เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23
  พิมพ์  
อ่าน: 207803 คำไทยที่ไม่ค่อยจะรู้จักกันแล้ว
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 300  เมื่อ 30 พ.ค. 09, 13:14

ดีๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 301  เมื่อ 30 พ.ค. 09, 13:54

อันที่จริงเเล้วภูเก็ตก็มาจ่ากากคำว่าบูกิตนั่นนแหละ  เพียงแต่บางคนยังข้องใจว่า เก็ต  เป็นสระเอะ  เเต่ กิต เป็นสระอิ  เเต่เมื่อเราลองเข้าไปดูวัฒนธรรมทางภาษาของชาวมลายูโดยเฉพาะ  มลายูเกดดาห์  คำว่าบูกิต เขาจะออกเสียงว่า บูเก็ต  ตรงตัว อย่างไม่มีข้อโต้เเย้ง เเละเมื่อดูชื่อบ้านนามเมืองรอบๆๆเกาะภุเก้ต  ยังมีอีกมากมายที่เป็นภาษามลายู เช่นหาดราไวย์(เบ็ดราวแบบปักของชาวมลายู)  เกาะละวะเเบ็ดราวอีกชนิดหนึ่งของชาวมลายู)    หาดในทอน(หาดที่มีน้ำตื้น)  คลองกะลา(กัวลา แปลว่าปากน้ำ) บางเจ๊ะเลา(หมู่บ้นช่องน้ำ) บางม่าเหลา เกาะปายู(เกาะพายุ ) เกาะนาคา(เกาะนาค) กมลา(ปากน้ำผู้โชคร้าย  เเต่เดิมเขียนเป็น กำมะรา) บ้านพารา บางคนฑี  เกาะสิเหร่ (พลู) เกาะลัง  (แปลว่าขวาง)  เกาะมะพร้าว  (เดิมชื่อเกาะยอร์ เเปลว่ามะพร้าว) เเหละหงา ( แปลว่าเเหลม กลาง ) เกาะปันหยีพังงา  (แปลว่าเกาะ ที่มีรูปร่างเหมือนธงสามเหลี่ยม) เกาะพีพี (เดิมชื่อว่าปูเลาปีปี) เกาะเหลาลาดิง  เหลาปิเหละ(เหลา=ปูเลา ปิเละ=ห้อง)  กำลังถูกเรียกชื่อภาษาไทยว่าเกาะห้องแล้วตอนนี้  ดูเเค่นี้เราก็น่าจะรู้ได้เเล้วว่าที่มาของชื่อภูเก็ตน่าจะมาจากที่ได  ดูเเล้วน่าจะเป็นการทับศัพเสียมากกว่า  เป็นที่รู้กันดีว่าชื่อบ้านนามเมืองใหญ่ๆๆเเถวภาคให้มักมีชื่อเป็นภาษามลายู ทั้งนั้นเเล้วภูเก็ตจะเหลือหรอ และอีกอย่างคนโบราณ  เเถบนี้ก็ไม่นิยมตั้งชื่อเมืองที่มีความหมายลึกซึ้งอะไร  เห็นอะไรก็ตั้งไปตามนั้น  จริงมั้ย อีกอย่างภูเก็ตไม่ไช่ชื่อเกาะนี้ในสมัยโบราณ  เเต่ถลางตะหากเป็นชื่อของเกาะนี้  ดังนั้นถ้าเอาเหตุผลการเรียกชื่อเกาะนี้ว่าเกาะภูเก็ตก็มีเเค่คำตอบเดียวคือ เมืองภูเก็ตใหญ่มาทีหลังเเละสำคัญจากการทำเเร่ดีบุกเมื่อ200 ปีมานี้เอง จึงกลายเป็นชื่อเกาะชื่อใหม่เเทนชื่อถลางไป  ส่วนที่ว่าคนเห็นเกาะว่ามีภูเขาเเล้วตั้งชื่อเป็นเกาะบูกิ๊ตนั้นเห็นจะไม่ไช่ เพราะเกาะนี้มีชื่ออย่ก่อนเเล้วก่อนที่ภูเก็ตจะบูมขึ้นมาทีหลังเสียอีก  เกาะนี้จึงมีชื่อเดียวคือเกาะถลาง  นั่นเอง  ส่วนภูเก็ตนั้นก็มีการพัฒนาทางประวัตศาสตร์อีกอย่างหนึ่งอีก  ต้องเเยกออกมาให้ชัด  เพราะเดี๋ยวจะมั่ว    ส่วนเรื่องเมืองมนิกกิมัม หรือมนิกครามอะไรนั่น  เป็นการตีความหมายไปเองว่าเป็นชื่อเดิมของที่นี่  ทั้งที่ศิลาจารึกนี่ก็พบที่ตะกั่วป่า  เเละเรื่องราวก็ดูเหมือนว่าจะเป็นชาวทมิฬกลุ่มหนึ่งทะทะเลาะกันมาจากที่อื่นเสียด้วย  ดังนั้นเรื่องชื่อเมืองที่กล่าวถึงจึงเป็นเพียงเเค่ เมืองที่อยู่บนฝั่งอินเดียตะหาก  สังเกตุว่าผู้ว่ามีคำว่า พระวังหน้า  ข้อนี้ก็รู้เเล้วว่าเป็นเจ้านายของเขาที่อินเดียนะเเหละ  ไม่ไช่ที่ตะกั่วป่า  หรือที่เกาะถลาง  เเต่อย่างใด 

บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 302  เมื่อ 30 พ.ค. 09, 15:15

จากกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/03/K7647760/K7647760.html
มีคำๆหนึ่งที่สงสัยว่ามาจากภาษามลายูคือ กาหรั่น น่าจะมาจากภาษามลายู garan

ขอคำชี้แนะจากคุณ semudara ด้วยครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 303  เมื่อ 31 พ.ค. 09, 15:09

เรียนคุณ CrazyHOrse  กอ่นนะค่ะ  คืออยากทราบว่าคำที่คุณต้องการทราบนั้นว่าเป็นชื่อของอะไร  ที่มาที่ไปของการสงสัยคืออะไร   จะได้หาเเนวทางของคำตอบที่ถูกต้อง  เพราะเวลาเราเปดพจนานุกรมมีคำมากมายที่เราเจอตรงกันด้วยเสียงที่  มีจำนวนไม่น้อยที่มีความหมายหรื  คำตอบไม่ตรงกับที่เราต้องการ  ดังนั้นจึงขอทราบที่มาของคำนี้ว่าคุณได้มาอย่างไร  จากไหน เป็นชื่อของ  อะไร  จะได้มีเเนวทางในการศึกษาที่ชัดเจนขึ้น
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 304  เมื่อ 01 มิ.ย. 09, 10:02

มีคำที่สงสัยจะถาม  ใครก็ได้ช่วยไขให้หน่อย

ถึงแหลมสิงห์สิงขรชะง่อนงอก
ที่โตรกตรอกเขาเขินเปนเนินผา
มีหินขาวยาวใหญ่ใกล้ชะลา
ทัศนาเพริดพริ้งเหมือนสิงห์โต
ก็สมคำสำคัญมีมั่นเหมาะ
เกิดจำเพาะทางประเทศวิเสศโส
ดูหัวหายกายยังตั้งชะโง
ภอเรือโร่ออกแถวแนวทะเล
จากนิราศจันทบุรี - กรุงเทพฯ หลวงบุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ)

คำว่า ชะโง หรือ ตั้งชะโง แปลว่าอะไร มีที่มาจากภาษาอะไร ฝากด้วยนะครับ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 305  เมื่อ 01 มิ.ย. 09, 10:55

กาหรั่น ที่ว่านั้น คุณ Navarat.C ได้ค้นมาให้ดูว่าหมายถึงกระเดืองที่อยู่ในรูป คคห. 53 ในลิงก์ที่ผมยกมาให้ก่อนหน้านี้ครับ
ผมเปิดพจนานุกรมมลายู แปล garan ว่า handle ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะหมายถึงกระเดืองในรูปดังกล่าวได้หรือไม่
หรือ กาหรั่น นี้จะเป็นคำที่ไทยเรียกย่นย่อมาจากจักกรั่นครับ (คำจักกรั่นนี้ไม่น่าสงสัยว่าจะมาจาก Cakaran แน่)

