ชื่อเรื่องคือ "รายงานการประชุมปาลิเมนต์สยาม" (ตอบโต้งานของเทียนวรรณ เรื่อง ความฝันละเมอแต่มิใช่นอนหลับ ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยมีการปกครองแบบรัฐสภา) ลงพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือทวีปัญญา ไม่ทราบเล่ม และปีที่พิมพ์
เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งพบ "เมื่อไรหนอ" ต่าง ๆ ข้าพเจ้าเป็นคนชอบอ่าน "เมื่อไรหนอ" เพราะธรรมดาคนที่รู้สึกตนว่าโง่ ย่อมพอใจชมบุญผู้ฉลาด ข้าพเจ้าเชื่อแน่นอนอยู่ว่าท่านผู้ถาม "เมื่อไรหนอ" นั้นต้องเป็นคนฉลาด ถ้ามิฉะนั้นที่ไหนจะคุ้ยหาข้อความเก่งๆมาถามได้มากมายเช่นนั้น ข้อที่จับใจข้าพเจ้าที่สุด คือข้อที่ถามว่า "เมื่อไรหนอเราจะมีปาลิเมนต์" จริงทีเดียว ทำไม เราก็ศิวิไลซ์แล้ว จะมีปาลิเมนต์บ้างไม่ได้ทีเดียวหรือ แต่ญี่ปุ่นยังมีได้ ...
วันนั้นเป็นวันร้อนมาก ข้าพเจ้านอนอ่านหนังสือพิมพ์เรื่อยสบายอยู่ก็พอได้รับคำสั่งท่านสาราณียกรให้ไปฟังการประชุมในปาลิเมนต์ เรื่องงบประมาณทหาร ข้าพเจ้าก็รีบเตรียมตัวไป เมื่อข้าพเจ้าออกจากบ้านนั้นบ่ายสัก ๕ โมงแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องรีบร้อนมาก ที่ประชุมเปิดตั้งแต่บ่าย ๓ โมงแล้ว ข้าพเจ้าไปก็ตรงไปที่เฉลียงสำหรับพวกหนังสือพิมพ์ เห็นแผ่นกระดาษวางอยู่บนโต๊ะทุก ๆ โต๊ะ เขียนชื่อหนังสือพิมพ์ไว้ ข้าพเจ้าตรงไปที่มีกระดานเขียนชื่อ "ทวีปัญญา" แล้วนั่งลง เมื่อข้าพเจ้าไปถึงท่านอัครมหาเสนาบดี (ไปรม์มีนิสเตอร์) กำลังชี้แจงเรื่องงบประมาณนั้นอยู่ ข้าพเจ้าบันทึกคำพูดของท่านพวกเมมเบอร์ต่าง ๆ ไว้ดังต่อไปนี้
อัครมหาเสนาบดี.- "ตั้งแต่ดั้งเดิมมา การทหารนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นธรรมดาชาติใดที่มีความประสงค์จะเป็นไท ย่อมต้องคิดการป้องกันบ้านเกิดเมืองบิดร โบราณราชประเพณีท่านจึงได้จัดให้บรรดาชายฉกรรจ์เป็นทหารทั้งสิ้นไม่เว้นหน้า ..."
นายเกศร์.- "ข้าพเจ้าขอรับรองในข้อที่ท่านอัครมหาเสนาบดีกล่าว ข้าพเจ้าอาจชักจูงสิ่งซึ่งจะให้เห็นเป็นพยานได้ดังนี้คือ เมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์ ..."
