เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 9
  พิมพ์  
อ่าน: 77597 ตำนานนักกลอน
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 17 พ.ค. 08, 21:09

เพื่อน  ของ นิภา บางยี่ขัน

ทุกทุกแห่งที่เราเคยก้าวย่าง
ทุกทุกทางที่เราเศร้าและสุข
ทุกทุกหนเราซานซมล้มแล้วลุก
ทุกทุกครั้งที่เราปลุกปลอบแก่กัน

แม้ทั้งหมดจดจำไว้ล้ำลึก
นึกและนึกในใจยังไหวหวั่น
หวามวันที่จะมาถึงเข้าหนึ่งวัน
วันที่ผันเราพรากกันจากไกล

อีกบทหนึ่งที่คมมาก

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem76789.html
กลอนวรรคนี้เขาว่ากันว่า(อีกแล้ว) เป็นวรรคหนึ่งที่เก๋มาก เป็นผลงานของ นิภา บางยี่ขัน
สมัยรุ่งเรืองที่ธรรมศาสตร์ เป็นการชุมนุมนักกลอนบนเรือ แล้วมีการประชันกลอนสดกัน
แบ่งฝ่ายเป็นผู้ชาย กับ ผู้หญิง อะไรทำนองนี้แหละ สำหรับกลอนบทนี้ หาได้เพียง
บทเดียว ว่าไว้อย่างนี้ครับ

ภาพคืนวันจันทร์พริ้มน้ำปริ่มเขื่อน
ลงลอยเลื่อนเรือรักนักภาษา
นั่งเท้าแขนบรรสานขานสักวา
ชนะกลอนแพ้ตาจึงปราชัย

เพลงปลาทองเพลงสุดท้ายชวนไห้หา
สักวา...ลาจาก...อยากร้องไห้
ร้องเพราะว่านาทีต่อนี้ไป
ในหัวใจมีเขาเป็นเจ้าครอง

จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนหลัง นิภา บางยี่ขัน จึงเปลี่ยนนามสกุลเป็น ทองถาวร !
 แทนคุณแทนไท 06 ต.ค. 48 - 10:06 IP 61.19.227.2 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 17 พ.ค. 08, 21:14

ขอบันทึกไว้เป็นเกียรติยศ แด่ นิภา บางยี่ขัน

คำประกาศเกียรติคุณ
นิภา  บางยี่ขัน
“บุษบาท่าพระจันทร์”(สมญานี้ "อิงอร" เป็นคนตั้งให้)
นักกลอนตัวอย่างสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๐