ส่วนคำว่า ชะโง ของคุณ luanglek ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนครับ เข้าใจว่ากลอนพาไปมากกว่าครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 306  เมื่อ 02 มิ.ย. 09, 19:07

อ๋ออย่างนี้นี่เอง
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 307  เมื่อ 02 มิ.ย. 09, 20:18

แฮ่ๆ อย่าอ๋อแล้วหายไปสิครับ มาช่วยกันก่อน ผมทำได้แค่เปิดพจนานุกรม แต่ไม่รู้ว่าคำว่า garan ในชีวิตจริงเขาใช้กันยังไง จะเป็นกระเดื่องอย่างในรูปที่ว่าได้หรือไม่ ขอความรู้หน่อยครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 308  เมื่อ 02 มิ.ย. 09, 21:21

เดี๋ยวไปดูก่อนนะ   เเต่ไหนๆๆก็เข้ามาเเล้วก็ฝากความรู้เรื่องหนึ่งให้อ่านเเล้วกัน  เป้นกระทู้ที่ต้องการเปิดปมที่คาใจของกระทู้บางกระทู้ในหน้า11 ที่ สงสัยที่มาที่ไปของชื่อภูเก็ตหน่อยนะ
บันทึกการเข้า
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 309  เมื่อ 02 มิ.ย. 09, 21:22