ประธาน.- (สปีเกอร์) "รอก่อน รอก่อน ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะแสดงโวหาร"
อัครมหาเสนาบดี.- "ข้าพเจ้ากล่าวอยู่ว่าบรรดาชายฉกรรจ์ต้องเป็นทหารทั่วหน้า ก็เมื่อแต่โบราณกาลยังเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมในกาลบัดนี้เราจะยับยั้งอยู่หรือ ก็การทหารซึ่งเป็นการสำคัญครั้งนั้น ครั้งนี้ไม่สำคัญหรือ ก็สำคัญเหมือนกัน ถ้าเราตกลงเห็นเช่นนี้แล้ว เราจะควรทำอะไรก็ควรต้องคิดอ่านบำรุงการทหารให้เจริญเทียมทันชาติอื่นเขาบ้างจึงจะถูก แต่ก่อนอำนาจเป็นใหญ่ จะจัดการสิ่งใดก็ล้วนจะสำเร็จได้เพราะอำนาจ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นใหญ่ เงินเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วที่ประชุมคงจะเห็นได้ว่า ถ้าประสงค์ความเจริญของทหารซึ่งเป็นความเจริญของบ้านเมืองแล้ว ก็ต้องช่วยให้รัฐบาลได้จัดการทหารให้ดำเนินไปโดยสะดวกตามที่ได้กะไว้ แลได้อ่านให้ท่านฟัง แล้วขอให้ที่ประชุมพร้อมกันอนุญาตให้รัฐบาลใช้เงินแผ่นดินสำหรับการทหารตามที่ขอนั้นเถิด"
นายเกศร์.- "ข้าพเจ้าขอกล่าวแสดงให้แจ้งเหตุผลว่า เหตุไรข้าพเจ้าจึงรับรองลงเนื้อเห็นด้วยกับท่านอัครมหาเสนาบดีในที่นี้ ข้าพเจ้าจะขอเล่าเรื่องราวของสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชเจ้า
สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชเจ้า คือเป็นพระเจ้าอยู่หัวครองสิริราชสมบัติอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา คือกรุงเก่า
กรุงเก่าคือสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดีทรงสร้าง สมเด็จพระเจ้ารามาธิบดี คือที่เรียกกันว่า พระเจ้าอู่ทอง
พระเจ้าอู่ทองนี้เสด็จมาจากเมืองเทพนคร เพื่อเสด็จมาหาที่สร้างพระนครใหม่
พระนครใหม่นี้คือกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาคือกรุงเก่า สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชนั้น เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสวยราชสมบัติ ณ กรุงเก่าองค์หนึ่ง ข้อนี้มีหลักฐานแน่นอน คือ ได้ความจากจดหมายเหตุของเจ้าแม่วัดดุสิต
เจ้าแม่วัดดุสิตได้จดหมายเหตุเรื่องราวไว้พิสดารเป็นราชประวัติกรุงเก่า มีข้อความแปลกประหลาดดียิ่งกว่าข้อความที่มีอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ที่ตีพิมพ์ไว้แล้วนั้นหลายพันหลายหมื่นส่วน ประวัตินี้แต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิต เมื่อจุลศักราช ๙๙๒ ปี ต้นฉบับเดิมของจดหมายเหตุนั้นอยู่ที่เราเอดิเตอร์ โอย ขอรับประทานโทษ เผลอไป ... อยู่ที่ข้าพเจ้า ไม่ใช่แต่เท่านั้น ข้าพเจ้ายังมีสมุดภาษาฝรั่งเศสอีกเล่มหนึ่ง เรื่องสมเด็จพระนารายณ์ เรียกชื่อตามภาษาฝรั่งเศสดังนี้ คือ "ฮิศตอเดรอยนารายณ์" ดังนี้
