เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 23924 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 21 ม.ค. 08, 14:24

เครื่องบินของ Bagan air เป็นสายการบินหรูหรา
มีแอร์โฮสเตตสาวสวยยิ้มหวานนุ่งลองจียาวกรอมเท้า
คอยเดินให้บริการบนเครื่อง ด้วยน้ำอัดลมกระป๋องและน้ำแข็ง(จากเมืองไทย)
กับขนมเล็กน้อย และลูกออมรสแปลกๆ (ที่ผลิตในเมืองไทย แต่ไม่มีใครเคยเห็น)


แต่บนเครื่อง Bagan air ก็ยังมีเรื่องแปลกๆอีกเช่นเดียวกับหลายสิ่งหลายอย่างที่นี่
เช่น เวลาขึ้นเครื่องเขาไม่ได้นั่งตาม boarding แต่ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้!!!
กว่าจะขึ้นเครื่องได้ที่ของเราที่จองติดกันไว้ 3 คนก็เลยกลายเป็นที่นั่งคุยขโมงโฉงเฉงของแขกกลุ่มนึงไปแล้ว.....

ในที่สุดนายติบอก็เลยต้องไปนั่งข้างผู้โดยสารชาวฮ่องกงสองคน เป็นอาม่ากับหลานสาว
ที่ถึงจะไม่ใช่คนพม่าแต่ก็แปลกอีกเช่นเคย เพราะอาม่าก็สามารถเรียกแอร์โฮสเตทมาวีนเรื่องเล็กๆน้อยได้ทุก 15 นาที
ตั้งแต่ทำไมฉันไม่ได้นั่งกับลูกสาว ขนมปังที่เธอเอามาเสิร์ฟนี่จืดไป เค้กไม่เย็นเลย ทำไมกาแฟมันใสล่ะ ฯลฯ
และอาหมวยก็ทำทุกอย่างในถาดอาหารที่คุณแอร์เอามาเสริฟหกได้ตลอดเวลา
ตั้งแต่เม็ดงาบนหน้าขนมปังไปจนถึงน้ำตาลทรายในซองที่เธอฉีกแล้วโปรยเล่น

ส่วนนายตั้ว กับพี่เชษฐ์ผู้น่าสงสาร นู่นครับ....
ต้องไปนั่งหน้าห้องน้ำที่มีกลิ่นโชยตลอดเวลาแทนล่ะครับ..... อ่ะ บรึ๋ย....





หลังจากทะยานขึ้นฟ้า ข้ามแม่น้ำย่างกุ้งแล้ว
เครื่องบินลำน้อยๆก็แวะพักที่สนามบินเฮะโฮ
มัณฑเลย์ และถึงสนามบินยองอูของเมืองพุกามในที่สุด





สนามบินที่ยองอูดูดีกว่าสนามบินภายในฯที่ย่างกุ้งมากทีเดียว
เพราะคนน้อยกว่า ใหม่กว่า แสงมากกว่า และมีฝุ่นน้อยกว่า
แต่บรรยากาศก็ยังชวนให้นึกถึงสนามบินร้างอยู่ดี

เนื่องจากหลายเดือนที่ผ่านมา การเมืองภายในประเทศพม่ามีปัญหามาก
ชาวต่างชาติจำนวนมากก็เลยไม่กล้าเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศพม่ากัน
เมืองที่เศรษฐกิจกว่าครึ่งต้องดำเนินไปโดยพึ่งเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวอย่างเมืองพุกาม
ก็เลยเงียบหงอยกันไปตามระเบียบ


เราจ่ายค่าเข้าเมืองกันคนละ 10 $ แล้วเรียก taxi
จากสนามบินไปยังโรงแรมที่พักชื่อ New Park Hotel
ถึงโรงแรมนี้จะหน้าตาเหมือนรีสอทราคาถูกแถวพิษณุโลก
แต่ห้องก็ดูสะอาดดี มีอาหารเช้าให้ และมีน้ำอุ่นสมกับค่าที่พักคืนละ 7 $ ต่อคน
แล้วเราก็แยกย้ายไปทำกิจกรรมส่วนตัวตามอัธยาศัยก่อนจะนัดเจอกันไปเดินเล่นช่วงหัวค่ำ
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 21 ม.ค. 08, 19:20

