เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
อ่าน: 11580 กฎหมาย เรื่องจำเลยวิกลจริต
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


 เมื่อ 28 ก.พ. 08, 21:09

Bookmark เป็นนักกฎหมายคนหนึ่งที่ได้ติดตามกรณีพิพาททาง internet นี้มาสัก 2 ปีได้แล้วค่ะ แต่ไม่ได้เป็นสมาชิก Pantip นะคะ

โดยส่วนตัวแล้ว Bookmark เชื่อว่ากรณีพิพาทนี้จะเป็น case study ที่ดีของกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งมีผลใช้บังคับนี้เมื่อปีที่แล้วเป็นต้นมาค่ะ และโดยส่วนตัวแล้ว Bookmark เป็นแฟนคลับและติดตามผลงานของคุณหญิงมาโดยตลอด (ต่างจาก "แฟนขับ" ของพี่พีในเวบ unmask นะคะ  ยิงฟันยิ้ม) และเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์คุณหญิงในนิตยสารเกี่ยวกับการสร้างบ้านด้วย (ไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นนิตยสารของบริษัทปูนสักแห่งรึยังไงนี่แหล่ะค่ะ Bookmark จำไม่ได้แน่นอน ต้องกราบขออภัยคุณหญิงด้วยค่ะ)

Bookmark ขออนุญาตเป็นกำลังใจให้คุณหญิงนะคะ และในกรณีที่คุณหญิงอยากทราบความเห็นหรือขั้นตอนการดำเนินการทางกฎหมาย คุณหญิงสามารถไต่ถามจาก Bookmark ได้ตลอดเวลาเลยค่ะ Bookmark ยินดีค้นหาข้อกฎหมายและข้อมูลทั้งหลายที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของคุณหญิงอย่างเต็มที่ค่ะ

ดังนั้น Bookmark ขออนุญาตส่งข้อความส่วนตัวไปยังคุณหญิงเพื่อทราบด้วยนะคะ
กราบขอบพระคุณค่ะ  อายจัง

Bookmark
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 29 ก.พ. 08, 14:34

ประเด็นสำคัญที่ Bookmark คิดว่าทุกคนที่รู้เรื่องพิพาทนี้ต่างอยากรู้กันก็คือ ถ้าจำเลยวิกลจริต ยังสามารถลงโทษให้จำเลยรับผิดตามกฎหมายได้หรือไม่

ในฐานะที่ Bookmark เป็นนักกฎหมายคนหนึ่ง ขออนุญาตสมาชิกเวบเรือนไทยอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้างต้นนี้นะคะ

โดยหลักแล้ว ผู้กระทำความผิดอาญาจะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำความผิดนั้นโดยเจตนา  ดังนั้น ศาลต้องพิจารณาถึง "ช่วงเวลาในขณะที่เกิดการกระทำความผิด" เป็นสำคัญว่า ในช่วงเวลาขณะนั้น ตัวผู้กระทำความผิด "รู้" รึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ "รู้"รึเปล่าว่าผลที่เกิดจากการกระทำดังกล่าวของตนเองคืออะไร และตัวผู้กระทำนั้น "ต้องการ" ให้เกิดผลตามที่ตัวเอง "รู้" หรือไม่

นั่นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด

เพราะถ้าฝ่ายโจทก์หรืออัยการผู้ฟ้องคดีสามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ประจักษ์ชัดเจนว่า ในช่วงเวลาที่เกิดการกระทำความผิดตามฟ้องนี้ ตัวจำเลยผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดนั้น "รู้" ว่าตัวเองกำลังทำอะไร "รู้" ว่าเมื่อได้ลงมือทำไปแล้วจะเกิดผลอะไรบ้าง และยัง "รู้" อีกด้วยว่าผลที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลที่ตัวเอง "ต้องการ" ให้เกิดขึ้นแล้ว ถือว่า ผู้นั้น "กระทำความผิดโดยเจตนา" นะคะ
และเมื่อเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาแล้ว ผู้กระทำก็มีความรับผิดทางอาญาค่ะ 

