เท่าที่เคยอ่านมานะครับ
ในสมัยอยุธยา (อาจรวมไปถึงสุโขทัยถึงต้นรัตนโกสินทร์)
เราใช้อักษรขอม(เขมร) ในทางศาสนา เช่น ใช้เขียนภาษาบาลีสันสกฤต ใช้จารพระไตรปิฎก ใช้เขียนยันต์ เป็นต้น
ถือเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ต้องเขียนให้ถูกตามหลักไวยากรณ์ผู้ใช้มักเป็นปราชญ์ นักบวช หรือชนชั้นสูง
ส่วนอักษรไท(ย) นั้นใช้ในทางโลก เช่น บันทึกพงศาวดาร เขียนจดหมาย เป็นต้น
เน้นเพื่อการสื่อสารเป็นสำคัญ ไม่จำเป็นต้องเขียนถูกต้องตามไวยากรณ์ แต่สำคัญที่เสียง คืออ่านแล้วออกเสียงได้ถูกต้องตามยุคสมัยนั้น เช่น บันได จะสะกด บรรได ก็ได้ ขอให้อ่านว่า บัน-ได เป็นพอ
อีกตัวอย่าง คำว่า ไมตรี ซึ่งมีรากศัพท์จากสันสกฤต แต่คนโบราณออกเสียง ไม้-ตรี จึงสะกดว่า ไม้ตรี นอกจากนี้อาจเขียนเพื่อความสวยงามได้ด้วย เช่น บันได เป็น บรรได ไท เป็น ไทย ซึ่งทำให้ดูเป็นบาลีสันสกฤตมากขึ้น ดูสวยงามมีระดับเพราะเราถือว่าบาลีสันสกฤตเป็นของสูง (เหมือนปัจจุบันที่ชื่ออะไรเป็นภาษาอังกฤษจะดู "เท่" และ "มีระดับ" แต่ยุคนั้นต้องทำให้เป็น "แขก" -ฮา)
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ เรามีการติดต่อกับตะวันตกมากขึ้น มีการทำสนธิสัญญาเบาริงทำให้สยามต้องเปิดเสรีการค้า ฯลฯ
เราเริ่มทิ้งอักษรขอม ให้ความสำคัญกับอักษรไทย เพราะต้องการให้เป็นอักษรประจำชาติทั้งทางโลกและศาสนา(ตอนแรกร.๔ ทรงคิดอักษรอริยกะ แต่ไม่ได้แพร่หลายนัก) มีการจัดไวยากรณ์ไทยให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น และได้รับอิทธิพลจากตะวันตกด้วย(เครื่องหมาย สัญลักษณ์)
นอกจากนี้ ในทางศาสนา ก็ใช้อักษรไทยเขียนบาลีแทนขอมเป็นครั้งแรก อย่างที่เราใช้ในปัจจุบัน เช่น นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส เป็นต้น
ซึ่งเวลาอ่านจะยากกว่าการอ่านจากอักษรขอม เพราะไม่ได้ออกแบบไว้การนี้แต่แรก
และปัจจุบันอักษรไทยก็ใช้ทั้งในภาษาบาลีและไทย และมีการกำหนดหลักไวยากรณ์การเขียนเป็นรูปแบบตายตัว
แต่ก็เห็นด้วยกับคุณCrazyHOrse คคห. ๕ นะครับ เพราะวรรณคดีโบราณก่อนที่เรารับขอมมามากๆนั้น ส่วนใหญ่ใช้คำไทย เช่น โองการแช่งน้ำ
แต่พอเรารับขอมมาก็ใช้คำสันสกฤตกันมาก โดยเฉพาะชนชั้นสูง และมีอิทธิพลจากมหาภารตะและรามายณะอยู่มาก เช่น ยวนพ่าย
แต่ยุคหลังเหมือนความรู้ด้านนี้จะเสื่อมลงไปมากทีเดียว