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าภูเก็ต  เป็นชื่อเกาะที่มีมาทีหลัง  แต่เดิมชื่อของภูเก็ตในเอกสารสยามทั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา( อันเป็นสมัยแรกที่ปรากฏชื่อในเอกสารของสยาม ) และสมัยรัตนโกสินทร์เรียกว่าเกาะถลาง    ส่วนหลักฐานทางต่างประเทศเรียกว่า Junk selon บ้าง jank salam บ้าง   ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทับศัพท์ไปจาการไต่ถามชาวพื้นเมือง ทั้งสิ้น  ไม่ปรากกฎว่า ชื่อเกาะมีชื่อว่าเกาะภูเก็ตมาก่อนเลย เพิ่งมาเรียกกันตั้งแต่ยุบรวมเมืองถลางกับเมืองภูเก็ตเข้าด้วยกัน  เกาะนี้ก็เลยต้องโดนเรียกชื่อใหม่ว่าเกาะภูเก็ตตามความสำคัญของเมืองใหญ่กว่าที่เพิ่งขึ้นจากการมีความมั่งคั่งของสินแร่ดีบุก ที่เพิ่งเจริญขึ้นมาเมื่อ 200 ปี  ดังนั้นการที่เราตีความว่าภูเก็ตเป็นชื่อเกาะนี้มาแต่โบราณนั้นมีอันต้องล้มเลิก  เพราะแรกเริ่มภูเก็ตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเกาะที่มีชื่อว่า เกาะถลางตามเอกสารสยาม  อันนี้ถึงจะเป็นชื่อจริงของเกาะนี้ ในสมัยก่อน   เพราะฉะนั้นเราต้องคิดแยกกัน  จะนำเอาเรื่องการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของแต่ละเมืองทั้งสองมารวมกันไม่ได้  แม้ว่า  จะมีประวัติศาสตร์ที่กี่ยวข้องกัน  เเต่ก็มีส่วนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ของแต่ละเมือง  และมีจุดเริ่มไม่เท่ากัน  เป็นอันรู้กันดีว่าเมืองถลางเกิดก่อนภูเก็ต  ดังนั้นการที่มีคนวิเคราะตีความที่ว่า  เมืองภูเก็ต  แปลว่าภูเขาจริงก็ไม่น่าใช่เพราะ ภูเก็ตแปลว่าภูเขา  แต่ภูเก็ตเป็นเกาะ เห็นจะต้องถอยหลังกลับมาคิดกันใหม่ตามที่ได้อธิบายไว้แล้วด้านบน  เพราะถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ของเกาะนี้จะเห็นได้ว่าภูเก็ตในสมัยโบราณเป็นแค่หมู่บ้านหนึ่งของเมืองถลางต่อมาเจริญขึ้น  คนในทะเลก็ไม่ได้รู้ว่ามีหมู่บ้านกี่หมู่บ้านบนเกาะแห่งนี้  และภูเก็ตก็ไม่ได้เป็นหมู่บ้านเดียวด้วย   เพราฉะนั้นหมู่บ้านก็ต้องมีหลากลายและมีชื่อแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่  ไม่ไช่ว่าในสมัยโบราณชื่อภูเก็ต  เป็นชื่อทั้งหมดของเกาะนี้ซะหน่อย  เมื่อไม่ถึง200  ปีนี่ตะหากที่เพิ่งกลายเป็นชื่อเกาะทั้งหมดไปก็เพราะกลายเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดในเวลาต่อมาเท่านั้นเอง    ที่นี้หวังว่าคงเข้าใจ  ในความจริงแล้ว   ว่าเหตุผลที่ต้องเข้ามาแนะนำนี้ต้องการสิ่งใด    นั่นก็คือการของแย้งความคิดในหน้า11 ที่ว่า    “เมืองภูเก็ตเป็นเกาะมาแต่ไหนแต่ไร ชื่อเก่าไม่มี ถ้าภูเก็ตมาจาก บูกิตจริง มันก็ไม่น่าจะใช่  เพราะนี่เป็นเกาะ ไม่ใช่เขาหรือถ้าเป็นเขาก็ต้องเขาในน้ำทะเล”   ที่นี้คงเข้าใจ  ว่าการด่วนสรุปอะไรง่ายๆๆนั้น  เป็นการที่ไม่น่าจะทำอย่างยิ่งเพราะจะทำให้คำตอบที่ได้อาจมีข้องบกพร่องมากกว่าปกติ   จึงขอตอบเลยว่า  ภูเก็ตมาจากภาษามลายูนั้นถูกแล้ว  เพราะบริเวณ “หมู่บ้าน”ที่เป็นที่ตั้งเมืองภูเก็ตเก่านั้นคือบริเวณบ้านสะปำ และบ้านเกาะแก้วในปัจจุบัน  อันมีชาวมลายูมุสลิมเป็นประชากรหลักดั้งเดิม  และมีชาวจีนโพ้นทะเล  ที่เพิ่งเข้ามาเป็นประชากรรอง  ดังนั้น  ชื่อภูเก็ตจึงมาจากภาษามลายู  อย่างไม่ต้องสงสัย  เพราะเกิดจากการเรียกหมู่บ้านของขานั่นเอง  โดยที่เขาก็ไม่นึกว่าหมู่บ้านของเขาจะเป็นแหล่งแร่  ดีบุกทีสำคัญ  แต่เมื่อทางขุนนางท้องถิ่นสำราจพบ  ก็ได้มาตั้งทำแร่นะบริเวณนี้  จนกลายเป็นแหล่งแร่สำคัญในเวลาต่อมา   และบังเกิดความเจริญขึ้น  จนกระทั่งกลายเป็นเมืองหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของ “เมืองถลาง”อันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในขณะนั้น  โดยที่มีเมืองภูเก็ตเป็นแหล่งแร่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง เมื่อเกิดเป็นเมืองขึ้นก็ต้องมีชื่อเมืองที่เป็นลายลักษณ์อักษร จึงเกิดคำว่า  ภูเก็จ ขึ้น  อันเป็นการทัพศัพท์มลายูให้เป็นคำไทยที่มีความหมาย  (ไม่แปลก เพราะคนไทยชอบทับศัพท์ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว  และ ภาคใต้ก็ไม่ได้มีชื่อเมืองที่ เลิดเลอเพอเฝ็ก เลยแม้แต่จังหวัดเดียว เช่น ระนอง พังงา ตรัง  สตูล ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง เห็นได้ว่าไม่ได้เพราะพริ้งแต่อย่างใด ความหมายตามตัว ทั้งทางไทยที่แปลความหมายออกมายากเหลือหลาย ทั้งความหมายที่หาแสนง่ายดายในมภาษามลายู ดูแล้วก็เห็นว่า ตั้งๆๆตามทำเลภูมิศาสตร์เสียทั้งสิ้น   )  จนกระทั่งเมืองภูเก็ตพัฒนาตัวเองกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีฐานะเทียบเท่าเมืองถลาง  ที่มีมาก่อน โดยไม่อยู่ในอานัตของเมืองถลาง  จนกระทั่งเมืองถลางต้องกลายเป็นเมืองที่ต้องมาขึ้นกับเมืองภูเก็ตอีกตะหาก  จนกระทั่งสุดท้ายก็ถูกยุบก็กลายเป็นอำเภอหนึ่ง ของจังหวัดภูเก็ตไป  และชื่อเกาะถลางก็ต้องมีอันเลิกใช้เปลี่ยนมาใช้เป็นชื่อเกาะภูเก็ต  อันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะนี้ในเวลาต่อมา  ทีนี้เข้าใจจุดกำเนิดของภูเก็ตแล้วยังว่า ไม่จำเป็นว่า บูกิ๊ตจะต้องเป็นชื่อเกาะภูเขาโผล่พ้นทะเล  การที่คำว่า ”ภูเก็ต”(ที่มาจาก  Bukit ในภาษามลายูกลาง หรือ Buket  ในภาษามลายูสตูลหรือมลายูเกดดาห์ )  ได้กลายเป็นชื่อเกาะแห่งนี้  ไม่จำเป็นว่าทั้งเกาะแห่งนี้ต้องมีภูเขาทั้งเกาะจนเขาต้องเรียกเกาะนี้ว่า  เกาะบูกิ๊ต     
 เพียงแค่หมู่บ้านเล็กๆหมู่บ้านหนึ่ง ก็สามารถ  พัฒนาตัวเอง จากหมู่บ้านเล็กๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆๆและกลายเป็นชื่อเกาะไปโดยที่ เขาไม่ต้องมานั่งเนรมิตภูเขาให้โผล่ทุกตารางนิ้วของเกาะเพื่อให้คนมาเรียกเกาะนี้ว่าเกาะบูกิ๊ต หรือ เกาะภูเก็ต  แค่มีทรัพยากรแร่ดีบุกเท่านั้นก็สามารถเปลี่ยน ชื่อจากเกาะถลางมาเป็นเกาะภูเก็ตได้โดยไม่ต้องอ้างถึงภูเขาทั้งเกาะ ในกรณีเดียวกันถ้าเกิดดีบุกไปโผล่มากๆๆแถว  ป่าตอง   เกาะถลางก็คงกลายเป็นเกาะป่าตองไป อันเนื่องมาจากความอุดมสมบูรณ์ของดีบุกนั่นเอง   (  การพัฒนาการของชื่อบ้านนามเมืองเช่นนี่มีต่อมาเรื่อย  ๆ อย่างเช่นเมืองภูเก็ต  เมือ100  กว่าปี ก่อนเขาเรียกว่าเมืองทุ่งคา  (อำเภอเมือปัจจุบัน)  อันเนื่องมาจาก เนื่องมาจากที่นี่มีดีบุกมาก  พระยาวิชิตสงครามจึงย้ายเมืองมาตั้งที่นี่ แต่ตามราชการคงเรียกเมืองภูเก็ตเสมอมา  แต่ก็ได้แนบท้ายว่าที่ไหน เช่น  เมืองภูเก็ตที่ “เก็ตโฮ่” หรือเมืองภูเก็ตที่ ”ทุ่งคา”   เป็นต้น  แต่ถ้าถามชาวบ้านที่อยู่ที่นี่เขาชอบที่จะเรียก  “เมืองทุ่งคา” ตามที่ที่เขาอยู่มากกว่าที่จะเรียก ภูเก็ต อันเป็นชื่อเก่าก่อนของเมืองภูเก็ตที่ตั้งอยู่ที่ “บ้านบูเก็ต” ที่ตำบลเกาะแก้ว   แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องเปลี่ยนชื่อเมืองในเอกสารราชการเป็นเมืองทุ่งคาตามที่เขาถนัดเรียก เพราะไม่ว่าจะชื่ออะไรเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก  และอาจเป็นเพราะข้าราชการไม่อยากเปลี่ยนชื่อเมืองให้ยุ่งยาก อันเนื่องมาจากการติดต่อสื่อสารที่ยากลำบากในสมัยก่อน  หากเปลี่ยนชื่อทีหนึ่งคงสื่อสารกันยาก  เพราะเมืองภูเก็ตย้ายไปเรื่อยและบ่อยมาก  ในรอบ200 ปี ย้ายถึง 3 ครั้ง  หากเปลี่ยนชื่อเมืองตามที่ตั้งของเมือง  คงได้สร้างความสับสนและความรำคาญแก่ข้าราชการทางส่วนกลางเป็นแน่  เพราะเดี๋ยวเรียก”ภูเก็ต” เดี๋ยวเรียก” เก็ตโฮ่” เดี๋ยวเรียก”ทุ่งคา”  ดังนั้นพัฒนการทางประวัติศาสตร์ของชื่อเมือง ภูเก็ต จึงมีที่มาด้วยประการฉะนี้
บันทึกการเข้า
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 310  เมื่อ 03 มิ.ย. 09, 15:19