    นิภา บางยี่ขัน เป็นนักกลอนนามอุโฆษในยุคตำนานนักกลอนสี่มือทองของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แก่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ทวีสุข ทองถาวร (เสียชีวิต)ดวงใจ รวิปรีชา(เสียชีวิต)ปัจจุบันตำนานสี่มือทองเหลือเพียงสองตำนานที่ยังคงอยู่  โดยทั้งสองท่านเป็นเสาหลักในวงวรรณกรรม ส่งเสริมสนับสนุนให้นักกลอนรุ่นหลังได้เจริญรอยตามในแวดวงวรรณศิลป์ได้เป็นอย่างดี  นับเป็นแบบฉบับและตัวอย่างที่งดงามอย่างยิ่ง
           นิภา บางยี่ขัน (นามสกุลเดิม) เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๘๒ เรียนหนังสือระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดพระยาไอศวรรค์ แล้วมาต่อที่โรงเรียนสตรีประเทืองวิทย์  ศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย เรียนเตรียมอุดมศึกษาพิเศษที่โรงเรียนวัดพิชัยญาติ และโรงเรียนทวีธาภิเษก รุ่นเดียวกับเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์  พ. ศ.๒๕๐๒ จึงศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำเร็จการศึกษาแล้วประกอบอาชีพเป็นพนักงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบางยี่ขัน กระทั่งปัจจุบันครบเกษียณหน้าที่การงานตามวาระในตำแหน่งเจ้าหน้าที่อำนวยบริการอาวุโส
       ชีวิตครอบครัวสมรสกับทวีสุข ทองถาวร นักกลอนอดีตหนึ่งในสี่มือทองของธรรมศาสตร์ มีบุตรหนึ่งคนชื่อเพลงพร ทองถาวร ปัจจุบันมีครอบครัวแล้วและย้ายไปประกอบอาชีพที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาทวีสุข ทองถาวร ป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตตีบในสมองรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๗ ก็เสียชีวิตเพราะเกิดอาการติดเชื้อและปอดอักเสบ ฌาปนกิจศพ ณ เมรุวัดน้อยนางหงส์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
        ผลงานด้านวรรณกรรมของนิภา บางยี่ขัน
        ๑.หนังสือรวมกลอน สายขวัญ หางนกยูง ๑ – ๒  จำปี   คำหอม  ริ้วป่านสีทอง สักวาวิวิธ นิราศกรุงเก่า ฯลฯ
        ๒. “เพลงพร” รวมกาพย์กลอนกล่อมสมัย พ. ศ.๒๕๓๔
        ๓. ร่วมร้อยกรองหนังสืออาศิรวาท ครั้งสำคัญ เช่น หนังสือนวมราชสดุดีเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก  หนังสือบทกวีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี กวีศรีประชา  ประชุมบทกวีนิพนธ์สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี เป็นต้น
        ๔. ควบคุมคอลัมน์กลอน “กังวานใจ” นิตยสารขวัญเรือน
        ๕. กรรมการตัดสินการประกวดอ่านทำนองเสนาะและประกวดแต่งคำประพันธ์ของกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ
         ๖. คณะกรรมการตัดสินการประกวดแข่งขันร้อยกรองในระดับประเทศ
เช่น กรรมการตัดสินหนังสือกวีนิพนธ์ดีเด่น รางวัลเซเว่น บุ๊ค อวอร์ด  กรรมการตัดสินประกวดร้อยกรองของกระทรวงศึกษาธิการ  กระทรวงวัฒนธรรม กรรมการตัดสินการประกวดกวีนิพนธ์โครงการร้อยกรองออนไลน์ ของสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย และกรรมการตัดสินการประกวดบทร้อยแก้วร้อยกรอง ขององค์กร หน่วยงาน ภาครัฐและภาคเอกชน เป็นจำนวนมาก ตลอดทั้งเป็นคณะกรรมการบรรณาธิการกิจหนังสือรวมบทร้อยกรอง กวีนิพนธ์ จัดพิมพ์โดยกระทรวง กรม กอง หน่วยงานต่างๆ
      ๗. วิทยากรสักวากลอนสด โดยร่วมสาธิตสักวากลอนสดกับกวีอาวุโสอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ  เช่น ประยอม ซองทอง  เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์  นภาลัย
ฤกษ์ชนะ อำพล สุวรรณธาดา  ม.ร.ว.อรฉัตร ซองทอง อเนก แจ่มขำ ประสพโชค เย็นแขประสิทธิ์ โรหิตเสถียร เป็นต้น
         นิภา บางยี่ขัน สนใจเขียนบทร้อยกรองตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาทั้งที่ตนเองชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ  เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งชมรมวรรณศิลป์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักกลอนสดเชิงปฏิภาณกวีระดับแนวหน้าของเมืองไทยที่เข้าประกวดแข่งขันในระดับต่างๆ ทำให้กิจกรรมการแข่งขันประชันกลอนสดเผยแพร่ไปทั่วทุกภูมิภาค สร้างตำนานนักกลอนสี่มือทองมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์    ที่เล่าขานสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน กระทั่งได้รับฉายาว่า “บุษบา ท่าพระจันทร์” ผลงานเชิงประจักษ์ของนิภาทั้งด้านการเขียนร้อยกรอง การเป็นวิทยากร  กรรมการตัดสิน ผู้ควบคุมคอลัมน์ร้อยกรอง คณะทำงานวรรณกรรม ปรากฏอย่างต่อเนื่องมาประมาณสี่ทศวรรษ เป็นที่ยอมรับของวงการวรรณกรรมทุกระดับ 
    นิภา บางยี่ขัน เป็นผู้มีคุณูปการต่อสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ให้ความร่วมมือ ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมของสมาคมมาโดยตลอด เป็นที่เคารพรักและ
ศรัทธาของผู้คนในวงการร้อยกรอง กวีนิพนธ์ ทั่วไป แบบเป็นแบบอย่างที่ดีที่นักกลอนได้ยึดถือเป็นแบบอย่างสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรที่ประกาศยกย่องให้นิภา บางยี่ขัน เป็นนักกลอนตัวอย่างประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๐
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 18 พ.ค. 08, 11:54

