เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 23843 ตัวหนอนในสมุด
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
 เมื่อ 21 มี.ค. 08, 14:45

นานเป็นสิบปีทีเดียว กว่าเถ้าแก่จะยอมให้ผมเดินพ้นหน้าร้านเข้าด้านใน
และขึ้นไปถึงชั้นบนที่เรียงกันต่อไปอีก 5 ชั้น
ทุกชั้นมีแต่ของเก่าเก็บเต็มแทบไม่มีทางเดิน
ยกเว้นชั้นบนสุด ที่โล่งสะบายตา และเป็นของล้ำค่าที่สุด

ผมแวะร้านเถ้าแก่ตั้งแต่เพิ่งสลัดขาสั้นทิ้งไม่นาน
ลงรถเมล์ ข้ามถนน เดินนับห้องแถวไปสักไม่กี่ห้อง ก็เจอร้านที่แปลกกว่าใครเขาทั้งหมด
สองข้างผนังเป็นตู้หนังสือชนิดบานเลื่อนกระจก ตู้ไม้โปร่ง ลายไม้เก่าแก่งดงาม
ในตู้มีแต่หนังสือที่ใส่ปกอย่างปราณีต เรียงรายเต็มหมดทุกชั้น ไม่มีที่ว่าง
บางชั้นต้องกองทับกัน แต่ก็อยู่ในระเบียบพองาม
ส่อแสดงว่า เจ้าของร้านเป็นคนรักหนังสือ

ร้านทำปกเซ่งฮงครับ.....
-----------------------------------------------
คุณเอลวิสให้รูปมากองใหญ่ ในนั้นมีรูปที่ชวนให้รำลึกถึงสมัยเด็ก
วิ่งเล่นสนามหลวง ยุคที่ยังมีแผงหนังสือล้อมส้วม
ท่านผู้ใดนึกสนุก ขอเชิญมาเป็นพยาธิเยิรสมุดในกระทู้นี้ครับ


บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 15:01

ร้านเซ่งฮงในวันที่ผมเป็นวัยรุ่น เปรียบไปก็คงเหมือนเมกกะของคนรักหนังสือ
เถ้าแก่ตัวใหญ่ เสียงดัง ขี่รถเวสป้าสีเทา เครื่องแบบที่เห็นเจนตาก็คือเสื้อกล้ามตัวหนา กางเกงขายาวจีบหน้า
คาดเข็มขัดหนังอย่างดี หวีผมเรียบแปล้ ดวงตาโต ชอบเพ่งมองคู่สนทนา
พูดไม่ชัดเหมือนชาวจีนในเยาวราชทั่วไป เพียงแต่เมื่อเอ่ยนามเจ้านาย หรือศัพท์แสงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย
เราจะทึ่งที่ความชัดถ้อยชัดคำ

หนังสือระดับสุดยอดของเมืองไทย ผ่านมือแกไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเล่ม
บางเล่มก็หลายรอบ บางเล่มนั้น บางคนอาจจะเพียงแต่เคยได้ยินชื่อเท่านั้น

เพื่อนผมคนหนึ่งหมั่นไส้แกนัก...
"กูละเซ็ง เวลาไปร้านนี้ แค่หยิบหนังสือมาเปิดดู
หน็อยแน่...รี่เข้ามา บอกว่า นายคนนี้ อ่านหนังสือไม่เป็น"......

วันนั้นเพื่อนผม หยิบ"อธิบายโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร" ที่ยอร์จ เซแดสแต่ง
สมุดเล่มโตและหนักมาก เขาวางมันไว้ในท้องแขน เมื่อเปิดดู หน้าที่เปิด กางหราอยู่ในอากาศ
เถ้าแก่โจนเข้ามาราวกะอินทรีย์โฉบเหยื่อ
คว้าสมุดหนาสามนิ้ว ไปจากมือ ปิดอย่างทะนุถนอม พร้อมกับบอกอย่างไม่ปิดบังน้ำเสียงว่า
คุณดูหนังสือไม่เป็น แล้วแกก็สาธิตการเปิดให้ดูใหม่

ตั้งแต่นั้น  เพื่อนไม่ยอมแวะร้านนี้อีกเลย
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 17:07