ขอแก้ข้อสงสัยเรื่องจารึกเมืองตันชอร์ก่อนนะคะ   คือเรื่องจารึกนี้เราอาจสงสัยว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่าเชื่อเท่าไหร่ว่าทางโจฬะจะสาสมารถตีเมืองแถบนี้ได้ทั้งหมด  ซึ่งเรื่องนี้  นั้นดูแล้วน่า จะมูลจริงว่าตีได้ไม่หมดอย่างที่สงสัย  ก็เพราะว่า  จารึกนี้เป็นจารึกที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวของกับการสรรเสริญกษัตริย์ราเชน  ทั้งสิ้น  จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะมีการอรัมภบท  เกินกว่าขอบเขตไปบ้าง  เพราะเนื้อหาจะจริงหรือไม่จริงทั้งหมด  ประชาชนที่นั่นได้อ่านจารึกแล้วก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงหรือไม่   อันเนื่องมาจากว่า สถานที่ที่กษัตริย์ของเขาไปทำสงครามนั้นเป็นอย่างไร  เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนองอาราจักร  ที่แสนไกลคนละฝั่งทะเล  ดังนั้นเมื่อเขียนอะไรลงไปก็มักจะเขียนเกินจริงเป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นธรรมเนียมของศิลาจารึกสมัยนั้น  ที่ต้องการแสดงความเป็นใหญ่เหนือ  ใคร  และต้องการที่จะข่มขู่อาณาจักข้างๆๆของตนในดินแดนอินเดียด้วยกัน  ให้ยำเกรงแสนยานุภาพของตนว่าสามารถยกทัพไปตีเมืองที่ไกลได้มากมายทั้งที่จริงก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทั้งหมด  อาจเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ได้ไม่แปลก  เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกรเมือง   เป็นอันว่าขอจบบทความลงเพียงเท่านี้