ถ้าเคยดูหนัง คืนที่คนตายมีชีวิต
สนามบินร่างกุ้งที่ผมเคยไป ได้อารมณ์อย่างนั้นเลย
เห็นรูปคุณติบอแล้วต๊กใจ นี่หรูเริ่ดปานนี้เชียวหรือ

ตลาดมืดยังรุ่งเรืองอยูใหมครับ
สมัยก่อนเราแลกเงินพม่าเพียงเท่าที่เขาบังคับ
แล้วไปขายดอลล่าร์ราคาเพิ่มสองเท่า ที่ตลาดหน้าชเวดากอง
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 24 ม.ค. 08, 17:14

เดี๋ยวนี้ตลาดมืดซบเซาลงบ้างแล้วล่ะครับ คุณพิพัฒน์
เพราะเราแลกเงินได้หลายที่ ทั้งกับร้านอาหาร หรือโรงแรมที่พักก็ได้ราคาสูงพอใช้
แต่เวลาไปเดินจับจ่ายซื้อของก็ยังมีหม่องนุ่งโสร่งถามว่า "จั๊ตๆ" อยู่บ่อยๆเหมือนกันครับ


ส่วนสนามบินหลอนๆที่คุณพิพัฒน์พูดถึงนั่น กลายเป็นสนามบินภายในประเทศไปแล้วครับ





ก่อนจะออกไปเดินเล่นกัน
นายติบอขอมาเล่าประวัติราชวงศ์พุกามกันคร่าวๆก่อนนะครับ
เพราะถ้าไม่เล่า เดี๋ยวคนอ่านจะพากันงงเวลาออกพระนามกษัตริย์พระองค์ต่างๆ


บทที่ 1: กษัตริย์ปรำปราแห่งอริมัทนประเทศ


อย่างที่เล่าไปแล้วว่าโดยปกตินักวิชาการจะกล่าวกันถึงกษัตริย์ที่ครองราชย์หลังสมัยพระเจ้าอนิรุทธลงมา
นายติบอก็เลยขออนุญาตเรียกประวัติศาสตร์พุกามก่อนหน้าว่า "สมัยปรำปรา" นะครับ

เพราะที่จริงแล้วพงศาวดารฉบับหอแก้วหรือ ฮมันนายาซเวงดอยี (Hman-nan-ya-zawin-daw-gyi)
ได้กล่าวถึงประวัติราชวงศ์พุกามย้อนขึ้นก่อนหน้าพระเจ้าอนิรุธไปราวร้อยปีเศษ
โดยเริ่มนับจากพระเจ้า 1.) นยองอู สอรหัน (Nyaung-u Sawrahan)
ซึ่งครองราชย์ในช่วง พ.ศ. 1474 - 1507 ไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักบุญ
และเล่าประวัติระองค์ไว้ทำนองเดียวกับพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ หรือพระเจ้าแตงหวาน
ที่ทำไร่แตงกวามาก่อนแต่ด้วยบุญญาธิการของพระองค์ จึงได้ขึ้นครองราชย์


พระเจ้านยองอู สอรหัน ทรงมีมเหสี 3 องค์ เป็นพี่น้องกัน
ในตอนท้ายรัชกาล ขณะที่มเหสี 2 องค์ ทรงครรภ์อยู่
2.) พระเจ้ากุนษอกยองพยู (Kunhsaw Kyaungbyu)
ได้เข้าชิงราชสมบัติของพระองค์ ในปี พ.ศ. 1507 -1529
และทรงอภิเษกมเหสีทั้งสามของพระเจ้านยองอู สอรหัน ขึ้นเป็นมเหสีของพระองค์


ในช่วงปลายรัชสมัยของพระเจ้าพระเจ้ากุนษอกยองพยู
เจ้าชายราชโอรสของพระเจ้านยองอู สอรหัน ซึ่งประสูติแต่มเหสีทั้ง 2
ได้แก่ 3.) พระเจ้ากะยิโส (Kyizo) และ 4.)พระเจ้า โสกกะเต (Sokkate)
ได้ชิงราชสมบัติของพระเจ้ากุนษอกยองพยู และบังคับให้พระองค์ออกผนวช


และพระเจ้ากะยิโส ได้ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1529 - 1535
และเมื่อพระเจ้ากะยิโสสวรรคตลง พระเจ้าโสกะเต
ก็เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาต่างมารดา ในปี พ.ศ. 1535 - 1560
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 26 ม.ค. 08, 01:53

