เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
เมื่อคุยกันที่กระทู้ ๒๗๐ คุณนกข.เอ่ยขึ้นมาตอนหนึ่ง เมื่อกำลังคุยเรื่องพระราชนิพนธ์ วิวาหพระสมุทร สะดุดใจดิฉัน
เธอบอกว่า "อยากเขียนประวัติศาสตร์เกาะอัลฟะเบตา ภาค 2 ต่อจังเลย อาจจะเป็นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ที่อังกฤษหมดรัศมี สูญอาณานิคมไปทีละแห่งๆ ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้กลายเป็นประเทศขึ้นมาในยุคที่อเมริกาเป็นเจ้าโลก ในบรรยากาศสงครามเย็น ลูกหลานของเจ้าอันเดรซึ่งทำอะไรไม่เป็นนอกจากโผเข้าพึ่งเกาะขามหาอำนาจ กำลังจะพาประเทศอัลฟะเบตาไปหาสหรัฐฯ (หรือไอเอ็มเอฟก็ได้) ส่วนลูกหลานของคอนสแตนติโน้สก็ลงใต้ดินเป็นพลพรรคปฏิวัติ (หรือเรียกร้องให้เว้นวรรคกับ WTO ก็ได้) ดูซิว่าอันโดรเมดาสมัยใหม่เธอจะเลือกใคร... แต่ไม่กล้าครับ ด้วยความเคารพในพระมหาอัจฉริยภาพของพระมหาธีรราชเจ้าพระองค์นั้น ผมไม่กล้าแต่งต่อจากของท่านทรงไว้ดีๆ แล้วหรอกครับ"
ดิฉันไม่ได้ค้านความเห็นของคุณนกข.นะคะ บอกไว้ก่อน เพียงแต่คำว่า "อยากจะแต่ง แต่ไม่กล้า" ทำให้คิดโยงไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง ที่คิดมานานแล้ว ดิฉันอาจจะคิดไม่เหมือนผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการทางวรรณคดี ตรงที่ว่า ดิฉันเชื่อว่าทุกวันนี้ วรรณคดีกลายเป็นวิชาที่เกือบจะตายสนิทจากการรับรู้ของคนรุ่นใหม่ ก็เพราะเราจับเอาขึ้นไปไว้บนหิ้ง รักษาเอาไว้ด้วยการท่องจำในชั้นม.ปลาย อนุรักษ์ซ้ำอีกทีด้วยการศึกษาในรูปของตำรา ในระดับมหาวิทยาลัย
ทั้งที่แต่เดิม เรื่องบนหิ้งเหล่านี้แต่งขึ้นมาเพื่อบันเทิง ไม่ใช่เพื่อท่อง และยกย่องจนแตะไม่ได้ จนกลายเป็นของขลัง ของต้องเคารพนับถือ ในที่สุดไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย
วิธีต่อลมหายใจให้วรรณคดี คือหยิบลงมาจากหิ้ง ปล่อยให้ทำหน้าที่อย่างที่เคยทำเมื่อกำเนิดงานชิ้นนั้น หยิบเอามาปัดฝุ่นใช้งาน เพื่อความประเทืองอารมณ์และจินตนาการ มากระตุ้นให้เกิดความคิดอ่านตามมา อย่าปล่อยเอาไว้เฉยๆเหมือนเดิม
อย่างน้อยเราจะได้มุมมองเพิ่มขึ้น สนใจเพิ่มขึ้น ค้นพบอะไรใหม่ๆมากขึ้นจากงานเก่าแก่ชิ้นนั้น เราอาจจะพบของล้ำค่าบางอย่าง ซ่อนเร้นอยู่ในนั้นก็ได้ หรืออย่างน้อย งานเก่าๆของปู่ย่าตายายสร้างเอาไว้ ก็จะไม่ถูกมองข้ามไร้คนเหลียวแลอีก
ประวัติศาสตร์ก็เหมือนกันค่ะ ควรมีเอาไว้ถกเถียง ออกความคิดเห็น ตีความ และค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม แสดงออกมาหลายรูปแบบ ไม่ใช่ตำราอย่างเดียว เป็นนิยาย เรื่องสั้น บทละคร เพลง หนัง อะไรก็ได้ทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้ประวัติศาสตร์ตายสนิทได้คือคำพูดว่า " ขอให้ชี้ขาด แล้วสรุปเรื่องนี้ลงเสียทีว่าจริงๆมันเป็นยังไง" เพราะเท่ากับจบการถกเถียง จบการค้นคว้า จบการออกความเห็นแค่นั้น เราควรทำเพียงให้คำตอบในประเด็นที่กำลังพูดกันอยู่ จากมุมมองและหลักฐานของเรา ถ้ามีหลักฐานหนักแน่นมากกว่าคนอื่น ความเชื่อนั้นก็อาจเป็นที่ยอมรับกันไปในช่วงหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าอีกสักพัก จะไม่มีความเห็นใหม่หรือหลักฐานใหม่เข้ามาอีก แต่...