ชนะกลอนแพ้ตาจึงปราชัย
เรียกว่าวรรคทองได้เต็มปาก  วรรคเดียวเท่านั้น มีเนื้อเรื่อง( story) ตั้งแต่ต้นจนจบ บรรยายออกมาเป็นมิวสิควีดิโอได้เรื่องหนึ่งเต็มๆ
เหตุการณ์คือแข่งกลอนสักวาประชันกันระหว่างทีมหนุ่มสาว     ทีมหญิงสาวชนะ   แต่สายตาชายหนุ่มในทีมตรงข้าม มีอำนาจเหนือใจเธอเสียแล้ว
ชนะกลอน แต่แพ้สายตาอีกฝ่าย   ก็ไม่อาจเรียกว่าชัยชนะได้อยู่ดี  ต้องถือว่าแพ้ใจ

เรื่องนี้จบแฮปปี้เอนดิ้ง  สาวเจ้าผู้ชนะกลอนสักวา  แต่แพ้สายตาชายหนุ่ม ในที่สุดก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลฝ่ายชาย
ครองคู่กันมาจนความตายพรากจากกันไป
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 19 พ.ค. 08, 02:01

มองตัวตนของดวงใจ รวิปรีชา หรืออีกนามหนึ่งว่า "ปิ่นฤทัย รวิปรีชา" ผ่านงานของเธอ  เห็นจิตใจที่อ่อนหวานและอ่อนไหว ของหญิงสาวที่ยังไม่ประสีประสากับความรัก
ใช้กลอนระบายอารมณ์เจ็บปวดที่สวยงาม  ทำให้อาการอกหักมีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ขึ้นมา

เมื่อดอกไม้โรย

ดอกไม้สีม่วงร่วงตรงหน้า
น้ำตาพร่าพร่างกลางกลีบอ่อน
โอ้ใครไหนเลยจะเชยช้อน
ร้าวรอนแหลกเปล่าเฉาช้ำ

ลมหยุดพัดผ่านไปนานนัก
ไม่ทายทักใบไม้ไม่ชื่นฉ่ำ
ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีดำ
สายน้ำนิ่งสงบซบเซา

โลกแตกดับแล้วหรือนี่
ทันทีที่สบตารู้ว่าเขา
สักนิดมิได้รักเรา
โศกเศร้าเจ็บปวดทั่วหัวใจ

โอ้ความใยดีที่มอบมั่น
เขาหยันหยามเราเท่าไหน
ซื่อนักโง่นักเมื่อรักใคร
เทิดเทินให้ได้ทั้งนั้น

ความทรงจำเมื่อวันวานอ่อนหวานยิ่ง
ทุกสิ่งงดงามคือความฝัน
เพียงกระพริบตาก็ดับฉับพลัน
ตื้นตันน้ำตาอาวรณ์

ดอกไม้สีม่วงร่วงต่อหน้า
รอเขามาเหยียบยับกับกลีบอ่อน
และหัวใจผู้หญิงเขลาซึ่งร้าวรอน
จะวางซ้อนอ่อนแอบอยู่แทบเท้า
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 19 พ.ค. 08, 08:04

นักกลอนอีกคนหนึ่ง  รุ่นหลัง "สี่มือทอง" ที่จะเอ่ยถึง  คือ "เฉลิม(ศักดิ์) (ศิลาพร)รงคผลิน" หรือ"หยก บูรพา"
เขาเป็นความภูมิใจของมหาวิทยาลัย ทั้งในฐานะนักเขียนเจ้าของเรื่อง "อยู่กับก๋ง"
และนักกลอนฝีมือเอก  เจ้าของวรรคทองในกลอนบทนี้

บทสุดท้ายของนิยายรัก

จริงหรือนี่ที่ว่ารักเราจักร้าว
นึกแล้วหนาวเหน็บนักแก้วรักเอ๋ย
รสสัมผัสอ่อนละมุนที่คุ้นเคย
ไยจึงเผยรสร้างจืดจางกัน

เราเคยร่วมใจฝันว่าวันหนึ่ง
เราจะถึงวันที่งามเหมือนความฝัน
ฟ้าสีทอง ดอกไม้บาน ธารพระจันทร์
และรักอันคงค่าสถาพร