บทที่ 2 : พระเจ้าอนิรุทธ์


ส่วนพระนางมยอปปยินสี (Myauppyinthi) ซึ่งเป็นอดีตพระมเหสีของพระเจ้า นยองอู สอรหัน อีกองค์หนึ่งนั้น
ทรงครรภ์กับพระเจ้า กุนษอกยองพยู ให้กำเนิดพระโอรส คือ 5.) พระเจ้าอนิรุทธ์ (อโนรธา) (1587 - 1620)
พระเจ้าอนิรุทธ์ทรงเจริญวัยขึ้นในวัดที่พระบิดาทรงผนวชอยู่
และทรงได้รับการอบรมศิลปศาสตร์ต่างๆ ทั้งอักษรศาสตร์ และพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดี

เมื่อเจริญวัยขึ้น พระองค์ได้ยกพล กรีฑาทัพเข้ามายังเมืองพุกาม
และแต่งสารท้ารบไปยังพระเจ้าโสกะเต มีใจความว่า
พระเจ้าโสกะเตจะยินยอมคืนราชบัลลังก์ให้พระราชบิดาของพระองค์
หรือจะต่อสู้กับพระองค์ พระเจ้าโสกะเตทรงตกลงที่จะทำสงครามกับพระเจ้าอนิรุทธ์
ในที่สุดพระโสกะเตก็ทรงพ่ายแพ้ และ ถูกพระเจ้าอนิรุทธ์สังหาร

พระเจ้าอนิรุทธ์จึงนำราชบัลลังก์ถวายคืนแก่พระราชบิดา
แต่พระเจ้ากุนษอกยองพยูทรงมอบราชบัลลังก์คืนให้แก่พระเจ้าอนิรุทธ์
เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว
พระเจ้าอนิรุทธ์จึงทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1587


พระนามของพระเจ้าอนิรุทธ์ที่เป็นที่รู้จัก มีหลายพระนามด้วยกัน
ได้แก่ พระเจ้าอนิรุทธ์ พระเจ้าอโนรธา พระเจ้าอโนรธามินสอ หรือพระเจ้าอนุรุธ์
และพระนามภาษาสันสกฤต คือ มหาราชาศรีอนิรุทธเทวะ (Maharaja Sri Aniruddha-deva)

หลังจากที่ทรงปกครองและจัดการปัญหาภายในอาณาจักรพุกามจนมั่นคงแล้ว
พระเจ้าอนิรุทธ์ทรงรวบรวมดินแดนต่างๆในเขตลุ่มน้ำอิรวดีเข้าไว้เป็นปึกแผ่น
และฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยการแต่งตั้งคณะทูตเดินทางไปขอพระไตรปิฎกจากพระเจ้ามกุฏ (มนูหะ)
จากเมืองสะเทิมมาประดิษฐานไว้ที่พุกาม ฮมันนายาสเวงดอยีเล่าความตอนนี้เอาไว้ว่า
พระเจ้ามกุฏทรงตอบปฏิเสธคณะทูตของพระเจ้าอนิรุทธ์ด้วยถ้อยคำดูถูก
พระเจ้าอนิรุทธ์จึงส่งขุนศึกคู่ใจ 4 คนลงมาทำสงครามกับพระเจ้ามกุฏ จนได้รับชัยเหนือเมืองสะเทิม
ในครั้งนั้น พระเจ้ามกุฏ พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และชาวสะเทิมจำนวนมากถูกกวาดต้อนมาไว้ที่พุกาม
ซึ่งเป็นสาเหตุให้พุกามได้รับวัฒนธรรมมอญ หลายประการ ทั้งทางด้านศาสนา ศิลปะ ภาษา และการเมืองการปกครอง

หลังจากทรงได้เมืองสะเทิมไว้แล้ว พระเจ้าอนิรุทธ์ทรงเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ
และอ้างสิทธิธรรมในการปกครองอาณาจักรโดยรอบ เช่น อาณาจักรต้าหลี่ทางเหนือ
อารากันทางตะวันตก และ ฉานทางตะวันออก จึงทำให้พุกามเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาที่สำคัญ
และสามารถติดต่อกับต่างประเทศทั้งจีน และ อินเดียได้ง่าย จนเกิดความมั่นคงทางการค้าขึ้น

