำมันไปทอดไว้ริมฝั่ง เอาหางเชือกมาผูกไว้กับกำปั่นทุกลำทั้ง ๒๐   ลำ กำปั่น ๒ เสาบ้าง ๓ เสาบ้าง มีปืนรายแคมชั้นเดียวจะเปนลำละกี่บอกข้าพเจ้าหาได้นับไม่ กำปั่นอิก ๒๐ ลำเศษ ทอดห่างออกไปประมาณ ๙ เส้น ๑๐ เส้น ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นใหญ่ปืน ๒ ชั้นลำหนึ่ง กำปั่นไฟ ๒ ลำ กำปั่นใบ ๒๐ ลำ กำปั่นใหญ่ ๓ เสาปืน ๒ ชั้น มีคนในลำประมาณ ๓๐๐ เศษ กำปั่นไฟ ๒ ลำ ๆ หนึ่งคนประมาณ ๑๐๐ เศษ กำปั่นไฟ ๒ เสาบ้าง ๓ เสาบ้าง ๒๐ ลำ คนประมาณลำละ ๑๐๐ คนบ้าง ๑๒๐ คนบ้าง ๑๓๐ คนบ้าง เข้ากันเปนกำปั่น ๔๓ ลำ ครั้นเพลาเช้าโมงเศษข้าพเจ้าเห็นคนในลำกำปั่นใหญ่ที่มาทอดสมอเรียงกันอยู่ทั้ง ๒๐ ลำ ลงเรือบดลำละ ๑๕ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ถือปืนคาบศิลาบ้าง ถือกระบี่บ้าง สาวเชือกน้ำมันสายสมอที่ไปทอดไว้ริมตลิ่งพร้อมกันทั้ง ๒๐ ลำ เรือบดเข้าไปใกล้สนามเพลาะประมาณ ๒ เส้นเศษเอาสายสมอผูกเรือบดแล้วก็ยิงปืนใหญ่ทุกลำ ๆ ไม่ได้หยุดเสียงปืนจนเพลาเที่ยงจึงหยุด ข้าพเจ้าแลไปเห็นกำปั่นใหญ่ที่ทอดเรียงกันอยู่ยิงปืนใหญ่ขึ้นไปอีก ๓ กระสุน ๆ ข้ามสนามเพลาะไปตกลงกลางบ้านที่โรงยังไม่ได้รื้อ ห่างสนามเพลาะเข้าไปประมาณห้าเส้น กระสุนแตกออกจะถูกคนตายบ้างอย่างไร ข้าพเจ้าไม่ทราบ เห็นไฟไหม้โรงอยู่ประมาณสัก ๕ บาท ๖ บาทนาฬิกา เปลวไฟดับลงแล้ว ข้าพเจ้าเอากล้องส่องไปดูเห็นสนามเพลาะที่กลางพังราบลงกว้างประมาณ ๒ เส้น ตึกกะปิตันปันตัดก็ทลายลงด้วย พวกวิลันดาที่ในเรือบดทั้ง ๒๐ ลำ สาวสายสมอเข้าไปจนถึงฝั่งแล้วก็ขึ้นบกถือปืนคาบศิลาบ้าง ถือกระบี่บ้าง พากันกรูเข้าไปในสนามเพลาะ พวกบาหลีเหลงขึ้นจากหลุมเอาปืนคาบศิลายิงเอาพวกวิลันดาถูกเห็นล้มลงตายบ้าง ลำบากบ้าง พวกวิลันดาก็เอาปืนยิงถูกพวกบาหลีเหลงบ้าง สิ้นคราวปืนพวกบาหลีเหลงวิ่งเอาหอกไล่แทงพวกวิลันดาตายเปนอันมาก ที่เหลือตายก็วิ่งหนีลงเรือบด สาวสายสมอกลับมาขึ้นกำปั่นใหญ่ วิลันดาจะคิดอ่านประการใดต่อไปนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ เพลาบ่าย ๓ โมงเศษข้าพเจ้าปฤกษากับต้นหนรองลูกเรือทั้งปวงว่า บ้านเมืองเขารบกันอยู่อย่างนี้ ที่ไหนต้นหนใหญ่กับจีนลูกเรือจะมาได้เราอย่าคอยเลย พากันไปเถิด เห็นพร้อมแล้วก็ฉ้อใบขึ้นตัดสมอทิ้งเสียตัวหนึ่ง ใช้ใบเรือมาแต่อ่าวเมืองบาหลีเหลง ๚
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 22 พ.ค. 09, 23:29