บันทึกการเข้า
semudara
อสุรผัด
*
ตอบ: 8


ความคิดเห็นที่ 311  เมื่อ 03 มิ.ย. 09, 15:59


แก้ข้อสงสัยเรื่องของชื่อถลาง  เเละที่มาของ ยังซีลอน


ต่อมาเป็นเรื่องของชื่อถลางนะคะ  ชื่อถลางนั้นเป็นคำไทยที่ทางเมืองหลวง (อยุธยา) เรียกมา  โดยที่ทางเมืองหวงเป็นคนตั้งให้  ถ้าถามว่าตั้งใจหรือปล่าวนั้นคงไมไช่เพราะว่าไม่ได้เพราะอะไร  คงเป็นเพราะลิ้นของทางชาวอยุธยาออกเสียงแปร่งเพี่ยน ไปจึงทำให้เกิดชื่อถลางขึ้นมา(โปรดติดตามต่อ)  ส่วนชื่อโบราณของที่นี่นั้น  ต้องถามคนที่ใกล้กับเราและอีทธิพลกับชายฝั่งน่านน้ำแถวนี้มากที่สุด คือไทรบุรี  ที่เรียกเกาะนี้ว่า “ ปูเลาสาลัง”ซึ่งมีความหมายตามตัวตรงๆๆ ว่าเกาะ  ที่ตั้งอยู่ระหว่างทาง   ( จากเอกสาร  ชาแอร์สุลต่านเมาลานา สงครามศึกถลางครั้งที่ 2 พ.ศ. 2352 ) ซึ่งในขณะที่ทางมลายูเรียก ปูเลาสาลัง  นั้น  ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทางสยามหรือ อยุธยาก็เรียก ถลาง ซึ่งไม่มีความหมายที่ชัดเจนและเข้ากับสภาพภูมิศาสตร์ที่แท้จริงจริงที่นี่เลย  ดังนั้นที่มาของชื่อเกาะถลางนั้นนี่จังเป็นชื่อที่น่าเชื่อถือที่สุด  เนื่องมาจาก ชื่อบ้านนามเมืองตามชายฝั่งทะเลแถบนี้ล้านมีชื่อเป็นภาษมลายูเกดดาห์เกือบทั้งสิ้น   ดังนั้นเราต้องถามเจ้าถิ่นเจ้าภาษาของที่นี่  เพราะที่นี้เป็นที่เรียกรู้กันดีว่า  “แหลมลายู”  สยาม เพิ่งเข้ามามีบทบาทมากเมือสมัยอยุธยาที่เอง   อันนี้เราจึงต้องฟังตามมลายูเขา  เพราะน่าเชื่อที่สุด  และชื่อต่างๆๆที่ฝรั่ง  ชาวต่างชาติเรียกเกาะนี้ว่า จังซีลอนนั้น  คำตอบ ที่ทุกคนหากันตาเหลือกตาลานว่า มาจากไหนกันน้า  มาจาการทับศัพจากถลางก็ไม่แน่ใจ  เพราะ ซีลอน เป็นตัว  S แต่ถลางเป็นตัว T  ทำไมไม่อ่านว่าจังทีลอน  แล้วทำไมต้องมี “จัง” หรือ “ยง” หรือ “ยัง”นำหน้าด้วย  ทั้งๆที่ทางไทยเรียกว่า เกาะถลาง ไม่ไช่  “เกาะยังถลาง”   อันนี้เราก็สามารถเฉลยได้ด้วยภามลายู  (และชาติพันธ์ที่อยู่บนเกาะนี้ก่อนไครนั่นก็คือชาวมลายู  ซึ่งเป็นประชากรดั้งเดิมของภูมิภาคนี้  และเป็นประชากรอันดับต้น  ของเกาะภูเก็ตในปัจจุบัน)  อย่าง่ายดายคือ คำว่ายังซีลอนที่ฝรั่งเรียกกันจนเราปวดหัวว่ามาจากที่ไดนั้น  คำตอบอยู่ที่พจนานุกรามลายูไทย เล่มโตๆ คือ Ujung  , Hujung  แปลมว่าแหลมหรือส่วนที่ยื่นออกไปในทะล  และคำว่า   Selang  แปลว่า  ช่องระหว่า ง รวมกันแล้วแปลว่าแหลมที่มีช่องอยู่ระหว่าง นั่นเอง  สงสัยต่ออีกว่าทำไมเรียกว่าแหลม  นั้นก็คือ  ในสมัยโบราณเกาะภูเก้ต  แ ละจังหวัดพังงาเมื่อหลายร้อยปีก่อนเคยมีบันทึกของนักเดินเรือว่าเป็นส่วนที่ติดกันมาก่อน   โดยมีสันทรายเป็นตัวเชื่อมเวลาน้ำลง  ทำให้เกิดกลายเป็นแหลม กึ่งเกาะ ทำให้ชาวมลายูในตอนนั้นเรียกที่นี่ว่า  Ujung selng  ชาวต่างชาติที่ข้ามาสำรวจติดต่อที่นี่ก็ได้ชื่อนี้ไปจากชาวพื้นเมือหาได้มีการเข้าไปถามเอาจากเมืองหลวงไม่  และต่อมาเมื่อเกิดกระบวนการกัดกร่อนมากขึ้นจากกึ่งเกาะกึ่งแหลมก็กลายเป็เกาะโดยสมบูรณ์  ชาวพื้นเมืองจึงเรียกที่นี่ใหม่  ว่า Pulao Selang  ที่แปลว่า เกาะ แล้วไม่ไช่แหลม    นี่คือที่มาของชื่อ  ยังซีลอน  ที่เรางง  สอบทางไทยยิ่งงงเข้าไปใหญ่  แต่เมื่อดูทางสภาพภูมิศาสตร์และ  ชาติพันธ์  ภาษามลายู  จึงทำให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แล้วเข้ากับความเป็นจริงมากที่สุด  อย่างไม่มีข้อสงสัย
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 312  เมื่อ 08 มิ.ย. 09, 15:25