ขอให้เว้นเพียงหลักฐานเท็จ การตีความคลุมเครือ การบิดเบือนข้อมูล หลักฐานที่ผิดพลาด ... สิ่งเหล่านี้จะต้องกลั่นกรองออกไปจากการวิเคราะห์และถกเถียงกัน ไม่ใช่ว่าใครจะเถียงอะไรก็ได้ตามใจชอบจนไม่มีขอบเขต
ขึ้นต้นด้วยวรรณคดี แล้วลงท้ายที่ประวัติศาสตร์ก็ได้เหมือนกันนะเรา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ชานเรือน
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 09 ม.ค. 01, 21:43
|
|
เห็นด้วยค่ะ เมื่ออาทิตย์ก่อน ดูทีวี มีโอกาสได้เห้นเด็กมัธยมรุ่นใหม่ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ฟังแล้วดีใจ เพราะเด็กๆมีความคิดเห็นว่า อยากเรียน แบบมีการตั้งคำถาม ว่าทำไมเป็นเช่นนั้น อยากให้ครูตั้งกระทู้ให้เด็กนักเรียนออกความคิดเห็น เช่น - ถ้านักเรียนเป็นพระยาตาก จะตีฝ่าวงล้อมออกจากอยูธยาหรือไม่ -ถ้านักเรียนเป็นทหารสมัยนั้น จะตัดสินใจอย่างไร จะรู้สึกอย่างไร จะสู้ต่อ หรือตามพระยาตากไป เป็นต้น ถ้าสมัยก่อนได้เรียนแบบนี้ คงจะเรียนสนุกมาก จำได้ว่าเวลาสอบ การท่องชื่อ คณะรัฐมนตรี ตลอด จนปี พ..ศ. เป็นยาขมสำหรับดิฉันเลยละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 10 ม.ค. 01, 07:57
|
|
Let's do it!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 10 ม.ค. 01, 17:28
|
|
จะเริ่มเรื่องอย่างไรดีล่ะคะคุณ CrazyHOrse
ถ้าเป็นชาวค่ายบางระจัน จะสู้จนตัวตายหรือว่าจะหาทางหนีให้ได้ เพื่อจะกลับมากอบกู้ทีหลัง?
ไม่ควรเขียนพงศาวดารให้ดูเหมือนว่าพม่ากระทำย่ำยีอยุธยา ควรมองว่าอาณาจักรไหนๆก็ยกไปรบกับอาณาจักรอื่นเพื่อแผ่แสนยานุภาพทั้งนั้น?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 10 ม.ค. 01, 21:04
|
|
ผมไม่ใช่นักประวัติศาสตร์นะครับ แต่จำได้ว่า อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ท่านบอกว่า ทิพยภาวะ หรือรสทิพย์ของการศึกษาประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์จะได้เสพได้ลิ้ม อยู่ที่การได้ "เห็นคนเป็นคน" การได้วิจัยค้นคว้า หาหลักฐานต่างๆ จนกระทั่งรู้จัก ตัวจริงที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาของบุคคลในประวัติศาสตร์ ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่บันทึกประวัติศาสตร์วาดไว้ใหญ่โตเกินคนจริง ...ทำนองนี้แหละครับ คนในประวัติศาสตร์ไทยที่ อ. นิธิ ท่านเสนอภาพใหม่ไว้ ก็มีพระเจ้าตากสิน สมเด็จพระนารายณ์ เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 10 ม.ค. 01, 21:32