ฉันเฝ้ารอคอยวันที่ฝันไว้
รอด้วยรักด้วยใจไม่ถ่ายถอน
แต่นี่สร้อยสายสวาทมาขาดตอน
เธอกล้ารอนลงด้วยมือเธอหรือไร

เมื่อเธอสิ้นเสน่หามาสนอง
รักที่ปองมอดหมดความสดใส
แผลรักร้ายบ่อนทั่วเนื้อหัวใจ
จะต้องปวดร้าวไปถึงไหนกัน

ดอกรักบานในหัวใจใครทั้งโลก
แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน

และอาจเป็นเช่นนี้ชั่วชีวัน
เมื่อรักอันแจ่มกระจ่างกลับร้างไกล

นิยายรักยืดยาวของเรานั้น
คงไร้วันสดชื่นขึ้นบทใหม่
หมดความหมายที่จะรอกันต่อไป
เพราะเปลวไฟรักดับลงกับตา
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 21 พ.ค. 08, 13:00

ขอข้ามฟากมาที่รั้วจุฬาฯ 
คณะอักษรศาสตร์ ได้ชื่อว่ามีนักกลอนชุมนุมกันอยู่หนาแน่นกว่าคณะอื่นๆ     มีมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2500  หนึ่งในจำนวนนักกลอนเอก ยุคก่อน 2500 ที่สมควรเอ่ยชื่อไว้เป็นเกียรติในที่นี้ คือ อาจารย์ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา  เจ้าของนามปากกา" อุชเชนี"   ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๓๖ ปีเดียวกับเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ปีนี้ท่านอายุ  89 แล้ว
ผลงานซึ่งเป็นที่จดจำมากที่สุด คือ "ขอบฟ้าขลิบทอง "  ภาษาที่เขียนเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ยังหวานและคมกริบ  เนื้อหาเป็นกลอนของปัญญาชน  ให้ข้อคิดและปรัชญาชีวิตต่อสังคม
มากกว่าจะมุ่งถึงอารมณ์ส่วนตัว

ขอบฟ้าขลิบทอง

    มิ่งมิตร........                   เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น
ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน             ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม
 จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว     ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม
ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม     ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน
ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงษ์ร่อน     ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน
ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจคน         ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ
ที่จะเกลาทางกู้สู่คนยาก            ที่จะจากผมนิ่มปิ้มเส้นไหม
ที่จะหาญผสานท้านัยน์ตาใคร     ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง
ที่จะอยู่เพื่อคนที่เธอรัก              ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง
ที่จะมุ่งจุดหมายประกายทะนง     ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา
เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น     เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา
เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา     เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ


อยู่เพื่ออะไร
ฉันอยู่เพื่อบุคคลที่ฉันรัก                  ซึ่งใจซื่อถือศักดิ์สุจริต
และรักฉันมั่นมานปานชีวิต               ในความผิดความหลงปลงอภัย
ฉันอยู่เพื่อหน้าที่ที่พันผูก                  เพื่อฝังปลูกความหวังพลังไข
เป็นท่อธารรักท้นล้นพ้นไป               หล่อดวงใจแล้งรื่นให้ชื่นบาน   
ฉันอยู่เพื่อค้นคว้าหาสัจจะ                กลางโมหะอาเกียรณ์เบียฬประหาร
เพื่อสื่อแสงแจ้งสว่างพร่างตระการ    กลางวิญญานมืดมิดอวิชชา 
ฉันอยู่เพื่อดวงใจที่ไร้ญาติ                ที่แร้นแค้นแคลนขาดวาสนา
เพื่อรอยยิ้มพริ้มยลปนน้ำตา              บนดวงหน้าโศกช้ำระกำกรม   
ฉันอยู่เพื่อเยื่อใยใจมนุษย์                 บริสุทธิ์สอดผสานงานผสม
เป็นเกลียวมั่นขันแกร่งแรงกลืนกลม     พายุร้ายสายลมมิอาจรอน
ฉันอยู่เพื่อความฝันอันเพริศแพร้ว        เมื่อโลกแผ้วหลุดพ้นคนหลอกหลอน
เมื่ออามิสฤทธิ์แรงแท่งทองปอนด์        มิอาจคลอนใจคนให้หม่นมัว
ฉันอยู่เพื่อยุคทองของคนยาก             ที่เขาถากทรกรรมซ้ำปั่นหัว
เพื่อความถูกที่เขาถมจมทั้งตัว             เพื่อความกลัวกลับบ้าบั่นอาธรรม
   