ดังนั้น ฝ่ายผู้เสียหายก็จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่า ขณะที่จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องนั้น การกระทำของจำเลยเข้าตามหลักเกณฑ์ข้างต้นนะ จำเลยกระทำความผิดโดยเจตนานะ มีความรับผิดนะ
บันทึกการเข้า
รำเพย
อสุรผัด
*
ตอบ: 27


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 29 ก.พ. 08, 15:55

ขอถามคุณ bookmark หน่อยนะคะ

เมืองไทยใช้หลักการเดียวกันกับ M'naughten rules รึเปล่าคะ
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 29 ก.พ. 08, 16:35

เรียนคุณรำเพย

Bookmark เป็นนักกฎหมายที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศ ยังไม่มีโอกาสไปศึกษาระดับปริญญาโทในต่างประเทศ จึงไม่กล้าที่จะตอบคำถามของคุณรำเพย เพราะเรื่องนี้จะเป็นการศึกษากฎหมายในเชิงเปรียบเทียบระหว่างกฎหมายไทย-กฎหมายต่างประเทศค่ะ
 
การที่ Bookmark เข้ามาเขียนอรรถาธิบายหลักกฎหมายนี้ Bookmark ใช้ความรู้ตามที่ได้ร่ำเรียนมาและที่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบันมาเขียนเพื่อ "เล่าสู่กันฟัง" เท่านั้นค่ะ เพราะกฎหมายที่ใช้ในคดีพิพาทกรณีนี้คงเป็นประมวลกฎหมายอาญ

แต่เท่าที่ Bookmark คาดเดาในเบื้องต้น คุณรำเพยคงหมายถึง case ที่เป็นคดีความที่เกิดขึ้นจริงและได้นำคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาเป็นแนวบรรทัดฐานใช่ไหมคะ  ถ้าเช่นนั้น ขอเวลาให้ Bookmark ได้ Search หาและศึกษาข้อมูลเรื่องนี้จาก internet เพื่อเปรียบเทียบกับเคสนี้เสียก่อน Bookmark ไม่กล้าตอบในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้และไม่มีข้อมูลน่ะค่ะ แต่ Bookmark สัญญากับคุณรำเพยว่า ถ้าสามารถแปลเรื่องที่คุณรำเพยยกขึ้นมาถามได้สำเร็จ (Bookmark ทิ้งภาษาอังกฤษไป 10 กว่าปีแล้วนะคะ ฮืม แต่ก็หวังว่าจะทำได้สำเร็จในที่สุด) และได้มีเวลาศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายไทยแล้ว จะเขียนอธิบายไว้ในบอร์ดนี้แน่นอนค่ะ

กระทู้หน้า (ที่ Bookmark กำลังจะเขียนเดี๋ยวนี้แล้ว) เป็นเรื่องของคนวิกลจริตกับการกระทำความผิดอาญาค่ะ
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 29 ก.พ. 08, 16:54

ขอแก้ไขหน่อยค่ะ พิมพ์ตกไป (ช่วงนี้ทั้งคอมและ Bookmark ต่างก็เอ๋อๆ โปรดอภัยด้วยนะคะ)

บทกฎหมายที่ Bookmark คิดว่าน่าจะนำมาใช้ในการพิจารณากรณีพิพาทคดีนี้คือ
1. มาตรา 326 และมาตรา 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาท
2. มาตรา 420 มาตรา 423 มาตรา 438 มาตรา 447 และมาตรา 448 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการกระทำละเมิด การกล่าวข้อความที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของบุคคลอื่น การเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทำละเมิด และอายุความในการฟ้องคดี
3. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นกฎหมายใหม่ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งก็คือ ใช้บังคับเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นมา

