เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
อ่าน: 23913 2550 - แบคแพค ตะลุยพม่า!!
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 22:36

 ยิ้ม ตกใจ เศร้า ร้องไห้
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 28 ม.ค. 08, 23:10

คอมเจ๊ง รูปไปพม่าหายหมดเลยครับ


อย่างน้อยในฮิฟิที่ upload ไว้ก็พอเหลือน่า
สู้ๆเว๊ย คุณเพื่อน!!!
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 10:38

รูปหายไม่เป็นไร
เรื่องอย่าหายเป็นใช้ได้

เล่าต่อนะครับ.....คนรอตรึม
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 13:00

คอมเจ๊ง ใจเย็นๆครับ ฮาร์ดดิสก์อาจจะไม่เจ๊ง ถอดไปต่อกับเครื่องอื่น เอาข้อมูลออกมาดีกว่าครับ

เสียดาย
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
ศศิศ
พาลี
****
ตอบ: 326


อหังการ์ ล้านนาประเทศ


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 14:49

สรีสวัสสดีครับผม

ภาวนาให้ข้อมุลยังคงอยู่นะครับผม แหม!! การไปแอ่วเมืองม่านนี้เป็นสิ่งที่ผมหวังไว้เหมือนกันว่าสักวันหนึ่งจะไปตะลุยเมืองม่าน ขึ้นไปถึงเมืองไต เลย

แต่ตอนนี้ รอดูรูปไปก่อนครับ
  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

- ศศิศ -
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 17:31

ขอบพระคุณ คุณพิพัฒน์ คุณCHrazyHorse และอ้ายศศิศ นะครับ
ที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้

รูปยังพอเหลือให้เล่าจนจบกระทู้ได้ครับ ไม่ต้องกังวลครับ
ส่วนเรื่อง อาจจะต้องตามเวลาที่พอจะเจียดได้ของคนเล่านะครับ แหะๆ




บทที่ 9: The Sapada



ก่อนจะพาคนอ่านงงไปมากกว่านี้ นายติบอขอเล่าถึงประวัติเจดีย์ฉปัฏ ก่อนคร่าวๆนะครับ

เจดีย์องค์นี้ปรากฏหลักฐานที่เล่าถึงไว้ในจารึกกัลยาณี มีใจความว่า
ในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู มีสามเณรรูปหนึ่งเป็นชาวหมู่บ้าน ฉปฏคาม
ในแคว้นกุสิมราษฎร์ (พะสิม) ได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญยังลังกาทวีป
พร้อมกับพระอุตรชีวะผู้เป็นอาจารย์ และได้อุปสมบทเป็นภิกษุในลังกา
ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าปากรมพาหุที่ 1 ทรงชำระศาสนาขึ้นใหม่
และตั้งนิกายมหาวิหาร (Mahavihara)

พระฉปัฏได้ร่ำเรียนอยู่ในลังกาเป็นเวลานานถึง 10 ปี
จนเมื่อได้กลับมายังอาณาจักรพุกาม จึงชักชวนเพื่อนพระสงฆ์ชาวต่างชาติอีก 4 รูป
มายังพม่าเพื่อให้มีพระสงฆ์ลังกาวงศ์ที่จะทำสังฆกรรมร่วมกัน
เนื่องจากคณะสงฆ์ที่มาจากลังกาไม่อาจทำสังฆกรรมร่วมกับคณะสงฆ์พม่าที่มีวัตรปฏิบัติแตกต่างกันได้

พระเจ้านรปฏิสิทธูก็มิทรงเข้าข้างใด แต่ทรงอุปถัมภ์ทั้งสองนิกาย
เพื่อให้นิกายลังกาวงศ์คานอำนาจกับพระสงฆ์นิกายเก่าจากเมืองมอญ
ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถควบคุมการเก็บภาษีได้