อยากฟังเรื่องหนังสือที่เคยได้ยินชื่อค่ะ

ไม่เคยไปเซ่งฮง   ชมซุยฮงก็ไม่เคยไป  เกิดไม่ทัน

ไปซื้อหนังสือปกแดงที่เซ็นทรัล  แล้วไปกินแพนเค้กที่ถนนเกสร
ทีรูมเอราวัณ มีแซนวิชเปิดหน้าอร่อยมาก  เห็นท่านผู้ก่อการบางท่านบ่อยๆ
ไม่เคยคิดจะเข้าไปคุยด้วยเลย  เพราะไม่มีเชื้อสายสกุลจะอ้างอิง
เห็นคุณหญิงมณีด้วยค่ะ   บ้านเธออยู่แถวๆนั้น

สนามหลวงไปซื้อต้นไม้แถวคลองหลอด

อ่านหนังสือมือเบา  แต่เซียนยังต่อว่าว่าเปิดหน้าสือกว้างเกินไป



 

บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 17:43

โอ้โห....กินแพนเค๊กเอราวัณ
เป็นผมนะ กลับไปคุยข่มข้างบ้านได้เป็นเดือน
แค่กินวิมปี้ อันโตเท่าฝ่ามือ ยังไม่อยากแปรงฟันไปหลายวันเลย....เสียดายความอาหย่อย
-----------------------------
ก่อนที่กระดูกจะแข็งเข้าร้านเซ่งฮงได้ เราต้องเจนจบแผงหนังสือสนามหลวงเสียก่อน
ตอนเรียนอยู่ชั้นประถม ได้ยินจากใครไม่รู้ ว่าที่ตลาดนัดสนามหลวงมีร้านขายหนังสือเก่า
ในวัยนั้น ในปีนั้น ในสถานะการณ์บ้านเมืองยามนั้น
หนังสือเล่ม มีค่าเท่ากะไปดูเอเอฟ หรือยิ่งกว่า

ในหนังสือเล่ม เราจะเจอความฝัน เจอวีระบุรุษ เจอความชั่ว เจอมิตรภาพ
เจอโลกที่คู่ขนานกับโลกทางกายที่เราใช้ชีวิตปกติประจำวัน
เพื่อนที่รวยสตางค์ สามารถซื้อการ์ตูนวิเตชามาอ่าน
การ์ตูนวีรธรรมนั่น อย่าหวังได้เจอเลย เป็นของพวกผู้ดีเขา เราอาจจะได้ดูก็ผ่านถุงฝรั่งดองนั่นแหละ
อย่างมากที่ลูกคนจนอย่างเราจะได้สัมผัสไกล้ชิดหน่อย ก็เมื่อไปบ้านเพื่อนบางคน
แต่....แม้ มันก็หวงยังกะอารัยดี....แค่หยิบมาดูหน่อยเดียว มันก็ดึงไปเก็บซะแล้ว

โลกที่ขาดตัวอักษรของคนที่อ่านออกเขียนได้ มันช่างทารุณจิตใจเหลือเกิน
สนามหลวงนั้นเล่า ก็ช่างไกลห่าง
ทำไงหนอ จะหาเงินสักห้าบาท จับรถเมล์รสพ. สายหนึ่ง ไปให้ถึงสุดทาง
ค่ารถไปกลับหนึ่งบาท เหลือสี่บาท

น่าจะหาซื้ออะไรติดมือกลับมาอ่านได้ดอก
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 17:48

        Metro Life เคยลงเรื่องร้านหนังสือเก่า โดยเริ่มร้านแรกคือ เซ่งฮง นี้, ยังอ่านและดูได้ที่นี่ครับ

      http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9490000025498
 


บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 18:06

ขอบคุณครับคุณศิลา
ป้ายนั้นทำเมื่อประมาณปี 2527....ที่รู้เพราะผมเป็นคนพกใส่กระเป๋าไปหาเพื่อน
ให้เขาช่วยลงสีและปิดทองให้
เพื่อนคนนี้เป็นช่างเขียน ที่บ้านมียางมะเดื่อและทองคำเปลวอยู่ในลิ้นชักตลอดเวลา