และในปี ค.ศ. 1067 พระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1 (Vijayabahu 1) แห่งลังกา
ทรงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอนิรุทธ์ในการขับไล่โจฬะที่ปกครองลังกาออกไป
จึงเป็นสาเหตุให้พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์เจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรพุกาม


พระเจ้าอนิรุทธ์เสด็จสวรรคตจากอุบัติเหตุในการล่าสัตว์เมื่อปี พ.ศ. 1620
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ได้ทรงรวบรวมแผ่นดินอริมัทนประเทศเข้าเป็นปึกแผ่น
สร้างความมั่นคงทั้งทางด้านการเมือง-การปกครอง และการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ
และทำนุบำรุงพุทธศาสนา จนพุกามเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาแบบเถรวาทของภูมิภาคด้วย
บันทึกการเข้า
Kurukula
สุครีพ
******
ตอบ: 1303



ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 26 ม.ค. 08, 18:13

เข้ามาให้กำลังใจคุณติบอเล่าต่อจนจบครับ แลบลิ้น
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 26 ม.ค. 08, 19:04

บทที่ 3 : เมื่อมอญครองพม่า


6.) พระเจ้าสอลู (พ.ศ. 1620-1627)
ทรงปกครองอาณาจักรพุกามต่อจากพระราชบิดา
เมื่อทรงขึ้นครองราชย์ทรงมีพระนามว่า ศรีพัชรภรณ์ตรีภูวติ
และยังทรงเป็นที่รู้จักว่า มังลูลาน (Man Lulan) ซึ่งแปลว่าพระราชาหนุ่ม

ฮมันนายาสเวงดอยี หรือ พงศาวดารฉบับหอแก้ว เล่าถึงประวัติของพระองค์ไว้ว่า
พระราชาพระองค์นี้มิได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมืองแต่ประการใด
ทรงปล่อยให้เหล่าเสนาอำมาตย์เป็นผู้จัดการบ้านเมืองแทนพระองค์
เสนาบดีผู้ใหญ่ในสมัยนี้ คือ จันสิตถา นักรบคู่ใจพระเจ้าอนิรุทธ์

แต่ในภายหลัง พระเจ้าสอลูทรงต้องการจำกัดอำนาจของเสนาบดีผู้นี้
จึงโปรดให้จันสิตถาไปทำราชการในแคว้นห่างไกลออกไป
แต่เมื่อมีปัญหาภายในก็จำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากจันสิตถาอีก

ตอนปลายรัชกาล งะรมัน (Nga Raman) เจ้าเมืองพะโคก่อกบฎ
จับตัวพระเจ้าสอลูเป็นตัวประกัน จันสิตถาซึ่งครองเมืองถิเลง (Htilaing) อยู่
ไม่สามารถยกทัพกลับมาช่วยพระองค์ได้ทัน งะรมันได้สังหารพระเจ้าสอลูที่เมืองพวาสอ (Prantwsa)
และพยายามเข้ายึดครองอาณาจักรพุกามแต่จันสิตถาได้เข้าขัดขวาง
เหล่าเสนาอำมาตย์ และพระชินอรหันต์จึงได้อัญเชิญจันสิตถาขึ้นครองราชย์สมบัติ
เป็น 7.) พระเจ้าจันสิตถา (ค.ศ. 1627-1656)


เมื่อขึ้นครองราชย์ พระเจ้าจันสิตถาทรงมีพระนามว่า ศรีตรีภูวทิตย์ธรรมราชา
ในจารึกพม่ายังเรียกพระองค์ว่า ถิลุงมัง (T’iluin Man) แปลว่ากษัตริย์แห่งถิเลง
แต่เนื่องจากพระเจ้าจันสิตถามิได้มีเชื่อสายของผู้สืบราชบัลลังก์
พระองค์จึงอ้างสิทธิธรรมในการครองราชสมบัติว่าพระองค์ทรงเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์
และเป็นองค์อวตารของพระวิษณุของชาวพยูอีกด้วย
สมัยนี้จึงถือเป็นรัชสมัยที่ศิลปสาสตร์แบบมอญเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในตัมพทวีป


ในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิตถา ทรงติดต่อกับต่างประเทศเป็นอย่างมาก
ในปี พ.ศ. 1638 พระองค์ทรงส่งคณะทูตและช่างฝีมือเดินทางไปพุทธคยา
เพื่อไปซ่อมแซมวัดศรีพัชรัส (Sri Bajras) หรือวัดวัสชราสนะ (Vajrassanas)
ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นสถานที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นมหาโพธิ์
พระเจ้าจันสิตถะทรงซื้อที่ดินกัลปนาให้แก่วัด ขุดอ่างเก็บน้ำ สร้างเขื่อน
เพื่อประโยชน์ในการปลูกข้าว ถวายตะเกียงเทียนจำนวนมาก
และทรงกัลปนาข้าทาสให้กับวัดอีกด้วย

นอกจากนั้นในรัชสมัยพระเจ้าจันสิตถะมีพระสงฆ์นิกายมหายาน
จากทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียหลบหนีอิทธิพลอิสลาม
เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์ทรงให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์เหล่านี้
โดยการสร้างวัดเล็กๆถวายเป็นที่พำนัก อยู่ระหว่างเจดีย์ชเวซิกองกับหมู่บ้านมินนันถุ (Minnanthu)

ด้านความสัมพันธ์กับจีน ในปี พ.ศ. 1649 ทรงส่งคณะทูตไปยังเมืองไคเฟิง (K’ai feng)
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง พระจักรพรรดิจีน
จักพรรดิจีนทรงให้การต้อนรับคณะทูตของพุกามเทียบเท่ากับทูตของอาณาจักรโจฬะ

ในรัชสมัยนี้จึงถือได้ว่าประสบความสำเร็จที่ทำให้พุกามเป็นที่รู้จักของดินแดนต่างๆ
บันทึกการเข้า
Kurukula
สุครีพ
******
ตอบ: 1303



ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 26 ม.ค. 08, 19:31


มีจารึกของการซ่อมแซมพุทธคยาสมัยพระเจ้าจันสิทธาอยู่ที่อินเดียด้วยครับ


“รวบรวมสิ่งของมีค่าต่างๆ และส่งเรือไปเพื่อปฏิสังขรณ์ ศรี พัชราสะ (Sri bajras) หรือ ศรีวัชราสนะ เพื่อซื้อที่ดิน ขุดบ่อน้ำ สร้างระบบชลประทานสำหรับนาข้าว สร้างเขื่อน ยังให้ไฟในตะเกียงและเทียนจุดอยู่โดยมิรู้ดับ และพระราชทานกลอง กลองมโหระทึก เครื่องสายและเครื่องให้จังหวะต่างๆ นักขับและชาวละครซึ่งดีกว่าที่เคยมีมาก่อนหน้านี้” และ


“ดังนั้น อนุสรณ์อันยิ่งใหญ่ (Mahavatthu) ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าธรรมโศก ซึ่งเก่าแก่และทรุดโทรม พระเจ้าแผ่นได้ทรงปฏิสังขรณ์ให้ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าแต่ก่อน”
ศรีพัชราสะหรือพุทธคยาในอินเดียถูกทำลายลงด้วยการรุกรานของชนชาติต่างศาสนา ซึ่งอาจเป็นราชวงศ์ Ghaznavid ชาวมุสลิมที่รุกรานพาราณสี (Benares) ในปี พ.ศ.1576-1577 หรือเจ้าชายการณเทวะ (Karnadeva) ซึ่งรุกรานอาณาจักรปาละในแคว้นพิหารในปี พ.ศ.1582



ในรัชสมัยนี้ปรากฏว่าพระเจ้าจันสิทธาเคยได้รับรองพระสงฆ์ในพุทธศาสนามหายานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งหลบหนีอิทธิพลของพวกมุสลิมเข้ามาในพุกาม และทรงให้ความช่วยเหลือด้วยการสร้างวัดเล็กๆให้เป็นที่พำนักแก่พระสงฆ์เหล่านี้ วัดนี้อยู่ระหว่างเจดีย์ชเวสิกงกับหมู่บ้านมินนันถุ
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 26 ม.ค. 08, 19:57

ขอบคุณหลายๆเด้อ บักตั้ว
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 10:26

บทที่ 4 : อลงอคสิทธู พระโพธิสัตว์แห่งอริมัทนะประเทศ


พระนัดดาของพระเจ้าจันสิ9ถา ทรงปกครองพุกามจากพระองค์
กษัตริย์พระองค์นี้ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระโอรสชองพระเจ้าสอลู
และพระธิดาของพระเจ้าจันสิตถา