เรียน คุณCrazyHOrse ที่คุณว่า "ส่วนคำว่า ชะโง ของคุณ luanglek ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนครับ เข้าใจว่ากลอนพาไปมากกว่าครับ" ขอให้คุณอ่านให้ดีๆ  คำนี้ไม่ใช่ลักษณะการแต่งกลอนอย่างกลอนพาไปแน่นอน  มิฉะนั้น คำว่า ตั้งที่อยู่ข้างหน้าชะโง ก็คงเป็นกลอนพาไปด้วย  ถ้าเราไม่เคยเห็นคำไหนมาก่อนแล้วบอกว่าเป็นคำกลอนพาไปเสียหมด   ระวังจะกลายเป็นกล่าวหาผู้แต่งได้  หลวงบุรุษประชาภิรมย์ (กี้ บุณยัษฐิติ) ที่นิราศเรื่องนี้ ถ้าใครเคยอ่านงานของท่าน จะทราบว่าท่านแต่งกลอนได้ดีทีเดียว  ประเภทกลอนพาไปนั้นแทบหาไม่ได้ คำว่า ชะโง นี้ ผมค้นได้แล้วมันมาจากคำภาษาเขมร  เอาไว้จะนำมาเสนอให้ทราบต่อไป

ทีนี้  หลายคนเคยสงสัยไหมว่า ข้าวที่เรารับประทานกันมี ๒ ชนิด คือ ข้าวเหนียวอย่างหนึ่ง และข้าวเจ้าอย่างหนึ่ง  คำถามคือ ข้าวเจ้า ทำไมเราเรียกว่า ข้าวเจ้า เป็นเพราะมันเป็นข้าวสายพันธุ์ที่เจ้านายพระราชวงศ์เสวยหรือ? เราจึงได้เรียกว่าข้าวเจ้า ใครมีความเห็นดีๆ ช่วยนำเสนอหน่อยครับ
บันทึกการเข้า
จิรัฏฐ์
อสุรผัด
*
ตอบ: 17


ความคิดเห็นที่ 313  เมื่อ 09 ก.ค. 09, 22:38

ข้าวเจ้า น่าจะมาจากการที่ข้าวเจ้า เป็นพันธุ์ข้าวที่ขาวสะอาด ร่วน เป็นเมล็ดสวยงาม ไม่แตกหักหรือกระด้างเหมือน ข้าวเหนียวหรือข้าวอื่นๆที่ชาวบ้านหาทานได้ง่ายซึ่งข้าวเจ้าในสมัยก่อนชาวบ้านไม่ค่อยได้ทานกันเพราะที่ดีๆมีปลูกอยู่จำกัด จึงสงวนแก่ผู้มีอันจะกินได้แก่  เจ้านาย และเศรษฐี ขุนนาง ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 314  เมื่อ 10 ก.ค. 09, 08:50

ตามหลักฐานทางโบราณคดี พบหลักฐานที่พอจะสรุปได้ว่าคนไทยโบราณกินข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก แต่เฉพาะในพื้นที่ภาคกลางนี้ ถึงสมัยอยุธยา พบว่าสัดส่วนการบริโภคข้าวเจ้าเมื่อเทียบกับข้าวเหนียวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทดแทนข้าวเหนียวในที่สุดครับ
ในขณะที่ในเขมร แทบไม่มีการกินข้าวเหนียวเลย เป็นข้าวเจ้าตลอด
ข้าวเจ้าจึงเป็นข้าวของเจ้า เหมือนกับที่คำเขมรเป็นคำของเจ้า (ราชาศัพท์)

ปล. ยังรอ "ชะโง" ของคุณ luanglek อยู่นะครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.083 วินาที กับ 19 คำสั่ง