๏ ณ วันเดือน ๘ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีมะเมียอัฐศกเพลาเย็น มาถูกทางบ้างผิดทางบ้าง เดือน ๑ กับ ๖ วัน ถึงเมืองใหม่ ๚
๏ วันเดือน ๙ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ข้าพเจ้าเอาของเมืองบาหลีมาแลกของที่เมืองใหม่ ได้ผ้าขาว ๕๐ ศอก ๒๐๐ พับ ได้ด้ายขาวหนัก ๔๐ บาท ได้หมากแห้งหนัก ๒๐๐ บาท ได้หวายหินหนัก ๑๐๐ บาท หอยเบี้ยหนัก ๕๐๐ บาท ๚
๏ วันเดือน ๙ แรม ๒ ค่ำ ปีมะเมียอัฐศก กำปั่นไฟมาแต่เมืองมะเกาถึงเมืองใหม่ลำหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินชาวเมืองใหม่พูดกันว่าอังกฤษนายกำปั่นเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันเดือน ๘ ขึ้น ๕ ค่ำเกิดห้องไถที่น่าเมืองกวางตุ้ง กำปั่นเสีย กำปั่นใบ ๒๒ กำปั่นไฟ ๑ รวม ๒๓ กับสำเภาจีน ๗ ลำ ๚
๏ ครั้น ณ วันเดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ ข้าพเจ้าไปขอหนังสือเบิกล่องกับเสมียนเจ้าเมืองใหม่ที่โรงความ ข้าพเจ้าได้ยินพวกจีนเปนความต้องขังอยู่ในตารางพูดกันว่า เจ้าเมืองใหม่ป่วยไปรักษาตัวอยู่เมืองเกาะหมาก เมื่อไรจะหายก็ไม่รู้เลย เจ้าเมืองหายแล้วกลับมาความจึงจะได้ว่ากัน ข้าพเจ้าหาได้ถามกับเสมียนไม่ ได้หนังสือแล้วกลับมาลงเรือจะใช้ใบเข้ามา ณ กรุงเทพพระมหานคร ต้นหนรองชาติมุกิดคน ๑ กับคนหุงเข้าของต้นหนรองคน ๑ เข้ากัน ๒ คน ขอโดยสานเข้ามา ณ กรุงเทพพระมหานครกับข้าพเจ้าชมบ้านชมเมืองด้วย ออกเรือจากเมืองใหม่ วันเดือน ๙ แรม ๘ ค่ำ ต้นหนจีนสำหรับเรือเดิม ใช้ใบมา ๑๙ วัน ๚
๏ วันเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ถึงเมืองสมุทปราการ ๆ ถามข้าพเจ้าแล้วก็บอกส่งขึ้นมา ณ กรุงเทพพระมหานคร ข้าพเจ้าได้ทราบความแต่เท่านี้ ๚


จบความเพียงเท่านี้

รายชื่อสถานที่ที่ตกหล่นไป ขอยกมาไว้ที่นี่นะครับ
เมืองกีอ้นเจียก น่าจะคัดลอกมาผิด คงเป็นกีอันเจียก คือเมือง Gianjar
เมืองบาตอง คือ Padung
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
otto@noblepark.org
อสุรผัด
*
ตอบ: 4