แต่ด้วยความที่กฎหมายในข้อ 3 เป็นกฎหมายใหม่ (Bookmark เพิ่งจะหยิบมาอ่านก็คราวนี้แหล่ะ)  ดังนั้น จะขออนุญาตอธิบายเรื่องอื่นที่พอจะสามารถเล่าสู่กันฟังได้ไปพลางก่อน แล้วค่อยวกกลับมาอธิบายกฎหมายฉบับนี้อีกครั้งนึงนะคะ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
ต้นไผ่ใบว่าน
อสุรผัด
*
ตอบ: 32


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 29 ก.พ. 08, 17:11

ตามอ่านเรื่องนี้จากpantip และ เรือนไทย อยู่ ค่ะ   เป็นกำลังใจให้อาจารย์นะคะ
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 29 ก.พ. 08, 17:32

ตามที่สัญญากันไว้ กระทู้นี้จะเป็นเรื่อง "คนวิกลจริตกับความรับผิดทางอาญา" ล้วนๆ

ในประมวลกฎหมายอาญา มีบทบัญญัติมาตรา 65 บัญญัติดังนี้

                           "มาตรา 65  ผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
                            แต่ถ้าผู้กระทำยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้"

กรุณาสังเกตข้อความในบทบัญญัติที่ Bookmark ได้ hilight ไว้ด้วยนะคะ เพราะจะใช้เป็นข้อมูลประกอบคำอธิบายในกระทู้ข้างบนที่ได้เขียนถึงการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนา

เมื่อทุกท่านสังเกตกันแล้ว Bookmark ก็จะร่ายยาวต่อเลยนะคะ

หลักการในมาตรา 65 นี้เป็นข้อยกเว้นหนึ่งของการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาที่ Bookmark ได้อธิบายไว้ในกระทู้ก่อนๆ และเป็นเรื่องที่ทุกท่านพูดถึงกันอยู่ในขณะนี้ว่า "เออ! ถ้าจำเลยในคดีอาญาเกิดอ้างว่าวิกลจริตล่ะก็ ไม่ต้องรับโทษเลยนะ" หลักการนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ แต่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าจำเลยอ้างว่าตรูวิกลจริตปุ๊บแล้วก็จะได้รับประโยชน์ทันทีว่า เฮ! ตรูไม่ติดคุกแล้วเฟ้ย"

ใครมันจะไปเชื่อตามนั้นเลยล่ะคะ พระพุทธเจ้ายังตรัสสอนหลักธรรม "กาลามสูตร" ที่ว่า ไม่ให้เชื่อเพราะเขาบอกกันมา  ดังนั้น แน่นอน ยังต้องมีการพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งโดยศาลจะมีคำสั่งให้จิตแพทย์ตรวจวินิจฉัยสภาพจิตของจำเลยค่ะว่าบ้าจริงรึเปล่า ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจวินิจฉัยนั้นจะต้องทำรายงานเสนอต่อศาลด้วยนะว่า ตรวจจำเลยแล้วนะ ตกลงว่าผลการตรวจเป็นยังไง จำเลยมีอาการทางจิตหรือไม่ อย่างไร

ถ้าจำเลยมีสภาพจิตเป็นปกติ ก็ง่ายดี คดีก็จะดำเนินไปตามปกติ ก็ว่าไปตามขั้นตอนต่อไป
แต่ถ้าจำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตจริงแล้ว ความผิดปกตินั้นอยู่ในระดับไหน ยังรู้สึกตัวอยู่บ้างไหม รู้สึกตัวมากน้อยแค่ไหน หรือว่าไม่รู้สึกตัวเลย absolutely insane 100% ก็แล้วแต่จะว่ากันไป (อย่างกับ "ริกเตอร์" ที่เป็นมาตรวัดความรุนแรงของแผ่นดินไหวเลยเน้อ)

ในกรณีแพทย์รายงานต่อศาลว่า "จำเลยมีความผิดปกติทางจิต" นั้น ศาลก็จะต้องเอารายงานผลการตรวจของแพทย์นี่แหล่ะมาพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงอื่นๆ เพิ่มเติมที่ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยได้เสนอพิสูจน์กันต่อหน้าศาล ไม่ใช่ว่ารายงานแพทย์เพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่จะเป็นหลักฐานเพียงหนึ่งเดียวที่พิสูจน์ความผิดปกติทางจิตของจำเลยนะคะ ศาลยังจะต้องพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยค่ะ เพียงแต่รายงานของแพทย์ซึ่งศาลถือว่าเป็นพยานผู้ชำนาญการนั้นเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักพอสมควรเท่านั้น