เพื่อโลกใหม่ใสสะอาดพิลาศเหลือ         เมื่อคนเอื้อไมตรีอวยไม่ขวยขำ
เพื่อแสงรักส่องรุ่งพุ่งเป็นลำ                  สว่างนำน้องพี่มีชัยเอย     
   
อุชเชนี
 ๒๔๙๓
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 21 พ.ค. 08, 13:59

ผมเกิดไม่ทันยุคทองของนักกลอนครับ ถึงในยุคสมัยของตัวเองก็เป็นคนหลังเขาในโลกของโคลงกลอนอยู่ดี

เมื่อได้มาสนใจหยิบจับขึ้นมาอ่านบ้าง ก็ประทับใจตามฉันทะและประสบการณ์ของตัวเอง

ขอบฟ้าขลิบทองของอุชเชนีเป็นงานที่จับใจผมมาก อ่านเมื่อไรก็รู้สึกลึกซึ้งตรึงใจ คำก็งาม ความก็จรรโลงใจ

กวีร่วมสมัยอีกท่านหนึ่งที่ผมชมชอบงานเขียนเป็นพิเศษคือ นายผี

   ในฟ้าบ่อมีน้ำ                 ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย                   คือเลือดหลั่งลงโลมดิน
สองมือเฮามีแฮง                 เสียงเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอีศานสิ้น                 อย่าซุด,สู้ด้วยสองแขน
พายุยิ่งพัดอื้อ                    ราวป่ารื้อราบทั้งแดน
อีศานนับแสนแสน               สิจะพ่ายผู้ใดหนอ?

บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 23 พ.ค. 08, 05:52

มาฝากอีก ๒ บท  ค่ะ
สูงขึ้นไป
เหมือนสายแก้วแวววับระยับเยื้อง
ช้อยชำเลืองชมอุษาคราฉายแสง
พุน้ำหนึ่งผุดพุ่งรุ่งแจรง
ดั่งรุ้งแปลงแปลกฟ้าลงมาดิน

สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปไม่ระย่อ
ไม่รู้ท้อรู้หน่ายคลายถวิล
ถึงแดดจ้าฟ้ามุ่นพิรุณริน
ไม่สูญสิ้นศรัทธาที่ตราใจ

สายน้ำแจ๋วแววแจ่มยะแย้มยิ้ม
รับลมพริ้มทอดระทวยอวยอ่อนไหว
อรชรเพียงช่อผกาไพร
ที่ลมไกวกิ่งกล่อมถนอมกัน

พอดาวพรมแผ่นฟ้าระย้าระยับ
สายน้ำกลับเกลื่อนดารากว่าสวรรค์
สะท้อนวาบปลาบพรายประกายพรรณ
เพียงจะหยันพัชราให้พร่ามัว

ความชดช้อยย้อยหยดและรสหวาน
คือทิพยทานแด่ดินถิ่นสลัว
โปรยความรื่นชื่นใจไว้รอบตัว
ดับกระหายคลายชั่วกลั้วกลี

เฉกน้ำมิตรจิตกวีที่บริสุทธิ์
ย่อมผาดผุดผ่องจรัสรัศมี
ผินฟ้าพุ่งมุ่งงามและความดี
หยิ่งในศรีศักดิ์ตนวิมลนาน

สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปไม่ระย่อ
ประโยชน์ก่อเกิดล้ำเพียงคำหวาน
สร้างความหวังพลังหมายด้วยสายธาร
จากดวงมานกวีนั้นนิรันดร์เอย ๚

อุชเชนี
ขอบฟ้าขลิบทอง

ในนิมิต
กลีบกุหลาบฉาบชมพูพรูพรั่งฟ้า
ว่อนเมฆาเหมือนฝันขวัญพี่เอ๋ย
นภาพิศนิมิตหวามงามกว่าเคย
ชวนสังเวยบูชิตชีวิตนี้

แต่ละชีพต่างกลีบกุหลาบร่อน
ชะลอช้อนชุ่มรักเป็นสักขี
การุณยมานหวานล้ำฉ่ำฤดี
โลมปถพีทุกย่างทางครรไล