พระนามภาษาสันสกฤตเมื่อทรงครองพุกามนั้น
พบในจารึกที่วัด Shwe gu gyi (วัดใหญ่สุวรรณเจดีย์)
ทรงพระนามว่า ศรีตรีภูวนาทิตย์บวรธรรมราชา
ส่วนพระนามที่รู้จักกัน คือ สิทถุ (Sithu) ซึ่งแปลว่าวีรบุรุษผู้ชนะ
หรือ 8.) พระเจ้าอลองคสิทถุ (Alaungsithu) (พ.ศ. 1656 - 1706)
เนื่องจากทรงประกาศพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ด้วย
(อลอง แปลว่าพระโพธิสัตว์)


กว่า 50 ปีในรัชสมัยของกษัตริ์พระองค์นี้
ศิลปะมอญที่เคยรุ่งเรืองในรัชสมัยแรกๆของอาณาจักร
ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบของพุกามมากขึ้น
จนถือได้ว่าเป็นจุดรุ่งเรืองสูงสุดของศิลปะพม่าแท้
รัชสมัยของพระองค์ เป็นรัชสมัยที่ทรงสร้างความรุ่งเรืองทาง
ศิลปะ วรรณกรรม สถาปัตยกรรม และ การเมืองการปกครอง อย่างแท้จริง

พระเจ้าอลองคสิทธู ทรงเป็นกษัตริย์นักเดินทางไม่แพ้พระอัยกาของพระองค์
เพราะทรงเดินทางไปเยือนดินแดนต่างๆในเขตลุ่มน้ำอริวดี และดินแดนโพ้นทะเล
เช่น ชวา สุมาตรา และศรีลังกา

ในทางการเมืองการปกครอง พระองค์สามารถยึดเมืองท่าตะนาวศรีได้
จึงสามารถควบคุมการติดต่อทางทะเลที่บริเวณคอคอดกระได้
เช่น การควบคุมการค้าช้างระหว่างขอม และลังกา
จนทำให้อาณาจักรพุกามรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง

ปลารัชสมัยพระเจ้าอลองคสิทธู
จัดเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความเสื่อมของมหาอาณาจักรแห่งนี้
เมื่อพระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยเจ้าชายพระราชโอรส
ตามตำนานเล่าว่าพระเจ้าอลองคสิทธูทรงประชวรพระวาโย สิ้นพระสติ
เจ้าชายนรถุ พระราชโอรสจึงให้เชิญพระวรกายไปยังวัดแห่งหนึ่ง
เมื่อฟื้นคืนพระสติเจ้าชายนรถุ ทรงใช้ผ้าปูพระแท่น
อุดพระนาสิก และพระโอษฐ์ จนพระเจ้าอลองคสิทธูเสด็จสวรรคต

เมื่อข่าวทราบถึงเจ้าชายมินชินสอ มกุฏราชกุมาร
ทรงยกพลกลับเข้าเมืองพุกามเพื่อเข้ามาจัดงานพระศพพระราชบิดา
เจ้าชายนรถุ ทรงถวายราชสมบัติคืนแก่พระเชษฐา
แต่ก็ลอบปลงพระชนม์ 9.) พระเจ้ามินชินสอ (พ.ศ. 1076 - 1076) ด้วยยาพิษ
ระหว่างงานฉลองในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
และปราบดาภิเษกขึ้นเป็น 10.) พระเจ้านรถุ (พ.ศ. 1076 - 1078)
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 12:42

บทที่ 5 : นรถุ รัชสมัยแห่งความวุ่นวาย


พระเจ้านรถุมีพระนามที่เป็นที่รู้จักคือ อิมตอสยัน (Im Taw Syan)
ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมพระองค์หนึ่ง
เนื่องจากทรงประหารคนที่พระองค์หวาดระแวงเป็นจำนวนมาก
ไม่เว้นแม้แต่พระมเหสีของพระองค์เอง
ซึ่งตามตำนานเล่าว่าเป็นธิดาของกษัตริย์ลังกา

และพุกามยังขัดขวางการค้าช้างระหว่าง เขมร กับลังกา
ผ่านการควบคุมการค้าข้ามคาบสมุทร ที่พุกามได้ควบคุมไว้ตั้งแต่รัชกาลก่อน

พระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 แห่งลังกา (Prakrambahu)
จึงยกทัพเรือมาโจมตีเมืองพะสิมที่ปากแม่น้ำอิรวดี
และล่องเรือขึ้นมาถึงอาณาจักรพุกาม
จนสามารถจับพระเจ้านรถุและประหารพระองค์ในที่สุด