สีเขียวทอง เป็นสะเป๊คเถ้าแก่เขา
แกสั่งทำมาเป็นไม้สักเปลือย
มาติดขัดเรื่องลงสีปิดทอง ...เลยได้ช่วยเหลือกันตามประสาคนรักหนังสือ
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 18:10

แปลกอยู่อย่างเรื่องการเดิน

สมัยที่รถเมล์นายเลิศยังครองกรุงเทพ และพนักงานของเขายังใช้กระเป๋าสะพาย เก็บเงินค่าโดยสาร
การเดินสักกิโล หรือสองกิโล ไม่ใช่เรื่องประหลาด
กิโลเมตรนะครับ มิใช่กิโลกรัม

จากบ้านเดินมาปากซอย ระยะประมาณหนึ่งกิโล
ยืนรอรถเมล์สีฟ้าเข้ม สายหนึ่ง ถนนตก-ท่าเตียน ไม่ต้องจดจำอะไรทั้งนั้น เพราะตรงนั้น มีรถเมล์ผ่านสายเดียว
เพื่อนบอกว่า เองนั่งๆ ไปเหอะ พอผ่านวัดพระแก้วมีคนลงแยะๆ เอ็งก็ลงกะเขาเท่านั้น
สนามหลวงอยู่ตรงนั้นแหละ

แต่ไอ้เพื่อนเจ้ากรรม มันไม่ได้บอกว่าหนามหลวงน่ะ ใหญ่กว่างานวัดวัดยานนาวาเป็นร้อยเท่า
แค่เดินวัดยานฯ ตอนมีงาน ผมก็งงตาแตกแล้ว.....
นี่ต้องมุดเข้าในกระโจมที่ตั้งคลุมรอบท้องสนาม มีร้านค้าเป็นร้อยเป็นพัน ผมน่ะเด็กตัวสูงกว่าโต๊ะก๋วยเตี๋ยวนิดเดียว
มองไปมองมาก็เห็นแต่ก้นของคนอยู่ข้างหน้า

แถมร้านค้าก็มีแต่ของยั่วให้ตะบะแตก...อย่างเช่นพวกปืนปลอมอย่างนี้เป็นต้น วางเต็มแผงละลานตา
เด็กผู้ชายคนใหนไม่แวะมุง ก้อตุ๊ดเท่านั้นเอง.......

ผมไปสนามหลวงกว่าสามครั้ง จึงจับหลักได้ว่า ให้มองหาปั๊มสามทหาร ถ้าเห็นเมื่อไร ให้มุดออกจากกระโจม
ถ้าปั้มอยู่ตรงหน้า ทางซ้ายมือก็คือแผงหนังสือ แต่ต้องข้ามถนนแล้วเดินย้อนกลับไป

ครั้งแรกที่เห็นแผงหนังสือสนามหลวง ความรู้สึกเหมือนได้ไปเดินเมืองนอกครับ
สถานที่อารัยกันนะ มีแต่ซุ้มตั้งเรียงเป็นแถว ทั้งซุ้มมีแต่หนังสือเล่ม
ตามชายคาห้อยหนังสือไว้เรียงรายเต็มไปหมด เล่มเล็กเล่มใหญ่ต่อแถวกันเหมือนซุ้มเถาไม้เลื้อยบ้านคุณพระฯ
หน้าปกต่างๆ สีสรรละลานตา

ยิ่งอักษรบนปกที่ต่างแบบต่างขนาด ต่างสี ต่างข้อความ....
ในสายตาของผม สวยงามกว่าของเล่นปลาสติกที่แขวนดึงดูดตาในกระโจมที่เพิ่งมุดออกมาไม่รู้กี่เท่า

นึกน้อยใจว่า โธ่เอ๋ย เหลือเงินแค่สี่บาทห้าสิบ
ต้องเก็บห้าสิบตังไว้เป็นค่ารถ

กูจะซื้ออะไรได้ซักเท่าไหร่ว้า.....
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 19:05

ถิ่นที่คุณ  Wandee แวะไปกินแพนเค้ก คือถิ่น ร.ร.เก่าของดิฉัน    ที่จำได้คือมีร้านลิตเติ้ลโฮมเบเกอรี่ ขายไอศกรีมซันเดย์ของใหม่ของสมัยนั้น   
บัตเตอร์สก๊อตช์ยังเป็นรสใหม่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก  ดิฉันเองก็ไม่รู้จัก    จนเพื่อนคนหนึ่งบอกให้รู้  ก็เลยหาโอกาสไปชิม แล้วติดใจมาจนทุกวันนี้