สรุปก็คือ ไม่ใช่เพียงแค่ว่าจำเลยให้การต่อศาลว่า "ตอนที่ตรูทำความผิด ตรูไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ เพราะตรูวิกลจริต  ดังนั้น ตรูไม่ต้องรับโทษ" แล้วก็จะได้ประโยชน์จากข้ออ้างนี้ทันทีนะคะ ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะยังต้องมีการตรวจสภาพจิตโดยแพทย์อีก

และเท่าที่ Bookmark รู้มา จิตแพทย์นั้นมีวิธีการเฉพาะในการตรวจวินิจฉัยว่าใครบ้าจริงหรือบ้าหลอกๆ นะคะ  ดังนั้น โอกาสที่จำเลยจะ acting หรือมั่วนิ่มต่างๆ นานา แสดงว่าตรูบ้าจริงๆ นะเฟ้ยเนี่ย ไม่ง่ายนักหรอก  จิตแพทย์โดยส่วนใหญ่แล้วมีความเชี่ยวชาญสูง แยกแยะพวก acting ว่าบ้ากับพวกที่บ้าจริงออกทั้งนั้นค่ะ  อีกอย่าง คนที่มีสภาพจิตปกติ (ไม่ได้บ้า) จะสามารถแสดงว่าตัวเองเป็นคนบ้าได้นานติดต่อกันเป็นเวลาเกินครึ่งค่อนวันหรือเป็นวันๆ ได้รึเปล่า  ถ้ายังสามารถทำได้เนี่ย Bookmark ว่ายอมให้เขาบ้าไปตามที่เค้าต้องการเถอะค่ะ  เพราะจริงๆ แล้วกฎหมายเองก็ยังมีวิธีพิจารณาคดีอาญาที่คนวิกลจริตเป็นผู้กระทำผิดอีกด้วยนะเอ้อ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 29 ก.พ. 08, 22:12

จากความเดิมในกระทู้ที่แล้ว  Bookmark ได้ทิ้งประเด็นส่งท้าย ยิงฟันยิ้ม (ทำอย่างกับหนังภาคต่อเลยเน้อ) ไว้ว่า แม้จำเลยจะได้กลายเป็นคนวิกลจริตสมใจอยากเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องติดคุกก็ตาม ลังเล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยจะสมหวังและคดีจะสิ้นสุดลงได้ง่ายๆ ปานนั้นหรอกเน้อ เพราะกฎหมายก็ยังมีวิธีจัดการโดยเฉพาะกับจำเลยที่เป็นคนวิกลจริตอยู่ดีนะคะ (อย่านึกนะว่าจะหนีรอดไปได้ง่ายๆ นะจ๊ะ  หุหุ)

เรามาล้อมวง “เล่าสู่กันฟัง” ต่อกันดีกว่านะคะ รูดซิบปาก

กระทู้นี้  Bookmark จะขออธิบายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้ทิ้งท้ายไว้ในกระทู้ที่แล้ว ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า

      “มาตรา 14  ในระหว่างทำการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา  ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้  ให้พนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี สั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจผู้นั้นเสร็จแล้วให้เรียกพนักงานแพทย์ผู้นั้นมาให้ถ้อยคำหรือให้การว่าตรวจได้ผลประการใด
      ในกรณีที่พนักงานสอบสวนหรือศาลเห็นว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้งดการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาไว้จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือสามารถจะต่อสู้คดีได้ และให้มีอำนาจส่งตัวผู้นั้นไปยังโรงพยาบาลโรคจิตหรือมอบให้แก่ผู้อนุบาล ข้าหลวงประจำจังหวัดหรือผู้อื่นที่เต็มใจรับไปดูแลรักษาก็ได้ตามแต่จะเห็นสมควร
      กรณีที่ศาลงดการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาดังบัญญัติไว้ในวรรคก่อน ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียชั่วคราวก็ได้”