|
|
รสทิพย์ของอ.นิธิคงเป็นรสหนึ่งของการศึกษาประวัติศาสตร์น่ะค่ะ แต่คงไม่ได้จำกัดอยู่แค่รสเดียว มิน่าเล่า อ.นิธิถึงเสนอภาพพระเจ้าตาก แตกต่างไปจากภาพเดิมที่เรียนกันมา คือภาพอดีตบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยาจักรี ต่อมากินตำแหน่งพระยาวชิรปราการ แต่เป็นนายกองเกวียนซึ่งเดินทางไปค้าขายตามที่ต่างๆ แล้วตั้งตัวขึ้นมาได้หลังกรุงแตก เข้าใจถูกหรือเปล่าคะ โปรดวิจารณ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 11 ม.ค. 01, 02:40
|
|
ในห้องมองอดีตของพันธุ์ทิพย์ดอทคอม มีผู้แสดงความเป็นห่วงว่า อีกหน่อยเด็กไทยจะรู้จักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นดีกว่าประวัติศาสตร์ไทยเอง เพราะมีการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่อง ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนุก ในขณะที่ประวัติศาสตร์ไทยยังไม่ค่อยมีการ์ตูนหรือสื่ออื่นๆ ที่เด็กจะรู้สึกสนุกไปด้วยได้เท่าไหร่
การที่ครูตั้งกระทู้ถามเด็ก เช่นว่า ถ้านักเรียนเป็นพระยาตาก จะทำอย่างไรเมื่อกรุงจะแตก อาจจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้เด็กเรียนประวัติศาสตร์ไทยได้สนุกขึ้นครับ หนังย้อนยุค ถ้าทำดีๆ ก็น่าจะกระตุ้นความสนใจทางประวัติศาสตร์ได้เหมือนกัน ใครไปดูบางระจันมาแล้วบ้างครั้ง ที่เมืองไทย ผมอยู่นี่ไม่ได้ไปดู แต่ขออภัยแฟนๆ ทมยันตีเถิดนะครับ เรื่อง คู่กรรม ผมว่า ไม่ค่อยให้ภาพสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาทื่ตรงทีเดียวนัก โกโบริเป็นพระเอกมากไปหน่อย (ไม่หน่อยล่ะ มากไปมากเลยทีเดียว) เมื่อเราศึกษาเทียบกับพฤติกรรมของทหารญี่ปุ่นจริงๆ ในส่วนต่างๆ ของเอเชียในขณะนั้น คนที่อ่าน คู่กรรม แล้ว ขอเชิญอ่าน ระย้า ของคุณสด กูรมโรหิต ประกอบอีกเรื่องครับ หรือจะไปดูหนังเรื่อง ยุวชนทหาร ด้วยก็ได้ สำหรับเมืองไทยเรานั้น ผมว่า โกโบริตัวจริง คือนายพลนากามูระ แม่ทัพหน่วยงิที่เป็นผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นในไทยครับ ท่านนายพลผู้นี้เป็นผู้มีนโยบายต่อไทยอย่างละมุนละม่อม และมีส่วนอย่างมากที่ทำให้พฤติกรรมของทหารญี่ปุ่นในไทย ไม่เหมือนทหารญี่ปุ่นในจีน ในมลายู ในเกาหลี ฯลฯ (แน่นอนว่า นโยบายต่อประเทศไทยนั้นมีมาตรงจากโตเกียวด้วย แต่ท่านนายพลก็มีส่วนสำคัญมากในการนำนโยบายไปปฏิบัติ และประสานงานแก้ความเข้าใจผิดที่อาจเกิดระหว่างไทยกับญี่ปุ่น) อ. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เคยแปลบันทึกความจำของ ผบ. กองทัพญี่ปุ่นในไทยท่านนี้เป็นภาษาไทยแล้วครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 11 ม.ค. 01, 08:53
|
|