แต่...เดี๋ยว    ขอเล่าเรื่องอื่นก่อนนะคะ

มีอีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมาเล่าให้ฟังบ้างค่ะ  อาจจะไม่เกี่ยวกับหนังสือมากนัก  แต่ได้แรงบันดาลใจจากบรรยากาศในร้านเถ้าแก่นี่เอง

ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีพ่อแม่ กับลูกอายุ ๔ ขวบ ย้ายจากบ้านเดิม ไปอยู่ที่สี่กั๊กพระยาศรี ชั่วเวลาหนึ่ง
ห้องแถวทั่วไปมีแค่สองชั้น  ที่อยู่ใหม่ก็เป็นตึกแถวแบบที่ว่านี้เอง อยู่ลึกเข้าไป  หันด้านข้างให้ถนนใหญ่ มองจากหน้าห้อง ก็คือลานปูนเล็กๆคั่นจากตึกแถวฟากตรงข้าม   เป็นที่วิ่งเล่นแบบไม่ต้องกลัวรถแล่นเข้ามาชน 

ห้องแถวที่ว่านี้ ข้างล่างเป็นออฟฟิศทำงาน   ข้างบนเป็นห้องว่างไว้อาศัยนอน   แสงแดดสาดส่องเข้ามาผ่านซี่ลูกกรงเหล็กที่หน้าต่าง ซึ่งเปิดบานเอาไว้กว้างตลอดวัน

ตอนเช้าพ่อแม่ไปทำงาน ก็เอาลูกไปส่งร.ร.   เย็นก็รับกลับมาบ้าน  เดินไปกินอาหารกันบ่อยๆที่ร้านตรงหัวมุมถนน
ชื่อร้าน" อุ้ยหลี" กว้างสองคูหา
ลักษณะและบรรยากาศในร้าน ราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกับกับร้าน" มิ่งหลี" หน้าพระลาน
เดินเข้าไปจะเห็นบูธอาหารเรียงรายชิดผนัง  เป็นม้านั่งแบบโบราณพนักหลังสูงเลยหัว  หันเข้าหากันเป็นคู่ๆมีโต๊ะคั่นกลาง  มิดชิดเป็นส่วนสัดไม่ต้องกลัวคนในโต๊ะถัดไปจะมองเห็นว่าสั่งอาหารอะไร

เนื้อที่ส่วนใหญ่ของร้าน คือตรงกลางที่ไม่ชิดผนัง ตั้งโต๊ะอาหารแบบจีน อยู่สิบโต๊ะเห็นจะได้  เป็นโต๊ะรูปกลมปูพื้นด้วยหินอ่อน เก้าอี้ไม้สีเข้ม มีพนัก มีพนักประกอบซี่ไม้กลมกลึง    ตัวพื้นนั่งเป็นแอ่งเล็กน้อย ไม่ใช่กลมเรียบอย่างเก้าอี้สมัยนี้

ของอร่อยของร้าน" อุ้ยหลี" คือข้าวมันไก่
เนื้อขาว เนียนและแน่น  แบบไก่ตอนสมัยนั้น ที่เลี้ยงด้วยข้าวเปลือก   ข้าวมันก็ใส่พูนจาน มีต้นหอมวางเคียงมาด้วย  น้ำจิ้มปรุงด้วยเต้าเจี้ยว ตักขึ้นมาเป็นถั่วเม็ดเล็กๆนิ่มๆ  รสเค็มกำลังดี

พ่อแม่พาลูกสาวไปกินเป็นประจำ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 19:25

แถวนั้น ตอนเย็นๆ มีอาแปะคนหนึ่งมาขายน้ำตาลเหนียว  เป่าเป็นรูปต่างๆ  อย่างรูปไก่ตัวเล็กๆ มีหงอนมีหางครบถ้วนน่ารักมาก  ราวกับของเล่น   เสียบไม้เรียงไว้เป็นแถว
อยากจะซื้อกิน แต่แม่ไม่ให้กินค่ะ บอกว่าน้ำลายคนขายกระจายลงไปในของกิน สกปรก   เลยอด ไม่ได้กินจนแล้วจนรอด  จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง

มุมถนนฟากตรงข้าม มีร้านกรแก้วซึ่งเป็นร้านตัดเสื้อมีชื่อเสียงสมัยนั้น    และต่อมาดูเหมือนจะเลิกไป จำได้ว่ามีชื่อร้านแวนด้า เข้ามาแทนที่
แล้วยังมีร้านขายเพชร และนาฬิกาของฝรั่ง  ชื่อ แอล ยี ริกันตี  ไม่เคยเข้าไปค่ะ  เคยแต่เดินผ่าน

ถัดจากร้านอุ้ยหลีซึ่งอยู่หัวมุม ต่อไปเป็นร้านขายขนมปัง...ไม่ใช่เบเกอรี่อย่างเดี๋ยวนี้ แต่เป็นขนมปังกล่อง  มีหลายชนิด   ที่กินก็เป็นขนมปังกล่องเขียวอ่อนๆ  ตรารวงข้าว ข้างในเป็นบิสกิตแผ่นสี่เหลี่ยมรสจืด    อร่อยมากเวลาจิ้มกับนมข้นตราหมี
ร้านนี้ไม่ได้ตกแต่งประดับประดา  เดินเข้าไปก็จะเห็นว่าผนังมีตู้กระจกแบบชิดผนัง เรียงรายไปจนจดเพดาน  ใส่สินค้าในร้านซึ่งเป็นเครื่องกระป๋องทั้งหมด  มีตู้กระจกใส่ของแบบเตี้ยๆ อยู่ในร้านด้วย 

ย้อนกลับไปนึกถึงตอนนั้น รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้ลำบากตรงไหน    เด็กๆไม่รู้หรอกว่าอะไรลำบากอะไรสบาย
ขอเพียงมีข้าวกิน  มีที่นอน มีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆให้อุ่นใจ    ได้เห็นนั่นเห็นนี่ แม้แต่เดินออกไปหน้าบ้านไปเล่นกับเด็กเพื่อนบ้าน  ก็เป็นความสุขที่เต็มอิ่มครบถ้วนแล้ว
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 19:45

ตอนนั้นทำงานแล้วค่ะ
ร้านแพนเค้กก็ของลิตเติ้ลโฮม  ที่เจ้้าของร้านเป็นสุภาพสตรีฟิลิปปีนส์
แซนวิชไก่  เวลานี้ราคา ๒๔ บาท   ซิลเวอร์ดอลล่าร์ฺยังมีขายอยู่ค่ะ  เนยเทียมก้อนใหญ่เบ้อเริ่ม

คุณเทาชมพูคะ  ร้านอาหารที่ไม่ใช่มิ่งหลี อุ้ยหลี  ยังมีอีกร้า้่นหนึ่งแถวๆคลองหลอด
ขายซีเต้ก  ซีตูลิ้นวัว  แกงจืดลูกรอก   หมี่กรอบ

เคยไปกินสปาเกตตี้กับน้าเทือง เอมเจริญที่แถวเกสร
กินเสร็จน้าบอกว่า  เราว่าหนมจีนอร่อยกว่านะ

ตอนนั้นน้าเทืองยังนั่งจ้องดวงอาทิตย์อยู่เลยค่ะ
ภรรยาก็มีแค่สองคน


เรื่องหนังสือ หรือหนอนหนังสือ  ก็คงเฝ้าอยู่แถวนี้ค่ะ
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 19:57

กรแก้ว   โอ้โฮ

ไม่เคยรู้จักท่านผู้ใดที่ตัดเสื้อที่กรแก้วเลยค่ะ



รู้จักแต่ร้่านพรศรี  ที่คุณ นิตยา นาฎยสุนทรตัดเสื้องามๆไปเป็นตู้ตอนไปอังกฤษ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 20:33

ร้านกรแก้ว..จำไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของร้านค่ะ   แต่นึกชื่อคุณอุไร ลืออำรุงออก
ไม่แน่ใจว่าเธอเป็นเจ้าของร้านพรศรี ใช่ไหม   เมื่อก่อนใครไปเมืองนอก  ต้องไปตัดโอเวอร์โค้ทที่ร้านพรศรี