มาตรา 14 ที่ว่ามานี้ได้กำหนดวิธีดำเนินคดีอาญา ในชั้นสอบสวนของตำรวจ ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง (ใช้สำหรับกรณีที่ราษฎรเป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาล  ถ้าพนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดีแล้ว โดยทั่วไป ศาลจะไม่ทำการไต่สวนมูลฟ้อง เพราะถือว่าพนักงานอัยการได้กรองสำนวนจากตำรวจมาชั้นหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะศาลมีอำนาจสั่งให้มีการไต่สวนมูลฟ้องในกรณีนี้ได้อีกเช่นกันค่ะ) และชั้นพิจารณาของศาล ว่า ถ้าระหว่างการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แล้ว

ขอย้ำนะคะว่าจำเลยต้องมีอาการครบทั้ง 2 ข้อที่กฎหมายกำหนดไว้คือ เป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้  ขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้เด็ดขาด

ถ้าผู้ต้องหา/จำเลยมีอาการครบทั้ง 2 ข้อที่ว่านี้  พนักงานสอบสวน/ศาลต้องสั่งให้แพทย์ตรวจว่า ผู้ต้องหา/จำเลยผู้นั้นด้วยว่าวิกลจริตหรือไม่ แล้วรายงานผลการตรวจต่อพนักงานสอบสวน/ศาล

ซึ่งผลการตรวจ ก็จะมีเพียงว่า
1. ผลการตรวจสรุปได้ว่า ผู้ต้องหา/จำเลยปกติทุกอย่าง ไม่ได้วิกลจริตนะคร้าบ  งานนี้ตำรวจ/ศาลก็ดำเนินการต่อไปได้ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ ว่าง่ายๆ ก็คำนี้ค่ะ “ลุยโลด” 

แต่ถ้า

2. ผลการตรวจสรุปได้ว่า ผู้ต้องหา/จำเลยวิกลจริตนะคร้าบ  งานนี้ ตำรวจ/ศาลต้องงดการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาไว้จนกว่าเขาจะหายวิกลจริตหรือสามารถจะต่อสู้คดีได้นะคะ และในขณะที่งดการดำเนินการเหล่านี้ ตำรวจ/ศาลต้องสั่งให้ส่งตัวผู้ต้องหา/จำเลยไปควบคุมตัวไว้ที่โรงพยาบาลโรคจิต หรือไม่ก็ให้อยู่ในความดูแลของบุคคลอื่น เช่น ผู้อนุบาล คนที่เต็มใจรับตัวผู้ต้องหา/จำเลยไปดูแลรักษา ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น (แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะส่งตัวไปให้โรงพยาบาลโรคจิตดูแลรักษามากกว่าที่จะส่งให้คนอื่นๆ ดูแลรักษานะคะ)

ส่วนที่ว่าต้องงดการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายนานมากน้อยเพียงใดนั้น  ก็ขึ้นอยู่กับว่าทันที่ที่ผู้ต้องหา/จำเลยได้หายวิกลจริตแล้วหรือสามารถต่อสู้คดีได้เมื่อไหร่ ตำรวจ/ศาล ก็สามารถดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปได้เลยค่ะ

โปรดสังเกตนะคะว่า กฎหมายใช้คำว่า “หรือ” ซึ่งแปลได้ว่าไม่ใช่ต้องครบทั้ง 2 ข้อ เพียงเข้าข้อใดข้อหนึ่งก็สามารถดำเนินการต่อไปได้แล้ว

เพราะฉะนั้น ตัวผู้ต้องหา/จำเลยก็เลือกเอาแล้วกันว่า อยากอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตอย่างไม่มีกำหนดออก หรือจะถูกจำกัดเสรีภาพอยู่ในเรือนจำเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากชดใช้ความผิดแล้วก็ออกมาสู่โลกกว้างได้ตามเดิม