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 13 ก.ค. 09, 22:11

เป็นคนหนึ่งที่มาอ่านครับ ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
Hotacunus
องคต
*****
ตอบ: 613


AD FRANCIAM


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 31 ส.ค. 09, 07:45

ขอบคุณครับคุณ CrazyHOrse

ผมเพิ่งได้มาอ่านวันนี้ ใช้เวลาเหมือนกัน แต่ก็สนุกดี อ่านไปอ่านมา ดูเหมือนเล่าเรื่องกรุงเทพเยอะเหมือนกัน  ยิงฟันยิ้ม ซึ่งก็ดีครับเป็นการบันทึกสภาพสังคมสมัย ร.๓ โดยบังเอิญ

นับว่าเป็นการผจญภัยที่ "ตลกร้าย" พอควร

ก่อนมาก็โดนฝรั่งมั่วพาหลงทางแถวสิงคโปร์  ยิงฟันยิ้ม

กะไปหายเพชรเม็ดโตๆ เพราะเห็นว่าเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกล กลับไปเจอกาแฟแทน กับ "ข้าว" แทน  ยิงฟันยิ้ม แถมยังถูกคอมเฟิร์มอีกสามรอบ อิอิ

ตอนไปเฝ้าเจ้าเมือง จะกลับเรือไปพักผ่อน ก็โดนเจ้าเมืองรั้งตัวไว้ว่า อย่าเพิ่งกลับมาดูละคร ก่อน มาดูเสือก่อน ฯลฯ มีถามด้วยว่า ละครงามหรือเปล่า ลองตอบไม่งามสิ  ยิงฟันยิ้ม

กินอาหารแต่ละมื้อก็มีแต่เดิมๆ คือ หมูย่าง เครื่องในหมูทอด  ขยิบตา

ราคาเช่าม้าก็ไม่รู้โดนโก่งราคาหรือเปล่า ?

ขายของก็มีแต่คนมาเชื่อไว้ก่อน จ่ายที่หลัง  ฮืม

ไปค้าต่างเมืองก็โดนดักปล้น  ร้องไห้

ซวยสุดๆ คือ ขายของอยู่ดีๆ ก็มีสงครามซะงั้น  ลังเล

ผมสงสัยว่า ยังจะมีสำเภา "ลำที่สอง" จากกรุงเทพ มาบาหลีอีกหรือเปล่า ? อิอิ

และคำว่า "ปล่อยเกาะ" ก็อาจมาจากเรื่องนี้เอง  ยิงฟันยิ้ม

ปล. อยากทราบชะตากรรมของต้นหนใหญ่ กับ จีนลูกเรือจัง

บันทึกการเข้า
Hotacunus
องคต
*****
ตอบ: 613


AD FRANCIAM


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 31 ส.ค. 09, 08:26

พอดีไปแอบดู google maps มาครับ

เมืองกาล่งกง น่าจะตรงกับ Gerokgak อยู่ทางตะวันตกของ Buleleng ครับ

มีอะไรเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบครับ
บันทึกการเข้า
Hotacunus
องคต
*****
ตอบ: 613


AD FRANCIAM


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 02 ก.ย. 09, 04:13

อ่านไป หาที่ตั้งเมืองไป

สรุปว่าคำว่า "เมืองกาล่งกง" ในเรื่อง หมายถึง "อาณาจักรกลุงกุง" (Gerokgak ก็เป็นอันตกไป  ยิงฟันยิ้ม )

ซึ่งมีพระราชวังอยู่ที่เมืองกลุงกุง http://en.wikipedia.org/wiki/Klungkung_Palace

ก็คงเป็นไปได้เหมือนที่คุณ CrazyHOrse คิด คือ ราชาของอาณาจักรกลุงกุง จะเสด็จมาอยู่ที่เมือง บาหลีเหลง ซึ่งเป็นเมืองท่าที่อยู่ทางเหนือ