ชาวพม่าในสมัยหลังจึงเรียกพระองค์ว่า กุลากยา (Kula-Kya)
ซึ่งแปลว่ากษัตริย์ที่ถูกปลงพระชนม์โดยชาวอินเดีย
(กุลา แปลว่าชาวอินเดีย แต่ในที่นี้หมายรวมถึงลังกาด้วย)


หลังรัชสมัยของพระเจ้านรถุประวัติศาสตร์พุกามมีความสับสนมาก
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นช่วง ที่ไม่มีกษัตริย์ปกครองเป็นเวลา 9 ปี
คือระหว่าง พ.ศ. 1708-1717 แต่ยังมีหลักฐานบางส่วนที่
กล่าวถึงกษัตริย์ที่ปกครองพุกามทรงพระนามว่า 11.) พระเจ้านรเถขะ (Naratheinkha)
ซึ่งเป็น พระราชโอรสในพระเจ้านรถุ
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 15:53

บทที่ 6 : นรปฏิสิทธุ แสงสุดท้ายแห่งอริมัทนประเทศ


พระราชนัดดาของพระเจ้านรถุได้ขี้นครองราชสมบัติต่อมา
ทรงพระนามว่า 12.) พระเจ้านรปฏิสิทธุ (พ.ศ. 1717-1754)
หรือพระนามภาษาสันสกฤตว่า ศรีตรีภูวทิตย์บันฑิตธรรมราชานรปติ...ชัยสุระ
ส่วนพระนามในจารึกคือ สิทธุ เช่นเดียวกับพระอัยกาของพระองค์
ในรัชกาลนี้ พระเจ้านรปฏิสิทธุทรงสร้างรูปแบบอารยธรรมที่เป็นพม่าชัดเจนขึ้นมา
และส่งต่อวัฒนธรรมดังกล่าวให้แก่ชนชาติต่างๆโดยรอบ รวมถึงชาวมอญเดิมด้วย

นอกจากนี้ ยังทรงรับเอาพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามายังพุกาม
มีการแต่งตำราทางพุทธศาสนา สร้างวัด และเจติยวิหาร
และกัลปนาข้าทาส - ที่ดิน เป็นของวัดเป็นจำนวนมาก

ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างศาสนสถานด้วยสถาปัตยกรรมแบบพุกาม
ของพระองค์ ในดินแดนห่างไกลต่างๆ
ยังเป็นการแผ่ขยายอำนาจของมหาอาณาจักรออกไปภายนอก
ซึ่งทำให้ฐานการผลิตของอาณาจักรพุกามกว้างขวางขึ้นอีกด้วย
นับได้ว่าเป็นความมั่นคง และมั่งคั่งที่สุดในประวัติศาสตร์พุกาม
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 16:31

บทที่ 7 : สี่กษัตริย์สุดท้าย และจุดจบแห่งมหาอาณาจักร


13.) พระเจ้านดวงมยา (Nadaungmya) (พ.ศ. 1754-1774)
หรือพระเจ้าติโลมินโล (Htilominlo) (พระเจ้าติโลกมงคล)
ทรงปกครองอาณาจักรพุกามต่อจากพระราชบิดา
ในรัชกาลนี้แทบไม่มีความวุ่นวายทางการเมืองเลย
จึงเป็นยุคสมัยของการสร้างวัด และเจดีย์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก

จนในท้ายรัชกาลเกิดปัญหาจากการกัลปนาที่ดิน
และกำลังพลจำนวนมากให้เป็นข้าวัด
(เนื่องจากข้าวัดเหล่านี้ จะไม่ถูกเกณฑ์แรงงานจากหลวง)


ในรัชกาล 14.) พระเจ้ากกยอฉวา(Kyawsawa) (พ.ศ. 1778-1792)
จึงเกิดปัญหาจากการที่เงินในท้องพระคลังร่อยหรอลง
และสามารถเก็บภาษีได้น้อย เนื่องจากการกัลปนาที่ดิน
และแรงงานให้แก่วัดเป็นจำนวนมากในรัชกาลก่อน

พระองค์ทรงแก้ปัญหาโดยการเรียกคืนที่ดินมหาทาน
และแรงงานที่ได้บริจาคไป แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
จนพระองค์จำเป็นต้องสละราชสมบัติ