ฟ้าระริกเงาระรวยกลางห้วยกว้าง
ก็เหมือนอย่างเราฝังพลังไข
ว่าดวงรุ้งพุ่งผ่านม่านตาใจ
ลึกละไมละเมียดหวังตั้งตาคอย

เมื่อขอบฟ้าพร่าพราวหลาวทองทาบ
พุ่งปลายปลาบทะลวงถิ่นทมิฬถอย
ความมืดแมกแหลกเรื้อไม่เหลือรอย
อุทัยพร้อยแสงพร่างสว่างพราย

เพื่อฟากฟ้าสายัณห์อย่างวันนี้
จักปรายปรีดิ์เปี่ยมพ้นล้นความหมาย
เพื่อมรรคาประชาชนจักกล่นราย
ด้วยกลีบกรายกุหลาบแก้วผ่องแพรวใจ

อุชเชนี
ขอบฟ้าขลิบทอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 23 พ.ค. 08, 05:55

จาก"อุชเชนี"  นักกลอนชาวอักษรศาสตร์ท่านต่อไปที่จะเอ่ยถึงคือ ประยอม ซองทอง
เป็นทั้งสมาชิกวุฒิสภา  นิสิตเก่าดีเด่นของคณะอักษรศาสตร์ และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2548

ธารทอง
ฟ้าที่นี่แผ้วผ่องก่องประภาส
ริ้วทองลาดแรรอบขอบคิ้วหาว
น้ำในธารสะท้อนแพรวดั่งแววดาว
กระพริบพราวเพียงภาพทาบเปลวทอง

แด่ผู้ที่เจ็บช้ำระกำรัก
ที่ทุกข์หนักพักตร์พริ้มมาปริ่มหมอง
ผู้สูญสิ้นดินฟ้าจะคว้าครอง
น้ำเนตรนองท่วมหทัยไร้ญาติมิตร

เพื่อพำนักพักนอนรอนความเศร้า
ที่รุมเร้าเรือนกายเป็นนายจิต
เพื่อวันใหม่ทางใหม่ในชีวิต
เลิกครุ่นคิดคร่ำโศกกับโลกลวง

เพื่อพักผ่อนนอนหลับในทับทิพย์
ชมดาววิบแวมวอมในอ้อมสรวง
รื่นรสรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
ลิ้มผึ้งรวงหวานลิ้นด้วยยินดี

เพื่ออาบน้ำชำระกายในธารทอง
ฟังไผ่พร้องเสียงสังคีตขับดีดสี
ฟังลำนำนกร้อยถ้อยพาที
ระเรื่อยรี่จักจั่นกังวานไพร

เพราะถิ่นนี้มีฟ้ากว้างกว่ากว้าง
มีความมืดที่เวิ้งว้างสว่างไสว
เป็นป่าเถื่อนแต่เป็นที่ไม่มีภัย
อยู่ห่างไกลแต่ก็ใกล้ในคุณธรรม

ประยอม ซองทอง

http://chu21.exteen.com/20060405/entry-2
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 23 พ.ค. 08, 06:01

อีกบทหนึ่งของประยอม ซองทอง

ชีวิตเราถ้าเหมือนเรือ  (พ.ศ 2502)

ชีวิตเรา ถ้าเหมือนเรือ เมื่อออกท่า
ไม่รู้ว่า ค่ำนี้ นอนที่ไหน
จะลอยล่ม จมน้ำ คว่ำลำไป
หรือสมใจ จอดฝั่ง ..ก็ยังแคลง

ได้แต่ดื่ม น้ำตา เมื่อฟ้าร่ำ
ยิ่งยามย่ำ สายัณห์ ยิ่งกรรแสง
ถูกลมหวน หอบข่ม ระดมแรง
จึงรู้แล้ง หมดแล้ว น้ำแก้วตา

เพราะหากมัว มาร่ำ กำสรวลอยู่
ไหนจะรู้ ทรงเรือ บ่ายเมื่อหน้า
ต้องตักพาย หมายขืน ฝืนลมฟ้า
ไร้เวลา อาดูร พอกพูนใจ