ผมสงสัยว่า "เจ้าเมืองรอง" ในที่นี้คือ เจ้าเมืองบาหลีเหลง หรือเปล่า
แต่พอตอนทำสงคราม กลับมีแต่ เจ้าเมืองบาหลีเหลง เจ้าเมืองรอง และ ปลัดเมือง
"เจ้าเมืองกาล่งกง" หายไป ฮืม
แถมมี "เจ้าเมืองใหญ่ เจ้าเมืองรอง" อีก

===============================

อีกประเด็นที่ผมพบคือ ผมคิดว่า จีนก๊ก เล่าชื่อเมืองสลับกันระหว่าง "มองงุย" (Mengwi) กับ "มองหลี" (Bangli) เพราะว่า เมืองใต้เป็นศัตรู แต่เมืองที่อยู่ทางใต้ ก็คือเมือง Mengwi ในขณะที่ เมือง Bangli อยู่ใกล้กับ "สระน้ำบนเขา" (Danau Batur) ดังนั้น ถ้าปรับแก้เส้นทางตามที่ผมว่า ก็จะได้ว่า

จีนก๊กผ่าน Danau Batur ไปเมืองถึงเมือง Mengwi จากนั้น "ลงใต้" (ในความว่า ไปทางตะวันตก) มุ่งหน้าไปเมือง Gianyar (กีอันเจียก) แล้วก็ถูกคนจากเมือง Mengwi ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมือง Gianyar ปล้นสินค้า จีนก๊กจึงหนีไปขอความช่วยเหลือจากเมือง Apuan (อาพอน) ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมือง Gianyar

==============================

เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ มีศาลเจ้าสำเปากงด้วย  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 02 ก.ย. 09, 13:28

หายไปนานเลยนะครับคุณ Hotacunus ยิ้ม

ข้อสังเกตว่าจีนกั๊กอาจจำชื่อเมืองผิด ข้อนี้ดูเหมือนจะทำให้เส้นทางเดินดูสมเหตุสมผลมากขึ้น แต่ปัญหาคือ ผมสอบประวัติศาสตร์บาหลีแล้วพบว่าเมืองที่เป็นศัตรูกับพวก Buleleng คือ Bangli ครับ ส่วน Mengwi นั้นเป็นเครือญาติกันถูกต้องดีอยู่แล้ว

รายละเอียดขอมาต่อทีหลังครับ ชะแว้บ...
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
Hotacunus
องคต
*****
ตอบ: 613


AD FRANCIAM


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 02 ก.ย. 09, 17:16

สวัสดีครับ คุณ CrazyHOrse หายไปซุ่มเขียนงานครับ ตอนนี้ เขียนไปได้กว่าครึ่ง เลยมีเวลามาแวะเวียน

ถ้าข้อมูลเป็นดังที่คุณ CrazyHOrse ว่ามา ก็แปลกมากครับ ที่จีนกั๊กให้ข้อมูลเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่า ตอนจีนกั๊กพูดถึง "เมืองใต้" ไว้ดังนี้ครับ

"แต่เมืองฟากเขาข้างใต้ ๘ เมืองนั้น ข้าพเจ้าจำชื่อได้แต่เมืองมองหลี บาตอง ตัวปันหลัน ยังอีก ๕ เมืองข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้ เมือง ๘ เมืองนี้หาอยู่ในบังคับเจ้าเมืองกาล่งกงไม่ ถ้าคนแดนข้างเมืองกาล่งกงจะลงไปฟากเขาข้างใต้ถ้าพบพวกเมืองมองหลีมากกว่า พวกเมืองมองหลีก็จับเอาไว้ขายเสีย ถ้าพวกเมืองมองหลีข้ามฟากเข้ามาข้างเหนือพบพวกเมืองกาล่งกงมากกว่าก็จับเอาไว้ขายกินเหมือนกัน"

