บทความจากนสพ. มติชนวันนี้ ครับ
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra01260651&day=2008-06-26§ionid=0131 มหิดลปัดฝุ่น"ประวัติสุนทรภู่" ฉบับพระยาปริยัติธรรมธาดา ฉลอง222ปีมหากวีรัตนโกสินทร์
ประวัติสุนทรภู่ ฉบับพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ซึ่งถือเป็นผลงานการค้นคว้าประวัติชีวิตสุนทรภู่
ฉบับแรก คือ เมื่อ พ.ศ.2456...
สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลจึงจัดได้พิมพ์ขึ้น เป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาส
222 ปีชาตกาล "มหากวีสุนทรภู่"
สิ่งหนึ่งที่ถือว่ามีความ "พิเศษ" กว่าประวัติสุนทรภู่ฉบับอื่นๆ คือ การได้รวบรวมเอาเกร็ดประวัติต่างๆ ไว้ได้ค่อนข้างมาก
ซึ่งจะไม่พบในประวัติสุนทรภู่ฉบับอื่นๆ ด้วยเพราะได้ข้อมูลจากบุคคลที่คุ้นเคยกับสุนทรภู่และอยู่ร่วมสมัยกับสุนทรภู่หลายท่าน
ตัวอย่างเช่น เกร็ดเรื่องรัชกาลที่ 2 จะทรงเล่นต่อกลอน แต่จะหาใครเล่นด้วยแล้วสนุกเช่นสุนทรภู่เป็นไม่มี
จึงรับสั่งให้เอาบทพระราชนิพนธ์ที่ทรงเป็นกระทู้ไว้ไปพระราชทานให้สุนทรภู่แต่งต่อ ซึ่งขณะนั้นสุนทรภู่ยังถูกจำอยู่ในคุก
... เล่าว่ารัชกาลที่ ๒ ทรงพระกระทู้ต้นบทไว้ว่า กะรุ่งกะริ่ง กะฉุ่งกะฉิ่ง แล้วให้ใครต่อก็ไม่ออก ไม่รู้หนเหนือหนใต้ว่าจะต่อ
ไปทางไหน จึงรับสั่งให้เอาไปให้สุนทรภู่ ซึ่งก็ต่อกลอนมาว่า "เข็ดแล้วจริงๆ ไม่ทำต่อไป" อ่านรวมว่า
"กะรุ่งกะริ่ง กะฉุ่งกะฉิ่ง เข็ดแล้วจริงๆ ไม่ทำต่อไป" ครั้นนำทูลเกล้าถวาย ก็ทรงพระราชทานโทษให้หลุดจากเวรจำแต่วันนั้นตามขอ ...
นอกจากนี้ ยังมีเกร็ดเรื่องพระครูวัดพระปฐมเจดีย์ประชันกลอนกับสุนทรภู่ ที่แสดงให้เห็นถึง "อหังการ์กวี"
ระหว่าง "กวีเมืองกรุง" กับ "กวีบ้านนอก" เป็นเรื่องที่ได้จากการสัมภาษณ์ พระยาสโมรสรฯ มีใจความว่า
เจ้าคุณสโมสรฯกล่าวว่า ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์สุนทรภู่ออกไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ท่านพระครูปฐมเจดีย์นั้นเอง
เป็นจินตกวีอยู่ในถิ่นนั้นเอง ทั้งชำนาญภาษาบาลีด้วย จึงนึกว่าจะลองเล่นเพลงมคธกับสุนทรภู่ ดูทีว่าหรือจะดีแต่กลกลอนเท่านั้น
หรือจะดีทั้งสองอย่าง ถ้าเช่นนั้นท่านพระครูก็จะได้รับความชมเชยบ้างว่า ตนก็เป็นปราชญ์พอใช้เหมือนกัน
แต่ความมุ่งหมายผิดไปถนัด คือ เมื่อเยี่ยมท่านอาจารย์ ก็กล่าวธรรมปฏิสันถารขึ้นดังนี้ว่า
"สุนฺทฺราอาคเตเมปุจฺฉา อหํกิรวจนฝูงชนา ปสํสาศุภสารสะท้านดินฯ.."
แล้วส่งสำเนาเขียนให้ท่านสุนทร สุนทรที่จะไม่พอใจจะเห็นเป็นว่าพระบ้านนอกขอกนามาหาก็ผิดประเพณีเยี่ยมเยียน
หรือจะติว่าอวดรู้สู้รู้ปั้นล่ำ ธรรมเนียมคนจะไปมาหาสู่กันก็จะต้องทักทายปราศรัยจนมีโอกาสต่อกันได้แล้ว จึงจะควรพูด
ควรสนทนาเรื่องปัญหาน้อยใหญ่ทางสมณประเพณี จึงจะเป็นสิริมงคล จึงเขียนตอบพุ่งลงไปว่า
"..ถึงเป็นปราชญ์ก็เป็นปราชญ์นอกประเทศ เป็นเชื้อเปรตมิใช่ปราชญ์ในราชฐาน"
แล้วส่งให้ท่านพระครู จะได้แสดงกิริยาอย่างไรต่อไปก็เป็นหมดคำกล่าวเพียงเท่านี้
สุนทรภู่ก็เป็นนักเลงเก่งในเรื่องฝีปากสังวาสแลกลอนสังวาส ไม่มีตัวสู้ พวกหนุ่มจะไปรักหญิงที่ไหนก็มาหาท่านสุนทรภู่
หรือได้รับเพลงยาวเข้าก็มาหาท่านสุนทรภู่ ท่านสุนทรภู่จึงรุ่มรวยมีเงินทองใช้สอยถึงไม่ได้ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายอะไร
พระยาปริยัติธรรมธาดาเขียนไว้ว่า วิธีแต่งเพลงยาวของสุนทรภู่นั้น นัยว่ามีกติกาอยู่ ๓ บท เท่านั้นไม่มากมาย
โดยใบที่ 1 เรียกค่าใบแรก 5 ตำลึง ใบที่ 2 เป็น 10 ตำลึง ใบที่ 3 หนึ่งชั่ง ถึงใบสามสัญญาเป็นได้ตัว
ในบั้นปลายชีวิตสุนทรภู่ได้กราบถวายบังคมลาออกนอกราชการแล้วไปซื้อสวนอยู่ตำบลบางระมาด
หากินทางแต่งหนังสือบทกลอนเพลงยาวจนกระทั่งถึงแก่กรรม ที่บ้านสวนบางระมาดนั้นเอง
นอกจากนี้พระยาปริยัติธรรมธาดายังได้กล่าวถึง "หนูพัด" ซึ่งเป็นทายาทคนสุดท้ายของ สุนทรภู่ไว้ด้วย
มีบุตรที่ปรากฏชื่อเสียง คือเณรหนูพัดนั้น เวลานี้ว่ายังมีตัวอยู่ แต่ยังสืบไม่พบ คำกล่าวเล่าลือว่า
หมอสมิทได้ตั้งโรงพิมพ์เก็บหนังสือของท่านอาจารย์ มีพระอภัยมณี เป็นต้น พิมพ์ขายจนรุ่มรวยแล้วคิดถึงท่านอาจารย์สุนทรภู่
เที่ยวสืบหาพระทายาทจะรางวัล ก็ได้ตัวท่านพัดมาบำเหน็จบำนาญไปจนเต็มใจรักที่จะให้ได้