หนังสือเล่มนี้แต่งโดยคนชาวชาติฝรั่งเศสคนหนึ่ง ซึ่งได้มาอยู่ด้วยกับท่านเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์คือคนชาวชาติฝรั่งเศส ชื่อเดิมชื่อ "ฟอลคอน" ดังนี้ ชายชาวชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือชื่อ ฮิศตอเดรอยนารายณ์นั้นเป็นคนชอบพอคุ้นเคยกับท่านเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ ฟอลคอน หนังสือซึ่งแต่งโดยชายชาวชาติฝรั่งเศสนั้น เป็นหนังสือฝรั่งเศส แปลโดยท่านสังฆราชปัลละกัวบิฉบ เป็นภาษาไทย หนังสือชื่อ "ฮิศตอเดรอยนารายนณ์" ซึ่งแต่งโดยชายชาวชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นคนชอบพอกับเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์นั้น มีข้อความพิสดารน่าอ่านน่ารู้น่าฟังยิ่งกว่าที่มีในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าหลายร้อยเท่า ในหนังสือจดหมายเหตุแต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิตกับหนังสือภาษาฝรั่งเศสนั้น มีกล่าวข้อความพิสดารถึงการเสด็จประพาสของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมาร มีสิ่งน่าอ่านน่าฟังอยู่มาก แต่ที่น่าประหลาดนักคือมีเรื่องกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมารเสด็จเที่ยวทรงขับยานชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าพิศวงแก่ชาวกรุงเก่าแลชาวลพบุรีมาก คือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมารนั้น ได้ทรงโปรดฯ ให้ชายชาวชาติฝรั่งเศสผู้หนึ่งเข้าเฝ้า ชายชาวชาติฝรั่งเศสนี้เป็นพ่อค้า มาตั้งห้างค้าขายอยู่ที่ตำบลท่ากระโหมกรุงเก่า
ชายชาวชาติฝรั่งเศสคนที่ดังได้กล่าวมาแล้วนี้ ได้นำยานอย่างใหม่มาถวายสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมาร เรียกตามภาษาฝรั่งเศสว่า ดังนี้ คือ "ออโตโมไปล์" ดังนี้ ยานชนิดที่ฝรั่งเศสเรียกว่า "ออโตโมไปล์" นี้ คือเป็นรถชนิดหนึ่งซึ่งเดินไปด้วยไม่อาศัยแรงม้าเลย ใช้อาศัยน้ำมันมะพร้าวทำให้เกิดเป็นแก๊สขึ้น เดินไปเปรียบคล้ายรถไฟที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ รถชนิดที่ฝรั่งเศสเรียกว่า ออโตโมไปล์นี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมาร ได้ทรงประพาสพอพระทัยเสด็จไปเที่ยวแต่จำเพาะข้าหลวงเดิม ๙ คน คุณเล็ก ๑ คุณปาน ๑ ทั้งสองคนนี้เป็นบุตรหม่อมเจ้าบัว พระนมเอก นายทองคำบุตรเปรม พระนมรอง ๑ นายสัง บุตรเจ้าพระยาพิษณุโลก ๑ นายเรือง มอญ บุตรเจ้าพระยารามจัตุรงค์ ๑ นายหวาน แขก บุตรเจ้าพระยาไทรบุรี ๑ นายน้อย ยะทิปะ แขก บุตรพระยาราชวังสัน แขก ๑ นายเผื่อนบุตรพระยามหาอำมาตย์ ๑ นายบุนนาค บุตรพระยาเพ็ชรพิไชย ๑ รวมข้าหลวงเดิมที่พอพระทัย ๙ นายด้วยกัน แต่ข้าหลวงเดิม ๙ คนนี้ล้วนเป็นเด็กมีอายุคล้ายๆ กันกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระนารายณ์ราชกุมารทั้งนั้น ..."
ผู้ส่งข่าวของเราไม่ได้จดคำพูดของนายเกศร์ต่อไป เพราะแลไม่เห็นว่ามีข้อความเกี่ยวข้องกับงบประมาณทหารอย่างไร ส่วนนายเกศร์นั้นพูดเรื่อยไปประมาณเกือบชั่วโมงหนึ่ง
ประธาน.- "ข้าพเจ้าฟังท่านสมาชิกมานานแล้ว ก็ยังไม่เห็นกล่าวข้อความอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังปรึกษากันอยู่เลย"
นายเกศร์.- "ถ้าท่านยอมให้ข้าพเจ้ามีเวลาอีกหน่อย ข้าพเจ้าก็จะได้ตั้งใจพยายามที่จะกล่าวถึงทหาร เมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าตามที่มีกล่าวถึงในประวัติ แต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิตกับ ..."
เสียงจากหลังประธาน.- "เลิกที เลิกที"
นายเกศร์.- "ข้อความในประวัติแต่งโดยเจ้าแม่วัดดุสิตกับหนังสือภาษาฝรั่งเศสชื่อ ..."