 ซึ่งความเป็นจริง เมืองมองหลี ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ (แผนที่ในบทความ วางตำแหน่งเมืองผิดครับ ผมเทียบกับ Google maps แล้ว ปรากฎว่า เมือง Bangli อยู่เหนือขึ้นไปอีก ใกล้กับ Danau Batur อย่างไรก็ตาม ผมไม่ทราบว่า แผนที่ในบทความ วางตำแหน่ง "เมืองเก่า" ในขณะที่ Google maps ว่างตำแหน่งเมืองใหม่ หรือเปล่า) ดังนั้น ถึงจะลงไปถึง Mengwi ก็ต้องผ่านเขตอิทธิพลของ Bangli ก่อน แต่จีนกั๊กไม่ได้กล่าวถึง แต่เล่าว่า

"แล้วหญิงล่ามพาข้าพเจ้าออกจากบ้านกำนัน (บ้านงัวตุด = Batur) เพลาเที่ยงเดินมาประมาณสัก ๒๐ เส้นเศษเปนป่าไม้ต่าง ๆ บ้าง ต้นกาแฟโต กำ ๑ สองกำ สูง ๕ ศอก ๖ ศอกบ้างรายกันไป แล้วมืดเปนน้ำค้างตกเหมือนฤดูเดือน ๑ เดือน ๒ ข้าพเจ้าถามหญิงล่าม ๆ ว่าเพลาเที่ยงแล้วเปนน้ำค้างลงอย่างนี้ทุกวัน เดินต่ำลงไปจนเพลาเย็นถึงเมืองมองงุย อาไศรยนอนอยู่บ้านกำนันคืน ๑"

แสดงว่า แค่วันเดียว จาก Danau Batur ก็ถึงเมือง "มองงุย (ของจีนกั๊ก)" ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเมืองมองงุย (Mengwi) จริงๆ อยู่ใต้ลงไปอีก ใกล้ๆ กับ Gianyar

==============================

"ล่ามพาข้าพเจ้าเดินมาหากลับมาทางเดิมไม่ มาทางใหม่ผินหน้าม้ามาทางตวันตก เดินมาอิกวัน ๑ (จาก มองงุย) ถึงเมืองกีอ้นเจียกหาได้แวะเข้าในเมืองไม่ ล่ามบอกว่าเมืองนี้เปนเมืองใหญ่ ผู้คนมากขึ้นกับเมืองบาหลี ข้าพเจ้าพักนอนอยู่กลางทุ่งคืน ๑ รุ่งขึ้น เพลาเช้าชาวบ้านเอาเข้าสุกกับเนื้อสุกรย่างจิ้มเกลือมาขาย ข้าพเจ้าซื้อเข้ารับประทานแล้ว ออกเดินมาแต่เพลาเช้า มีแต่พงแขม ไม่มีต้นไม้ใหญ่ ที่ไร่ที่นาก็ไม่มี มาจนเพลาเย็นถึงบ้านอาพอนหาได้เข้าในบ้านไม่ พักนอนอยู่กลางทุ่งคืน ๑

รุ่งขึ้นเพลาเช้าเดินมาจนเพลาเที่ยงถึงเมืองมองหลี เปนเมืองใหญ่ผู้คนมีมาก เมืองมองหลีนี้ผู้คนวิวาทกันหาได้ขึ้นกับเมืองบาหลีไม่ ถ้าแลคนข้างเมืองบาหลีมาข้างแดนเมืองมองหลี ชาวเมืองมองหลีจับริบเอาสิ่งของ ตัวคนก็เอาไปขายเสีย ถ้าชาวเมืองมองหลีไปข้างแดนเมืองบาหลี ชาวบาหลีมากกว่าก็จับริบเอาสิ่งของตัวคนไปขายเสียเหมือนกัน เมืองมองหลีมีเจ้าเมืองผู้คนมาก
และไม่น่าเป็นไปได้ ที่ จะเดินทาง
"