เป็นไปตามที่ Bookmark ได้ทิ้งท้ายไว้ในกระทู้ที่แล้วไหมคะ? บอกแล้วไงว่า ถ้าอยากจะเป็นคนบ้าถึงขนาดนั้น ก็ปล่อยไปตามทางที่เขาต้องการเถิด อย่าไปขวางทางเค้าเลย  เพราะยังมีโรงพยาบาลโรคจิตไว้รอต้อนรับเขาอยู่ดี (ถึงได้บอกแต่แรกไงคะว่า คิดเหรอว่าจะรอดไปได้ง่ายๆ เหอ เหอ เหอ ยิงฟันยิ้ม)

สำหรับคราวหน้า Bookmark จะขออธิบายหลักกฎหมายของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 นะคะ ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
หมูอ้วน
อสุรผัด
*
ตอบ: 2


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 02 มี.ค. 08, 07:58

ดิฉัน ในฐานะนักกฎหมายเช่นกัน ขอแย้งคุณ Bookmark ค่ะ
อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ตราไว้ใน พรบ. คอมพิวเตอร์ ฉบับ 2550 นะคะ
ฐานความผิดให้ดูจากบทบัญญัติใน "ประมวลกฎหมายอาญา" ที่มีมาแต่ดั้งเดิม

ยกตัวอย่างในกรณีอาจารย์เทาชมพู ที่ถูกหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ก็ต้องปรับองค์ประกอบให้เข้ากับ "ประมวลกฎหมายอาญา" มาตรา 328 เสียก่อน
ถ้าไม่ครบองค์ประกอบ ตาม ปอ. มาตรา 328 ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะข้ามไปดู พรบ.คอมพิวเตอร์ ฉบับที่เพิ่งประกาศใช้

หลายๆ ท่านอาจจะเข้าใจว่า เพราะ พรบ. คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่นี้ ท่านอาจารย์เทาชมพู จึงสามารถฟ้องร้อง คนอ ได้
ความเข้าใจนี้ผิดนะคะ เพราะในอดีต มีการดำเนินคดี หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ในอินเตอร์เน็ตมาหลายรายแล้ว

ที่หลายๆ ท่านยังจำได้ ก็คือ กรณี "มือกลองในตำนาน" สมาชิกพันทิป ที่โพสต์รูปของ ตั๊ก บงกช แล้วเจ้าทุกข์เอาเรื่อง
จนมีการจับกุม คุมขัง เป็นข่าวครึกโครม เมื่อเกือบ 5 ปีมาแล้ว
ครั้งนั้น ยังไม่มีประกาศใช้ พรบ. คอมพิวเตอร์ ฉบับนี้ ก็ยังดำเนินคดีได้ ถ้าองค์ประกอบความผิดครบถ้วน

พรบ. คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่นี้ มุ่งเน้นในการระบุตัวผู้รับผิดชอบและร่วมรับผิดชอบในการกระทำความผิดให้ชัดเจนและรัดกุมยิ่งขึ้น

----------------

ดิฉัน ได้อ่านหลายๆ ความเห็น ในหลายๆ เวปที่เกี่ยวกับคดีนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมถึงพูดว่า เพราะกฎหมายใหม่
อาจารย์ท่านจึงเอาผิด คนอ ได้

***เป็นความเข้าใจผิดนะคะ***

การหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ไม่ว่าจะทางสื่อชนิดใด ก็เข้าข่ายนี้ค่ะ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือ อินเตอร์เน็ต
ถึงจะไม่มีคนอ่าน หรือคนฟัง ก็ผิดแล้วค่ะ และจะฟ้องร้องที่ไหนก็ได้ เพราะถือว่า ใครได้อ่านหรือฟังที่ใด ความผิดก็เกิดที่นั่นทันที


บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 02 มี.ค. 08, 14:29

คุณหมูอ้วน

ขอบคุณมากที่เข้ามาแย้งและให้คำแนะนำเพิ่มเติม ยอมรับว่า Bookmark ยังไม่ได้มีโอกาสศึกษาพระราชบัญญัติฉบับนี้ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่อย่างจริงๆ จังๆ ได้มีโอกาสอ่านก็คราวนี้แหล่ะค่ะ

ในตอนแรก Bookmark ก็เข้าใจเช่นกันว่าอาจจะใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ปรับใช้กับคดีพิพาทที่ตามๆ กันอยู่ได้ ถึงได้เขียนไว้ในกระทู้ก่อน ๆ ว่าว่า "บทกฎหมายที่ Bookmark คิดว่าน่าจะนำมาใช้ในการพิจารณากรณีพิพาทคดีนี้" แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ต้องไปศึกษาข้อกฎหมายในพระราชบัญญัติฉบับนี้ก่อนดังที่คุณแย้งไว้ แล้วถึงจะรู้อีกทีว่าจะนำกฎหมายอะไรมาปรับใช้กับคดีนี้ได้บ้าง

ขอบคุณอีกครั้ง แต่คิดว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายใหม่ที่คนทั่วไปยังไม่รู้ (Bookmark ก็เป็น 1 ในนั้น) ถึงคิดว่าจะขอเวลาศึกษาพระราชบัญญัตินี้ให้ถ่องแท้เสียก่อนแล้วจะนำมาเขียนอรรถาธิบายในนี้ ซึ่งถ้าคุณหมูอ้วนมีความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม ก็ได้โปรดชี้แนะด้วยอย่างเช่นในกระทู้นี้ เพื่อที่คนทั่วไปจะได้เข้าใจกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

ขอบคุณค่ะ ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 02 มี.ค. 08, 15:15

เพิ่มเติมคำตอบที่แล้ว

ที่คุณหมูอ้วนสงสัยว่า "ทำไมถึงพูดว่า เพราะกฎหมายใหม่
อาจารย์ท่านจึงเอาผิด คนอ ได้"

Bookmark คิดว่าแนวคิดนี้คงมาจาก case เก่าที่คู่กรณีของอาจารย์ได้ก่อไว้ขึ้นก่อนที่จะมาก่อ case นี้นะคะ  ถ้าจำไม่ผิดแล้ว เป็นเรื่องที่เอารูปภาพงานแต่งงานและที่ถ่ายใน wedding studio ของคุณสุภาพสตรีคนหนึ่งกับสามีมา post ไว้ในเวบไหนสักแห่งนึงนี่แหล่ะ แล้วก็ไป post บรรยายข้อความเป็นทำนองว่า สามี-ภริยาคู่นี้เป็นคนใกล้ตัวเธอ แต่งงานมาหลายปีแล้ว คือ ข้อความที่ post นี่แตกต่างกับเรื่องราวที่แท้จริงของคุณสามี-ภริยาคู่นั้นชนิดที่เจ้าของภาพอ่านแล้วงงว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคู่ของตัวเองด้วยเหรอ

ซึ่งคุณสุภาพสตรีท่านนั้นก็ได้ post เล่าเรื่องราวนี้ไว้ในเวบของเธอ (ไม่ขอออกนามคู่สามี-ภริยาคู่นี้นะคะ แต่ผู้สนใจติดตามเรื่องนี้ได้ที่ Blog ของคุณ MONIQUE (ต้องขออภัยที่พาดพิงถึงคุณ MONIQUE ในที่นี้ด้วยค่ะ))

งานนี้ก็เลยมีคนยกประเด็นขึ้นมาว่า "ถือว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายใหม่ซึ่งก็คือพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้" แหล่ะค่ะ

Bookmark อ่านพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว เห็นว่าเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 10 ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้