เสียงจากหลังประธาน.- "พอแล้ว พอแล้ว"
ประธาน.- "เงียบ เงียบ"
นายเกศร์นั่งลง แสดงกิริยาไม่สู้พอใจนัก
ต่อไปนี้มีเมมเบอร์แสดงโวหารอีกหลายท่าน แต่จะเป็นเพราะเหตุไรไม่ทราบ ผู้ส่งข่าวของเราจำไม่ได้ หรือลืมจดอะไรอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นมาได้อีกต่อมาเมื่อฝ่ายพวกคัดค้านพูดดังต่อไปนี้
นายทวน.- "ข้าพเจ้าจะขอกล่าวสุนทรกถาแต่พอสมควรแก่เวลาดังต่อไปนี้"
ข้อ ๑ เราต้องการที่สุด ขอให้เจ้านายของเราทรงพระราชดำริถึงตัวข้าพเจ้าผู้มีอายุมาก
ข้อ ๒ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ชนทั้งหลายเข้าใจว่า เราเป็นผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดิน
ข้อ ๓ เราต้องการที่สุด เพื่อให้เปิดทางให้ผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดินเช่นตัวเรา ออกตัวออกหน้าอาสาแสดงสติปัญญาความดีได้โดยสะดวก มิให้มีที่กีดขวางจนไม่ต้องแลดูเสียก่อนว่าลมพัดมาทางไหน
ข้อ ๔ เราต้องการที่สุด ในการที่เปิดปากมนุษย์ให้แสดงโวหารอธิบายได้ตามสติปัญญา โดยไม่ต้องกลัวติดคุก
ข้อ ๕ เราต้องการที่สุด ในตัวบุคคลสามารถ คือ เสนาบดีแลอธิบดี เจ้ากรม ปลัดกรม ผู้ช่วย แม่ทัพนายทหาร พลทหารที่รู้จักหน้าที่ของตน คือรู้จักว่าใครเป็นผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดินแล้ว แลฟังเสียงผู้นั้น
ข้อ ๖ เราต้องการที่สุด ในผู้ที่ตั้งอยู่ในยุติธรรม เพื่อเป็นความสุขแก่มนุษย์ คือเป็นต้นว่าผู้พิพากษาตุลาการ เมื่อถูกติเตียนโดยผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดิน อย่าตัดสินกักขังผู้ตักเตือน ๗ วัน ฐานหมิ่นประมาทศาล
ข้อ ๗ เราต้องการที่สุด ในท่านผู้มีสติปัญญาแลรู้วิชาเก่าแก่กว่าผู้อื่นจริง สำหรับเป็นผู้ช่วยแนะนำในราชการบ้านเมืองทั่วไปให้มีความเจริญโดยฉับไวทันเวลา
ข้อ ๘ เราต้องการที่สุด ในพวกเราให้รู้วิชาลึกซึ้งจริงๆ ทุกคนควรตั้งใจเรียนให้มีความรอบรู้ แม้อย่างน้อยเพียงเสมอตัวเรา
ข้อ ๙ เราต้องการที่สุด ให้ตัวเรามีความนับถือแม่หญิงทุกคน แลให้แม่หญิงมีความรู้วิชา แลมีความดีเท่าแก่บุรุษทั้งหลาย
ข้อ ๑๐ เราต้องการที่สุด ให้พวกเรามีความรู้สึกในความรักชาติ ศาสนาแลประเทศที่เกิดของตน แลให้มีความอายแก่ชาติชาวต่างประเทศ แลอย่าอวดดีเย่อหยิ่งว่าเรารู้มากแล้วพอแล้ว ไม่ต้องฟังเสียงใครอีก
ข้อ ๑๑ เราต้องการที่สุด ที่จะให้คนทั้งหลายเห็นว่าเราเป็นคนกล้าหาญ หมั่นเพียรแลกตัญญูต่อชาติ แลเต็มใจที่จะรับหน้าที่ทำการใหญ่ทุกอย่างทุกสิ่ง
ข้อ ๑๒ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ประเทศบ้านเมืองอันเป็นที่เกิดของเราเป็นศิวิไลซ์โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น นอกจากผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อชาติ ศาสนา แลบ้านเมืองของเราเอง
ข้อ ๑๓ เราต้องการที่สุด ในการที่คนเราจะไม่ไว้ใจคนที่ดีแต่พูดอ้างตำรับตำราฝรั่งโดยไม่มีจริงเลยนั้น
ข้อ ๑๔ เราต้องการที่สุด ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่ามีแต่ผู้ปกครองก็ไม่ได้ มีแต่ไพร่พลเมืองก็ไม่ได้ ต้องมีทั้งสองจำพวกต้องอาศัยกันแลกัน
ข้อ ๑๕ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ท่านทั้งหลายเห็นว่าทั้งผู้ปกครอง ทั้งไพร่พลเมือง ต้องอาศัยผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อชาติ ช่วยแนะนำให้เดินไปในมรรคาอันถูกต้อง
ข้อ ๑๖ เราต้องการที่สุด ที่จะให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า ร่างกายของมนุษย์ก็ดี สัตว์เดียรัจฉานก็ดี ถ้าไม่บริบูรณ์ก็ย่อมไม่เป็นที่เจริญตา
ข้อ ๑๗ เราต้องการที่สุด ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่าในสมัยนี้เมืองเรายังมีข้อบกพร่องสำคัญอยู่ คือยังไม่ได้ฟังคำแนะนำตักเตือนแห่งผู้มีวิชาจริงเช่นตัวเรา
ข้อ ๑๘ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ท่านผู้มีหน้าที่ปกครองพวกเราทอดพระเนตรเห็นความดีความสามารถของผู้มีความดีความสามารถ
ข้อ ๑๙ เราต้องการที่สุด ที่จะให้ผู้มีความดีความสามารถจริง ได้มีโอกาสจัดการงานทั่วไปแม้อย่างน้อยสัก ๓ วัน
ข้อ ๒๐ เราต้องการที่สุด ให้ผู้ที่มีทรัพย์ใช้เงินค่าหนังสือของเรา
ข้อ ๒๑ เราต้องการที่สุด ให้ผู้ที่ยังไม่ได้ซื้อหนังสือของเราคิดอ่านลงชื่อซื้อทันที
ข้อ ๒๒ เราต้องการที่สุด เพื่อให้ที่ประชุมนี้มีความเห็นตามเราผู้มีสติปัญญากตัญญูต่อบ้านเมือง
ข้อ ๒๓ .............