ถ้า พิจารณาตามที่จีนกั๊กเล่า จะเห็นว่า ทิศทางนั้นตรงกันข้ามเลย คือ ความจริงแล้ว จาก เมืองมองงุย (Mengwi) จีนกั๊กต้องเดินทางมาทาง "ทิศตะวันออก" ถึงจะมาถึงเมือง "กีอันเจียก (Gianyar)" และจาก "กีอันเจียก" ต้องเดินขึ้นเหนือไป จึงจะถึง Bangli ซึ่งอยู่ตอนกลางค่อนไปทางเหนือของเกาะ

ถ้า พิจารณาว่า จีนกั๊กออกเดินทางจาก เมืองมองหลี ไป กีอันเจียก ก็จะได้ว่า จีนกั๊กออกเดินทางลงใต้ ซึ่ง ทิศทางที่ผิดจากตะวันตก เป็น ใต้ ยังพอเป็นไปได้ ในกรณีที่ไม่แน่ใจ เพราะตัวเองเริ่มออกเดินทางในทิศตะวันตกเฉียงใต้ (แต่ผิดจาก ออก เป็น ตก อันนี้น่าสงสัยอยู่)

แต่จาก กีอันเจียก ไป มองงุย ก็ต้องเดินทางไปทาง "ทิศตะวันตก" เหมือนกันกับที่จีนกั๊กบรรยาย เพียงแต่บรรยายไว้ผิดเมือง

====================================

"ชาวเมืองมองหลีถือปืนบ้างหอกบ้าง ประมาณสัก ๑๐๐ คนเศษออกตีชิงแทงถูกชาวเมืองบาหลี ๓ คน ชิงเอาม้าบรรทุกกาแฟไปได้ ๕ ม้า พวกข้าพเจ้าหามีปืนหอกไม่ มีแต่กฤชสู้ไม่ได้ ก็ถอยมาบ้านอาพอน หญิงล่ามจึงให้คนบาหลีไปตีเกราะที่บ้านอาพอน ชาวบ้านอาพอนถือปืนถือหอกถือหลาวบ้างประมาณสัก ๒๐๐ คน"

ถ้าพิจารณาตามจีนกั๊กเล่า ถ้าเดินทางไปถึงมองหลีจริง ก็แปลกมากที่หนีกลับลงมาทางใต้อีก เพราะบ้านอาพอนอยู่ทางใต้

ในขณะที่ถ้าพิจารณาว่า จากเมือง Mengwi ก็ต้องหนีขึ้นเหนือ เพื่อหาทางกลับไป Buleleng ระหว่างทางก็แวะขอความช่วยเหลือ จาก Apuan

ทั้งหมดนี้ ผมพิจารณาตามเส้นทางที่บรรยายไว้ กับ ภูมิศาสตร์ที่ตั้งของเมืองครับ

ส่วนในแง่ประวัติศาสตร์ว่าอย่างไร ผมรอฟังอยู่ครับ  ยิ้ม
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 03 ก.ย. 09, 13:27

เรื่องเมืองเหนือเมืองใต้ ต้องทำความเข้าใจเรื่องภูมิศาสตร์ของเกาะบาหลีกันก่อนครับ

ตอนกลางของเกาะบาหลีเป็นดงภูเขา(ไฟ) แม่น้ำบนเกาะจะมีแหล่งกำเนิดจากภูเขาเหล่านี้และไหลลงทะเลทุกทิศทาง พื้นที่ที่ตั้งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ได้ ส่วนมากจะอยู่ทางตอนเหนือและใต้ภูเขาเหล่านี้ครับ เมืองใต้ในความหมายของจีนกั๊กก็น่าจะเป็นเมืองทึ่อยู่ทางใต้ของภูเขาเหล่านี้นี่เอง