สติตรง ตาแน่ว ดูแนวน้ำ
ไม่ลอยลำ ขวางเรือ เมื่อน้ำไหล
ถ้าไม่ล่อง ก็ท่องทวน สวนทันใด
เรือจึ่งได้ แนวดิ่ง ไม่ทิ้งทาง

ในโลกนี้ มีสิ่ง ต้องวิ่งแข่ง
ถ้าหย่อนแรง ราข้อ ต่อเข้าบ้าง
ก็จะแพ้ แย่ยับ ถึงอัปปาง
อย่าหมายร่าง เราจะอยู่ สู้หน้าใคร

ชีวิตเรา ถ้าเหมือนเรือ เมื่อออกท่า
ต้องรู้ว่า ค่ำนี้ นอนที่ไหน
ต่อรุ่งเช้า ก้าวอีกขั้น มรรคาลัย
กว่าวันชัย สมประสงค์ ถือธงชู..
 
และ

สงสารเดือน
ที่ขาดเพื่อน เคว้งคว้าง อยู่กลางหาว
มีเพียงแสง รุบหรู่ ของหมู่ดาว
เป็นเพื่อนคราว เดือนฉาย อยู่ดายเดียว

ยิ่งฟ้าหม่น มืดทะมึน เหมือนคืนนี้
อ้อมสรวงมี เดือนเศร้า อยู่เปล่าเปลี่ยว
เห็นเหงาหงอย ห้อยหาว รูปยาวเรียว
สีซีดเซียว เกี่ยวฟ้า ว้าเหว่ใจ


เคยฟ้าแผ้ว แวววาว ดาวประดับ
บัดนี้ลับ เร้นลี้ ไปที่ไหน
ปล่อยทุกห้อง หาวหน หม่นหมองไว้
ทิ้งเดือนให้ แขวนคว้าง กลางโพยม


ฟ้าคร่ำครืน ครวญคราง ออกอย่างนี้
หน่อยจะมี พายุ พัดพรูโหม
น้ำตาฟ้า จะพร้อยพรั่ง ลงหลั่งโลม
สงสารโคม คู่ฟ้า จะมืดมิด

คิดถึง"เดือน"
ผู้เสมือน เพื่อนใจ อันไพจิตร
เพื่อนเคยอยู่ คู่ขวัญ เป็นเพื่อนชิด
เป็นคู่คิด คู่ขวัญ ร่วมกันมา

"เดือนเอ๋ย"
ไม่โกรธเลย ที่เธอทำ ช้ำหนักหนา
ยังห่วงถึง ซึ้งสนิท ติดตรึงตรา
รอเธอมา ร่วมความหลัง อยู่อย่างมิตร

เธอหลงไหล ไฟเปลว ดิ่งเหวลึก
กว่าเมื่อใด  เธอรู้สึก สำนึกผิด
ไร้ใครอื่น หมื่นผู้ เชิดบูชิต
ขอให้คิด มิตรอย่างฉัน มั่นห่วงเดือน
http://forum.serithai.net/index.php?topic=11849.5;wap2
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 23 พ.ค. 08, 06:04

บทนี้ หวานไหวมากค่ะ

ในชีวิตมิดมนแม้หนใหน
เมื่อทุกข์จางจากใจเคยไหม้หมอง
ในม่านจิตจึงจะมีรุ้งสีทอง
เป็นค่าของชื่นชมที่ตรมทน

เราพบกันวันนี้จึงมีค่า
หลังจากฟ้าชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝน
หลังจากที่ชีวิตเรามิดมน
เราผ่านพ้นอุปสรรคที่รักไกล

ประยอม ซองทอง
http://www.geocities.com/pa_orn/kawee1.html
บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 23 พ.ค. 08, 08:45

กลอนของชาวอักษร อ่านวันนี้ ก็ไม่มีเชย.. ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 23 พ.ค. 08, 09:57

กลอนของประยอม ซองทอง มีกลิ่นอายอักษรศาสตร์  เป็นกลอนนิ่มนวล สีสันสุภาพ 
ใช้ภาษาบรรยายอย่างประณีตบรรจง  ไม่เล่นชั้นเชิง    และมักจะแฝงข้อคิดข้อเตือนใจเอาไว้ด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 11 มิ.ย. 08, 08:02