เสียงจากหลังประธาน.- "ยังมีอีกกี่ข้อ"
นายทวน.- "ยังมีอีกสองสามข้อ ข้อ ๒๓ ...... "
เสียงจากหลังประธาน.- "เราต้องการที่สุดที่จะฟังคนอื่นพูด"
นายทวน.- "ข้าพเจ้าขอให้ท่านผู้เป็นประธาน ได้โปรดใช้อำนาจให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพูดให้จบ"
ประธาน.- "ได้ แต่ขอให้ท่านพูดในประเด็น"
นายทวน.- "ข้าพเจ้าก็พูดในประเด็นอยู่แล้ว"
เสียงจากหลังประธาน.- "เถียงนายก เถียงนายก"
ประธาน.- "เงียบ เงียบ"
นายทวน.- "ข้อ ๒๓ เราต้องการที่สุด ..."
เสียงจากหลังประธาน.- "ไม่จริง เราไม่ต้องการเลย"
เสียงจากที่อื่นๆ.- "เลิกที เลิกที"
ประธาน.- (ตบโต๊ะ) "เงียบ เงียบ"
อัครมหาเสนาบดี.- "ข้าพเจ้าขอแนะนำว่าให้งดการแสดงโวหารเสียที มิฉะนั้นจะเสียเวลามากไป"
นายทวน.- "อะไร ท่านอัครมหาเสนาบดีจะปิดปากเมมเบอร์ไม่ให้พูดทีเดียวหรือ นี่อิสรภาพแห่งที่ประชุมนี้ไปอยู่ที่ไหน นี่จะเอาคนพูดถูกๆ เข้าคุกอย่างแต่ก่อนหรือ"
เสียงพวกฝ่ายขวา.- "เลิก เลิก"
เสียงพวกฝ่ายซ้าย.- "ว่าไป ว่าไป"
ประธาน.- "เงียบ เงียบ"
เสียงพวกฝ่ายขวา.- "หยุด หยุด"
เสียงพวกฝ่ายซ้าย.- "พูดไป พูดไป"
เสียงพวกจีน.- "ลักทะบางฉิบหาย"
ประธาน.- "เงียบ เงียบ"
เสียงพวกจีน.- "ลักทะบางข่มเหงอ้า"
ต่อนี้ไป ต่างคนต่างพูดกันอึงเต็มเสียง จนจับเนื้อความไม่ได้ อัครมหาเสนาบดีลุกขึ้นพูด แต่ไม่ได้ยินว่าพูดว่ากระไร ได้ยินแต่ "เลิก เลิก" บ้าง "ว่าไป ว่าไป" บ้าง กับเสียงพวกจีนร้องตะโกนโล้เล้ ๆ ต่าง ๆ ลงปลายประธานลุกขึ้นยืนกวักมือ พลตระเวนรูปร่างล่ำสัน พากันเข้ามาอุ้มพวกเมมเบอร์จีนออกไป คนอื่นเปล่งเสียงอื้อราวกับจะตีกัน เอะอะเหลือเกิน แล้วข้าพเจ้าก็ตกใจตื่น หัวเราะเสียพักใหญ่