หลังจากเดินแยกซอยไปเสียห่างหนังสือ ก็ขอเลี้ยวกลับมาอีกครั้ง

เมื่ออายุ ๘ ขวบ  ประมาณนั้น    พ่อแม่เลิกงานแล้วแวะจ่ายตลาดที่วัดมหรรณพ์ เป็นตลาดสดติดกับศาลเจ้าพ่อเสือ
พ่อจอดรถที่หน้าตึกแถวฝั่งตรงข้ามตลาด   แล้วพ่อก็ข้ามถนนไปจ่ายของสดเอง จะได้เลือกของชอบได้  
พ่อดิฉันจ่ายตลาดเป็น  ทำกับข้าวก็เป็น  นับเป็นคุณสมบัติหาได้ยากยิ่งของชายไทยสมัยนั้น

แม่กับดิฉันชอบเดินเข้าไปที่ร้านขายเครื่องเขียน ห้องเดียว ตรงนั้น
เป็นห้องแคบๆ ไม่มีอะไรแปลก  เดี๋ยวนี้ก็ยังพอเห็นได้ในตลาดเก่าของต่างจังหวัด   มีตู้กระจกเตี้ยๆใส่เครื่องเขียนอยู่ทางซ้าย   มีหนังสือนิยายปกอ่อนวางปะปนอยู่ด้วย   ผนังด้านหลังแบ่งเป็นชั้น วางพวกหนังสือเรียน
ร้านนี้มีนิยายปกอ่อน ชุดสามเกลอ วางขายเป็นประจำ   เล่มใหม่ๆมีกำหนดออกไม่แน่นอน แต่ประมาณ ๓-๔ วันก็เห็นเรื่องใหม่แล้วค่ะ

เล่มหนึ่งดูเหมือนจะหกสลึงหรือสิบสลึง   จำราคาไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน
   
นิยายสามเกลอ โด่งดังมาก  เป็นเรื่องที่แม่ยอมให้ซื้ออ่าน บอกว่าไม่มีพิษมีภัยสำหรับเด็ก   มีการ์ตูนสามเกลอด้วยค่ะ ขนาดยาวประมาณกระดาษ A4 แต่แคบกว่า
การ์ตูนสามเกลอที่ได้อ่าน คือ "ผีดิบอาละวาด" สามเกลอแอบไปขโมยศพมาจากวัด  เพราะดร.ดิเรกต้องการทดลองชุบชีวิตศพขึ้นมาแบบแฟรงเกนสไตน์
ผีดิบก็เลยอาละวาดอยู่ในบ้านพัชราภรณ์

ส่วนนิยายปกอ่อนนั้นเล่มละตอนค่ะ  สองสามหน้าตอนท้ายเล่ม คุณป.อินทรปาลิตคุยกับคนอ่านด้วย  มีคนเขียนเข้าไป ท่านตอบเป็นข้อๆ  เรียกตัวเองว่า อา
คนถามส่วนใหญ่ก็เรียก คุณอา ป.  สังเกตว่าเป็นคนอ่านผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่  ไม่ค่อยมีผู้หญิง
คุณป. ท่านคุยเฮฮาร่าเริง  อารมณ์ดี เป็นกันเอง
ถ้าท่านอยู่ในยุคนี้ คงมาแจมเว็บบอร์ดเป็นแน่
บันทึกการเข้า
V
อสุรผัด
*
ตอบ: 6


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 20:48

I love this topic. It's really fun. Thank you for sharing. Here what I got... just in case you all want to read again. It's my favorite.    http://www.geocities.com/samgler/