"มาตรา 10  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

แต่ใช่แล้ว กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถนำมาใช้พิจารณาคดีพิพาทที่อาจารย์เป็นผู้เสียหายได้ เป็นดังที่คุณหมูอ้วนได้ทักท้วงไว้ในกระทู้ก่อน ซึ่งถือว่าเป็นความบกพร่องของของ Bookmark เองที่เข้าใจ (ในตอนแรก) ว่าน่าจะนำมาใช้กับคดีพิพาทนี้ได้ เศร้า 

Bookmark ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เศร้า และขอแก้ไขการอ้างกฎหมายที่สามารถนำมาใช้กับคดีนี้ได้ ดังนี้ค่ะ

"บทกฎหมายที่ Bookmark คิดว่าน่าจะนำมาใช้ในการพิจารณากรณีพิพาทคดีนี้คือ
1. มาตรา 326 และมาตรา 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาท
2. มาตรา 420 มาตรา 423 มาตรา 438 มาตรา 447 และมาตรา 448 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการกระทำละเมิด การกล่าวข้อความที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของบุคคลอื่น การเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทำละเมิด และอายุความในการฟ้องคดี"

ทั้งนี้ Bookmark ขอขอบคุณคุณหมูอ้วนที่ทักท้วงเตือนและได้ช่วยอธิบายข้อกฎหมายที่ถูกต้องเพื่อเสริมเติมข้อมูลของ Bookmark ด้วยค่ะ ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 02 มี.ค. 08, 16:52

ขอแก้ไขกระทู้ที่แล้วค่ะ
เป็นมาตรา 9 นะคะ ไม่ใช่มาตรา 10 ขออภัยอย่างแรงอีกครั้งค่ะ เศร้า
บันทึกการเข้า
ธิดา
อสุรผัด
*
ตอบ: 11


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 03 มี.ค. 08, 11:40

เพิ่งมาเห็น
ที่จริงกรณีนำภาพงานแต่งงานไปแอบอ้างเมื่อคราวโน้น หากฝ่ายเจ้าของภาพใจเย็นๆ หน่อย เก็บข้อมูลให้ครบแล้วไปแจ้งความเลยก็จะจับได้โดยละม่อม
แต่เมื่อกระโตกกระตากเสียก่อน ฝ่าย คนอ. จึงลบข้อมูลออกเสียทั้งหมด จะไปฟ้องร้องย้อนหลังก็ดูกระไรอยู่
เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ พรบ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ แต่เป็น พรบ.คุ้มครองลิขสิทธิ์  ซึ่งได้ตอบไว้ในอีกกระทู้หนึ่งข้างๆ กันนี้แล้ว
แต่การละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งนั้นก็ถือว่าหลักฐานยังอ่อน ฟ้องไปก็ไม่ได้อะไร ตำรวจคงจะเจรจาให้ยอมความกันไปไม่ให้ถึงศาล
เพราะ คนอ. เองก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าภาพนั้นเป็นของเธอ ได้แต่พูดอ้อมๆ เป็นนัยๆ ว่าเอามาจากแผ่นซีดีที่ช่างภาพไรท์แจกกัน
บันทึกการเข้า
Bookmark
อสุรผัด
*
ตอบ: 14


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 03 มี.ค. 08, 11:54

ดิฉันกลับเห็นว่าเกี่ยวข้อง เพราะว่าภาพก็เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่ง คือ "สิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้" ตามมาตรา 3

และการที่ไปเขียนข้อความบรรยายภาพจนทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 9 เช่นกัน  หากแต่ไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้เพราะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับค่ะ

แต่ด้วยความที่พระราชบัญญัตินี้เป็นกฎหมายใหม่ คงต้องมีการเสนอคดีต่อศาลเพื่อที่จะได้มีคำพิพากษาเป็นแนวบรรทัดฐานต่อไปค่ะ
บันทึกการเข้า
รำเพย
อสุรผัด
*
ตอบ: 27


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 05 มี.ค. 08, 08:21

คุณ bookmark คะ

รำเพยเพิ่งงมหาทู้นี้เจอ แหะ แหะ

เท่าที่อ่านแล้ว คือใช้หลักเดียวกันเลยค่ะ อายจัง
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 19 คำสั่ง