พระราชโอรสของพระเจ้ากกยอชวาเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากพระบิดา
ทรงพระนามว่า 15.) พระเจ้าอุสานะ (Uzana) (พ.ศ. 1792-1799)
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าพระองค์มิได้มีความสามารถแต่อย่างใด
จึงโปรดให้มหาอำมาตย์ราชสิงคาล (Yazathingyan) ดูแลบ้านเมืองแทนพระองค์

เมื่อพระเจ้าอุษานะเสด็จสวรรคตจากการคล้องช้าง
มหาอัมมาตย์ราชสิงคาลได้เลือกเจ้าชายพระราชโอรส
พระองค์เล็กที่สุดของพระเจ้าอุษาณะ ทรงพระนามว่า
16.) พระเจ้านรสีหปติ (Narathihapati) (พ.ศ.1799-1830)
ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา
ในรัชกาลนี้จึงมีความวุ่นวายจากศึกชิงราชสมบัติหลายครั้ง
จนกระทั่งในที่สุด มหาอาณาจักรพุกามก็ตกเป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์หยวน ในสมัยพระเจ้ากุบไลข่าน
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 17:01

บทที่ 8 : ไปเที่ยวซะที



หลังจากที่พาคนอ่านงงเต๊กกับประวัติศาสตร์พุกามมาซะหลายความเห็น
(แถมไม่มีรูปอีกตะหากเนาะ พี่กุ้งแห้งฯ)

นายติบอก็ขอพาคนอ่านไปเดินเล่นพุกามกันนะครับ
(ถ้ารูปไม่สวย ห้ามว่านะครับ นายติบอใช้กล้องไม่เป็นฮะ แหะๆ)











เราออกจากโรงแรมที่พักกันเมื่อพระอาทิตย์ลาลับฟ้าไปแล้ว
เดินลัดเลาะกันไป 3 คนตามถนนคอนกรีตตัดตรงสายยาว
ซึ่งคงเป็นไม่กี่สายในเขตเมืองพุกาม

แสงสุดท้ายของวันอาบเมฆที่ริมฟ้าทางทิศตะวันตกเป็นสีชมพูระเรื่อ
ตัดกับฟ้าสีครามสด ต้นไม้สีเข้ม และดาวดวงน้อยๆที่เริ่มทอแสงอาบฟ้าทีละดวงสองดวง









คณะเดินทางทั้ง 3 คน ผ่านวัดเล็กวัดน้อยหลายวัดที่เห็นเพียงเงาเจดีย์ตะคุ่มๆอยู่สองฟากถนน
เข้าสู่ตัวหมู่บ้าน และตลาดยองอู บริเวณที่ถือได้ว่ามีคนพลุกพล่านที่สุดในเมืองพุกาม




ตอนออกมาเดินเล่นครั้งแรก เราหวังกันเพียงแค่จะได้เห็นวิถีชีวิตของคนพม่าในยามราตรี
ได้ดูตลาดที่พลุกพล่านมานานนับพันปี ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 จนถึงทุกวันนี้
และหาอะไรซักอย่างที่รสชาติไม่แปลกประหลาดนัก มายาไส้แห้งๆของคณะเดินทาง

แต่ก่อนจะไปถึงตัวเมือง
เราขอแวะเยี่ยมชมเจดีย์องค์หนึ่งที่ผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนาทุกคนจำเป็นต้องรู้จัก
 "ชะปัต" ที่เราเห็นยอดโผล่พ้นแนวไม้ขึ้นมาลิบๆตัดกับเสาไฟฟ้าที่ทางแยกแรกของถนนซะก่อน

แต่ทว่า.... เราคิดผิดไป.....







เพราะคืนนี้มีมากกว่าที่เราคิด !!!







2 B continue
บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 20:56

ยิ้มเท่ห์ ถึงไม่มีรูปก็สนุกมากค่ะ เสียอย่างเดียว ฆ่ากันไปฆ่ากันมา คล้ายๆอยุธยาเลย จะตั้งใจฟังต่อค่ะ รีบมาเล่านะคะ คุณติบอและผู้ช่วย
บันทึกการเข้า
Kurukula
สุครีพ
******
ตอบ: 1303



ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 22:33

คอมเจ๊ง รูปไปพม่าหายหมดเลยครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.067 วินาที กับ 20 คำสั่ง