ถ้าผมเป็นผู้นำชุมชนแถบภาคกลางในยุคสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ ผมคงมีทางเลือกไม่มากนักคือ ๑ พาลูกบ้านหนีไปอยู่ในป่า ซึ่งต้องอยู่อย่างยากลำบาก เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บและสัตว์ร้าย ๒ เข้าสวามิภักดิ์กับพม่า ซึ่งต้องส่งส่วยเสบียงอาหาร รวมถึงลูกหลานชาวบ้านที่เป็นหญิงให้พม่าด้วย ๓ สร้างป้อมค่ายเพื่อป้องกันตัว แล้วอยู่เฉยๆ ๔ สร้างป้อมค่ายเพื่อป้องกันตัว แล้วคอยตีทัพพม่าทีเผลอเป็นครั้งคราว ๕ กรณีอื่นๆซึ่งส่วนมากปฏิบัติได้ยากเนื่องจากอุปสรรคในเรื่องการเดินทาง เช่นหนีเข้าไปอยู่ในกรุงฯ หนีไปร่วมกับชุมนุมที่ค่อนข้างจะห่างไกลจากอิทธิพลของทัพพม่าเช่นทางอิสาน คงต้องวิเคราะห์กันนิดหนึ่ง สมัยนั้นลัทธิชาตินิยมยังไม่มี ผมก็คงเป็นแค่นายอะไรคนหนึ่งที่อยู่บ้านม้าพยศ รู้แต่ว่าตัวเองเป็นคนพูดภาษาเดียวกับชาวกรุงศรีฯและคนในละแวกเดียวกัน คนกับพวกพม่าไม่รู้เรื่อง จากทางเลือกที่มีทั้งหมดนั้นต้องถือว่าไม่มีทางไหนดีสักทาง มีแต่เสียกับเสียทั้งนั้น(นี่แหละสงคราม) ทางเลือกที่คนอื่นๆในสมัยนั้นเลือกคงจะเป็น ทางเลือกที่ ๑ มากที่สุด รองลงมาก็เป็นทางเลือกที่ ๒ ทางเลือกที่ ๓ นั้นระบุไม่ได้เพราะที่มีก็คงอยู่กันได้ไม่นานพอที่จะมาเล่าให้ฟังกัน กรณีทางเลือกที่ ๔ อย่างที่ชาวบางระจันทำนั้น เป็นเรื่องที่แปลกมาก ผมเองยังแปลกใจว่า ชาวบางระจันทำไมถึงได้ทำเช่นนั้น ถ้าเป็นคนจีนเขาเรียกว่า เจียะป้าบ่อสื่อ แปลว่า กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ คนไทยว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยน ความเป็นจริงอาจจะเป็นว่า ลงตั้งป้อมค่ายขึ้นมั่นคง ก็คงหลีกเลี่ยงการปะทะยาก พม่าก็หวาดระแวงว่าจะถูกตีตลบหลัง ขณะที่การออกหาอาหารของชาวบ้านก็คงต้องกระทบกระทั่งกับทัพหม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ ที่ชาวบางระจันทำนั้นแปลกกว่าคนอื่น ผู้คนถึงได้ยกย่องเป็นวีรชนกัน โดยส่วนตัวแล้วผมไม่รักความเสี่ยง ในขณะเดียวกันก็คิดว่าตัวเองยังมีจริยธรรมอยู่ระดับหนึ่ง ดังนั้นผมเลือกข้อ ๑ เป็นคำตอบสุดท้ายครับ บางระจันหมดสิทธิ์เกิดในหน้าประวัติศาสตร์ครับ แฮ่ แฮ่
ส่วนกรณีพระเจ้าตาก ภาพใหม่สำหรับผมคือ เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานในการจะรื้อฟื้นกรุงศรีฯขึ้นมาใหม่ คงหลีกเลี่ยงยากที่คนจะมองว่าเป็นการทำให้ตนเองได้มาซึ่งอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นกันทั่วว่ามีความพยายามจะสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับบ้านเมือง ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจากสิ่งที่นายชุมนุมอื่นๆทำกัน และที่สุดแล้วก็แสดงให้เห็นว่าเป็นนักการเมืองที่มีสปิริต ยอมรับความพ่ายแพ้แก่คนที่มีความพร้อมที่จะทำประโยชน์ให้บ้านเมืองได้มากกว่า แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้ครับ