ตำแหน่งของ bangli นั้น google ไม่ผิด แต่ไม่ถูก เอ๊ะ... ยังไงกัน
รัฐศาสตร์ของบาหลีก็เหมือนกับที่อื่นๆในแถบนี้ คือมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ตัวเมือง แต่ปริมณฑลของอำนาจนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา และในที่สุดก็กลายเป็นกรอบแข็ง อ้างอิงโดยการขีดเส้นในแผนที่เมื่อฝรั่งเข้ามา bangli ใน Google maps หรือ Google earth เขาปักลงไปตรงกลางของเขต bangli แต่ศูนย์กลางอำนาจ "เมือง" bangli ไม่ได้อยู่ตรงนั้นครับ แต่อยู่ทางใต้ลงมาตรงแถวๆหมุดที่ปักว่า Kawan ใน Google maps นั่นแหละครับ ถ้าเปิดด้วย Google Earth ซูมลงไปดูจะเห็นว่าเป็นชุมชนที่อยู่กันหนาแน่นและมีวังเก่าของรายาแห่ง bangli และศาสนสถานตั้งอยู่จำนวนมาก ตรงกับตำแหน่งของ Bangli แผนที่ คคห.๙ ครับ

ส่วนเรื่องทิศทางจากมองงุยมุ่งหน้าไปตะวันตกเจอกีอันเจียก ข้อนี้มึนครับ มึนเหมือนกับทุกคนที่ได้ (ตั้งใจ) อ่านคำให้การฯนี้

ผมเอาแผนที่นี้มาให้ดูเล่นๆนะครับ เอามาจากบทความเรื่อง DUTCH COLONIAL CAMPAIGNS IN BALI 1846-1849 ของ Greg Blake ได้มาจากไหนจำไม่ได้แล้วจริงๆ หายังไงก็ไม่เจอครับ
โดยส่วนตัวผมสงสัยว่า Blake อาจจะได้อ่านคำให้การจีนกั๊กด้วย ด้วยความงง ก็เลยใส่ชื่อ Mengwi กับ Gianyar สลับที่กันซะงั้น ผมเห็นว่าบทความนี้ดี แต่แผนที่นี้ใช้อ้างอิงไม่ได้ครับ


บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 03 ก.ย. 09, 22:18

เรื่องประวัติศาสตร์ ผมต้องสารภาพตามตรงว่า "หาไม่เจอ"

เคยได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งในโรงแรมที่อูบุด ให้ภาพที่ชัดเจนมากของความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองในช่วงเวลานั้นและพัฒนาการของศิลปะในบาหลี แต่ผมประมาทเกินไปหน่อย เพราะคิดเอาเองว่าน่าจะหาอ่านได้ง่ายๆบนเว็บ แต่ค้นยังไงก็หาไม่เจอครับ โดยความเข้าใจก็ยังพอมีอยู่ แต่รายละเอียดแทบจะจำไม่ได้แล้ว

คงต้องกลับไปที่ของที่มีอยู่ในมือก่อนครับ DUTCH COLONIAL CAMPAIGNS IN BALI 1846-1849 ข้อมูลจากบทความนี้บอกว่าในสงครามครั้งแรกที่ Jagaraga ในปี 1848 รายาแห่ง Bangli (ซึ่งเป็นศัตรูกับ Buleleng) เข้าร่วมกับฝ่ายดัชท์ปิดล้อมกองกำลังของฝ่าย Buleleng

ผมจะแนบต้นฉบับไว้ตรงนี้ ก็ใหญ่เกิน ท่านใดสนใจส่งเมล์มาทางหลังไมค์ก็แล้วกันนะครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
manit peuksakondh
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 15 ก.ย. 09, 21:13

วิเศษมากครับ น่าทึ่งในความรู้ของท่าน Crazyhorse ครับ เมื่อตอนหนุ่มๆได้ฟังคำบรรยายเรื่องเมืองบาหลี แล้วอยากไปเสียเหลือเกิน ขณะนี้กำลังไปครับ(ไปกับข้อความของท่าน) ไปแบบย้อนยุคแบบ"ทวิภพ" สนุกครับ ขอบพระคุณ
มานิต
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.093 วินาที กับ 19 คำสั่ง