Have a lovely weekend ยิ้ม

-V-
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 20:55

นิยายของป.อินทรปาลิตมีหลายแนว ไม่ใช่แต่เรื่องสามเกลอเท่านั้นนะคะ  
มีนิยายเรื่องยาวเรื่องหนึ่งที่จำได้ ชื่อซุปเปอร์แมนแกละ    ตัวเอกเป็นเด็กชื่อแกละ ตอนเล็กๆพิการหรืออะไรสักอย่าง  แล้วมีฤๅษีหรือเทวดาจำไม่ได้แล้ว มาช่วยให้แปลงร่างเป็นซุปเปอร์แมนได้  
จากนั้นเจ้าแกละก็ได้ไปเป็นขุนศึกคู่พระทัยของพระราชาที่มีพระธิดาสวยมาก ชื่อเจ้าหญิงมณฑาวดี
ผจญภัยอะไรสารพัด    
แต่เจ้าหญิงในตอนท้ายๆของเล่ม กลายเป็นคนไม่ดีค่ะ นอกใจพระเอกไปมีชู้ กลายเป็นนางกากีไปเสียได้
พระเอกดูเหมือนจะได้นางเอกใหม่ โผล่มาท้ายเรื่อง

เรื่องทาร์ซาน คุณป.ก็เขียนค่ะ   แต่เป็นทาร์ซานไทย นางเอกทาร์ซานก็เป็นคนไทย  ไม่ใช่เจนของฝรั่ง  
เธอชื่อไฉไล   รูปวาดบนปก สวยมาก นุ่งกระโปรงสั้น เสื้อเฉียงบ่า  ขาดๆวิ่นๆ แบบนางไพร

เรื่องแบบนี้ลงตอนละเล่ม  อ่านแล้วก็ต้องรอจนกว่าเล่มต่อไปจะออก ในอีกสามสี่วันข้างหน้า
ภาพปก สวยมากค่ะ  ยิ่งผู้หญิงแต่ละคนหน้าหวานตาคมคิ้วเข้ม  ฝีมือวาดของคุณอาภรณ์ อินทรปาลิต น้องชายคุณป.
เคยไปเจอในร้านหนังสือเก่า   ตอนเด็กๆรู้แต่ว่าสาวๆบนปกนี้สวยทุกคนเลย   ตอนโตถึงดูออกว่าหุ่นผู้หญิงสวยสมัยนั้น คืออวบจนดูอ้วน เอวคอดสะโพกผาย และสูงปานกลาง   ไม่เพรียวอย่างสมัยนี้
หุ่นคล้ายๆลิซ เทย์เล่อร์ในหนัง Cat on a Hot Tin Roof  ไม่บอบบางอย่างออเดรย์ หรือเกรซ เคลลี่
บันทึกการเข้า
Wandee
หนุมาน
********
ตอบ: 4006


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 21 มี.ค. 08, 21:05

คุณเทาชมพูเล่าเรื่องตอนเด็กๆน่าฟังจริงๆ

ช่างเป็นครอบครัวที่ทันสมัยให้อ่านสามเกลอ


สามเกลอจัดเป็นหนังสือหายากในระดับสูงสุด คู่กับผลงานพิมพ์ของ ก.ศ.ร.กุหลาบแล้วค่ะ
ซื้อหาแข่งขันขอดูกันอุตลุดตลุมบอนเลยค่ะ

เคยไปงานชื่นชุมนุม งานออกหนังสือเกี่ยวกับสามเกลอสองครั้ง
ครั้งแรก มีการพูดภาษาสามเกลอกันอ้อมๆ   เช่นการไปงานศพ
สมาชิกชมรมสามเกลอที่มาจากสารทิศ หัวเราะกันงอหาย

พิธีกรไม่เก็ทค่ะ   ตลกมากทีเดียว

ถ้าคุณลุงทราบ  ท่านคงประหลาดใจมาก


ชอบอ่านงานเรื่องสั้นของคุณลุง   ท่านมีภาษาเฉพาะของท่านเลยนะคะ

ชายหนุ่มลืมตาโพลง   ยื่นมือให้อีกฝ่ายจับทันที   ความเป็นศัตรูของบุคคลทั้งสองสิ้นสุดลงแล้ว

ในเรื่องเสือใบเสือดำก็สนุกค่ะ  จับสลากเฝ้าถ้ำ  นางเอกต้องสละชีพ  พระเอกเรียกนางเอกว่าหนู

เรื่องนักเรียนนายร้อยก็สนุกค่ะ
นางเอกมีแขกมาหา    นางเอกตะโกนเข้าไปหลังบ้าน  ไปเอากาแฟมาสองแก้วเร็ว  (ประมาณนี้นะคะ  เล่าจากความจำ)

หนอนหนังสือก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ
อ่านแล้วจำฝังใจ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 19 คำสั่ง