มุมมองที่ผมคิดว่าได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์ก็คือ คนเราไม่ว่าจะเป็นใครก็มีข้อดีข้อเสียทั้งนั้น การจะพูดว่าใครเป็นคนดีหรือคนเลวโดยหยิบยกเฉพาะบางแง่มุมขึ้นมาพิจารณา คงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมนัก ประวัติศาสตร์ในตำราเรียนนั้นทำให้ผมรู้สึกแคลงใจต่อการชิงบัลลังค์ของเจ้าพระยาจักรี แต่หลังจากได้ศึกษาไปถึงจุดหนึ่ง ผมรู้สึกได้ว่า การขึ้นครองบัลลังค์ของพระองค์นำมาซึ่งความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองอย่างที่คงจะทำได้ลำบากถ้าพระเจ้าตากจะยังทรงครองราชย์อยู่ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าตากไม่มีพระปรีชาสามารถ แต่พระองค์ก็มีข้อจำกัดอยู่ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติครับ อย่างไรก็ตามความจริงทางประวัติศาสตร์นั้นเราอาจจะใช้วิธี "พูดไม่หมด" ในแบบเรียน เพื่อไม่ให้เด็กที่ยังไม่เข้าใจในเรื่องการเมืองไปสับสนกับข้อศีลธรรม แต่ก็ไม่ควรที่จะบิดเบือนประเภท ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ ดูจะไม่ยุติธรรมกับบุคคลในประวิติศาสตร์ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 11 ม.ค. 01, 12:52
|
|
เคยวิเคราะห์เอาไว้เองค่ะ ว่า คนสมัยก่อนที่ยังไม่รู้จักคำว่าชาตินิยม เขาจะต่อสู้หรือหาทางแก้ไขปัญหาเมื่อเผชิญศึกสงครามอย่างไร คิดว่ามี ๓ ทาง ๑)ถ้าเป็นเมืองชายแดน หรือเป็นอาณาจักรที่อยู่ระหว่างเขาวัวเขาควาย ถูกตีอยู่เป็นประจำไม่ว่าจากทางซ้ายหรือขวา เขาก็จะ "ท้องถิ่นนิยม" คือรักษาเมืองเอาไว้ไม่ให้บอบช้ำ ด้วยการสวามิภักดิ์กับฝ่ายไหนที่แข็งกว่า ผ่อนหนักให้เป็นเบา แล้วก็อยู่ในวัฒนธรรมแบบของเขาต่อไป แบบนี้จะโอนอ่อนไปทางฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย ถ้าฝ่ายที่มีอำนาจเหนือเขาอ่อนแอลง เขาจะไม่ผูกพันเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแน่นแฟ้น ต่อให้กินน้ำสาบานยังไงก็เถอะ ๒)เป็นหมู่บ้านรายทางที่ถูกข้าศึกยกทัพผ่านไปแบบหญ้าแพรกถูกเหยียบเวลาช้างยกฝูงผ่าน พวกนี้ไม่มีกำลังและอาวุธ จะเป็นพวก "หนีนิยม" คือถ้าหนีทันจะหนี การเข้าป่าไม่ใช่เรื่องลำบากเกินไป เพราะชีวิตประจำวันเขาก็ออกจากบ้านไปหากินในป่าอยู่แล้ว ทำไร่ไถนาเชิงป่า เก็บของป่ามากิน ยิงสัตว์ป่ามาเอาเนื้อหนังหรือป้องกันตัว เก็บสมุนไพรในป่ามารักษาตัว พอทัพผ่านไปแล้วก็ค่อยกลับมาอยู่บ้านกันใหม่ เรื่องขาตินิยมหรือภักดีต่อเมืองหลวง เป็นเรื่องไกลตัว ไม่รู้จะทำไปทำไม ๓)เมืองใหญ่น้อยที่รวมกันเป็นอาณาจักร มีอำนาจศูนย์กลางที่เมืองหลวง พวกนี้จะ" อาณาจักรนิยม" เพราะทางเมืองหลวงตั้งขุนนางจากส่วนกลางไปปกครอง มีอำนาจสั่งการและถอดถอนเจ้าเมือง แม้แต่ประหารก็ได้ เมื่อเกิดสงครามข้าศึกยกมา เจ้าเมืองจะรีบส่งใบบอกไปแจ้งเมืองหลวงให้ยกทัพมาช่วย แล้วตัวเองก็คุมทหารป้องกันเมืองไว้ รอเวลาทัพหลวงมาช่วย แบบศึกถลาง แต่ก็มีเหมือนกันที่เจ้าเมืองเลิก "อาณาจักรนิยม" เอาดื้อๆ ถ้าศูนย์กลางอำนาจที่เมืองหลวงอ่อนแอลง หรือข้าศึกมีกำลังมาก ขืนสู้ก็ยับเยินเปล่า พวกนี้ก็จะย้อนไปเป็น "ท้องถิ่นนิยม" คือยอมแพ้ หรือไม่ก็หาทางเอาตัวรอดอย่างใดอย่างหนึ่ง หัวเมืองต่างๆของอาณาจักรอยุธยาทำแบบนี้ตอนใกล้เสียกรุงครั้งที่ ๒ พระยาพิษณุโลกเป็นตัวอย่าง เจ้าเมืองบางเมืองก็แพ้หลังรบกันแล้วสู้ไม่ไหว บางเมืองก็ชิงขอแพ้เสียก่อนจะได้รักษาหัวไม่ให้ขาดและรักษาเมืองไม่ให้ถูกถล่ม เสียแค่เสบียงอาวุธเงินทอง กับเสียผู้หญิงไปบ้าง ผู้หญิงสมัยนั้นก็ถือเป็นทรัพย์สินของชายอยู่แล้ว
ถ้านายบ้านม้าพยศจะทำตามแบบที่ ๑ หรือ ๒ ดิฉันก็ว่าไม่แปลกนะคะ ถ้าดิฉันเป็นชาวบ้านก็คงทำเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพระยาพยศอาชาเจ้าเมืองใหญ่ ก็ควรทำแบบที่ ๓ ถ้าดิฉันเป็นคุณป้าเจ้าเมืองอยู่ในนั้นก็คงเจริญรอยตามคุณท้าวท่านดังๆในประวัติศาสตร์ ออกไปสู้ด้วยอีกคน
อย่างชาวบ้านบางระจัน อยู่ในแบบที่ ๒ แต่เลือกที่จะทำแบบที่ ๓ เพราะเคยตีพม่าแตกพ่ายไปได้ในตอนแรก ต่อมามีผู้คนจากที่อื่นเข้ามารวมกำลังด้วย จึงเกิดฮึกเหิมที่จะต่อสู้แบบป้องกันตัว และต้านทานพม่าโดยหวังกำลังช่วยจากเมืองหลวง แบบเจ้าเมืองพึงได้รับ แต่พระเจ้าเอกทัศต่างหากทรง "เบรค" หมู่บ้านบางระจันเอาไว้แค่ในระดับหมู่บ้าน ไม่ให้ขึ้นถึงระดับเมือง ด้วยการไม่ส่งปืนใหญ่ไปให้ การส่งกำลังก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ถ้าหากว่าศูนย์กลางที่อยุธยาแข็งกว่านี้ มีกษัตริย์ที่วางยุทธวิธีการรบแบบร. ๑ คือสกัดพม่าก่อนเข้าถึงเมืองหลวง ด้วยการยกทัพออกไปช่วยบางระจันรบ แล้วในที่สุดพม่าถอยไปได้แบบสงคราม ๙ ทัพ นายจันหนวดเขี้ยว และนายอื่นๆ อาจจะกลายเป็นพระหรือพระยาเจ้าเมืองและกรมการเมืองระจันไปแล้วก็ได้ค่ะ
เรื่องพระเจ้าตากและรัชกาลที่ ๑ นั้น ดิฉันถือว่าเป็นการผลัดเปลี่ยนอำนาจ เมื่ออำนาจเก่าถึงเวลาร่วงโรยจนหล่น อำนาจใหม่ย่อมผลิบานขึ้นมาแทนที่
ไม่ว่าพระเจ้าตากท่านจะเสียพระจริตจริงตามที่พงศาวดารเล่า หรือว่าเป็นเพียงอาการเครียดตามที่อ.นิธิวิเคราะห์ แต่มันก็ชี้ตรงกันถึงความเสื่อมในอำนาจของพระองค์ท่าน ที่ไม่สามารถประคองความเป็นศูนย์รวมไว้ได้อย่างเมื่อเริ่มกอบกู้บ้านเมือง
ถ้าเจ้าพระยาจักรีไม่ได้อำนาจนี้ไป ขุนนางอื่นก็ได้ พระราชโอรสองค์ใดองค์หนึ่งอาจจะได้ ขึ้นกับว่าใครมีอำนาจกล้าแข็งที่สุด
ในสมัยนั้นไม่มีคำว่าประชาธิปไตย หรือธรรมธิไตย มีแต่ว่าใครแข็งที่สุดคนนั้นเป็นผู้นำ ถ้าพม่าแข็งกว่าไทยพม่าก็นำไทย ถ้าไทยแข็งกว่าต้านทานได้ ก็นำคนไทยด้วยกันได้ เป็นเหตุผลในตัวของมันเองอยู่แล้ว
ถ้าเราเอาศีลธรรมเข้าไปจับ เราจะได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง แต่คำตอบนั้นแก้ปัญหาในยุคนั้นได้มากน้อยแค่ไหนน่าจะวิเคราะห์ต่อไปถึงขั้นนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|