ประยอม ซองทองสร้างชีวิตราวเทพนิยายไว้เป็นตำนานของชาวอักษรศาสตร์ คือความรักของเขากับดอกฟ้า  ม.ร.ว. อรฉัตร สุขสวัสดิ์   
ทั้งคู่พบกันเมื่อฝ่ายชายอยู่ปี ๔ และฝ่ายหญิงเข้าเป็นน้องใหม่ของคณะ    รู้จักกันนับแต่ครั้งนั้น แต่เพิ่งจะมาสนิทสนมกันหลังจากเรียนจบไปทำงานแล้วหลายปี
จาก อุชเชนี นักอักษรศาสตร์อาวุโส  ผู้กำหนดทีมงานให้ประยอมและม.ร.ว. อรฉัตรได้ทำงานร่วมกัน 
ด้วยความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาก่อน มีใจรักในการกวีเหมือนกัน   ความรักของทั้งสองจึงก่อขึ้น และจบลงอย่างแฮปปี้ เอนดิ้ง
เป็นคู่ขวัญคู่หนึ่งของวงกวีอักษรศาสตร์ เป็นที่รู้จักกันในรุ่นน้อง รุ่นต่อรุ่น จนถึงปัจจุบันนี้

ม.ร.ว.อรฉัตร ซองทองเป็นนักกลอนสำคัญคนหนึ่งของตำนานอักษรศาสตร์     ค้นหางานของเธอในอินเทอร์เน็ต พบเพียงบางบท   จึงขอนำลงเท่าที่พบ

"ดาวรู้ไหม"

เมื่อเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและว้าเหว่
ขวัญจะเร่ร่อนคว้างถึงกลางหาว
แล้ววอนถามความหมองของหมู่ดาว
ซ่อนแสงพราวพรุบหรู่อยู่ทำไม

เห็นใครคว้างอย่างนี้มีไหมเล่า
จะว่าเศร้าก็ไม่เศร้า ...ดาวรู้ไหม
หากแต่ว่าแพ้ตัวแพ้หัวใจ
ที่เฉยเมยซ่อนไว้ซึ่งไยดี

เห็นเคยเห็นดาวคว้างอย่างคนเคว้ง
ปลอบตัวเองอุ่นใจอย่างไรนี่
หรือแอบหมอกหยอกฟ้ามานานปี
จนดาวมีฟ้าเสมือนเป็นเพื่อนคิด

อิจฉาดาวพราวแสงเหมือนแสร้งเยาะ
กระทบเหมาะแววว้างตรงกลางจิต
ตาจึงวาบปลาบละห้อยเพียงน้อยนิด
แล้วเม้นมิดซ่อนหมายอยู่อย่างเดิม

เพราะรักสิทธิ์อิสระเกินจะทุกข์
จึงซ่อนซุกความรู้สึกไม่ฮึกเหิม
เมื่อดาวหมายปรายตามาเยาะเติม
ชีวิตเพิ่มสิ่งใด...รู้ไหมดาว

เพิ่มชีวิตเข้มแข็งให้แกร่งกล้า
ให้เชิดหน้าท้ามองถึงห้องหาว
ยิ้มเยาะโลกโชคชตามานานยาว
ซ่อนน้ำพราวท่วมทั่วรดหัวใจ

ม.ร.ว. อรฉัตร ซองทอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 11 มิ.ย. 08, 08:39

ฝนซา  ฟ้าสาง  เป็นบทกลอนที่เขียนขึ้นจากแรงสะเทือนใจที่เห็นข่าวการสูญเสียจากพายุเกย์  เมื่อปี  2531   อยู่ในหนังสือรวมกลอนชื่อเดียวกัน
หนังสือเล่มนี้ได้รางวัลชมเชย  ประเภทบทกวี  จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ  ในปี 2534
   ม.ร.ว.อรฉัตรเล่าว่า
   “ฝนซา  ฟ้าสาง  นี่เขียนเพราะดูข่าวแล้วเกิดความสะเทือนใจ  คืนนั้นไม่ได้นอนเลย  ดึกแล้วยังลุกขึ้นมาเขียนจนจบ”

         ขยับขอนสะท้อนอกสะทกทั่ว
         อ้อมลำตัวเห็นมือแม่แค่แขนขวา
         อุ้มโอบน้องเหมือนเขาเห็นเช่นเคยมา
         แต่ทว่า... ทั้งร่างแม่เหลือแต่มือ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.089 วินาที กับ 19 คำสั่ง