โดยพระเจ้านรปฏิสิทธูได้พระราชทานแพขนานลอยอยู่ในแม่น้ำอิรวดี
มอบให้แก่พระเถระทั้งห้า เพื่อที่จะได้ใช้อุปสมบทกุลบุตรชาวพุกามตามอย่างธรรมเนียมลังกา
และได้สร้างวัดถวายแก่พระรูปนี้ คือ วัดฉปัต แห่งนี้
จึงเป็นเหตุให้พุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้าไปเจริญรุ่งเรืองอย่างเป็นทางการในพม่า
ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้านรปฏิสิทธู
จนพุทธศาสนาจากตัมพปนิทวีป ได้เจริญรุ่งเรืองในตัมพทวีปอีกครั้ง

โดยพระฉปัฏได้แต่งคัมภีร์ต่างๆมากมาย เช่น สุตตนิเทส
สังเขปวัณณา วินยคูฬหัตถิทีปนี  สีมาลังการ  เป็นต้น







ส่วนเจดีย์องค์นี้มีความสำคัญอย่างไรก็ขอเล่าย้อนกลับมาเมืองไทยซักกะน่อยนึง
(อันนี่พี่ศศิศน่าจะคล่องกว่าผม เพราะอยู่ใกล้กว่า และศึกษามามากกว่า)
ถ้าผิดยังไงรบกวนพี่ศศิศแก้ไขให้ด้วยนะครับ

อย่างที่เล่าไปแล้วว่าเจดีย์ฉปัต นี้สร้างในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู
ซึ่งพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ ลัทธิมหาวิหาร เข้ามาเจริญรุ่งเรืองในเมืองพุกาม
เจดีย์องค์นี้จึงเป็นเจดีย์องค์แรกๆ ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงกับเจดีย์ทรงลังกาในอาณาจักรพุกาม

เนื่องจากเจดีย์ทรงลังกาเดิมแบบในสมัยพุกามตอนต้นนั้น เท่าที่พบอยู่บ้าง
เช่นเจดีย์บริวารที่เจดีย์ชเวสิกง ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิตถะ
นั้นเป็นเจดีย์ทรงลังกาแท้ บนฐานเขียงเตี้ยๆ 3 ชั้น







ในขณะที่เจดีย์ทรงลังกาในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธู นี้
เป็นสมัยแรกที่สร้างเจดีย์ทรงลังกาบนฐานเจาะช่องท้องไม้แบบพม่า แต่ปรับให้เป็นฐานกลม
เช่นเดียวกับเจดีย์ที่วัดอุโมงค์ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างในรัชสมัยของพระเจ้ากือนาครับ









ปล. ภาพบนสุด เจดีย์ฉปัฏ (นายติบอถ่ายเอง ไม่สวยด่าได้)
ภาพกลาง เจดีย์บริวารที่วัดชเวสิกง-credit ไอ้ตั้ว
ภาพล่าง เจดีย์ที่วัดอุโมงค์ (อันนี้ก็ด่าได้ครับ อิอิ)




แต่เรื่องน่าตื่นเต้นของคืนนี้........




ไม่ได้เกี่ยวกับเจดีย์ครับ
(ใครเดาได้ว่าเรื่องอะไร ผมมีรางวัลชิ้นเล็กๆให้ชิ้นนึงเอ๊า!!)





2 B Continue
บันทึกการเข้า
ศศิศ
พาลี
****
ตอบ: 326


อหังการ์ ล้านนาประเทศ


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 17:45

สวัสดีครับผม

เห็นรูปวัดอุโมงค์ที่เชียงใหม่แล้ว ก็นึกไปถึงวัดต้นแบบของวัดนี้ ที่พุกาม

ไม่ทราบว่าคุณติบอได้ไปเห็นต้นแบบวัดอุโมงค์ที่พุกามไหมครับผม
บันทึกการเข้า

- ศศิศ -
Kurukula
สุครีพ
******
ตอบ: 1303



ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 21:51

เฮ่อออ........ในที่สุดก็กู้โลก เอ๊ย กู้รูปกลับมาได้แล้วครับ สยองเล็กๆ


เจดีย์ฉปัฏด้านบนครับ คุณศศิศ ที่คนไทยถือเป็นอนุสติเลยว่าเป็นต้นแบบของเจดีย์วัดอุโมงค์

แต่ถ้าสังเกตดีๆก็ยังมีความแตกต่าง เช่น


ฉปัฎ                                                                                 วัดอุโมงค์เถรจันทร์

ไม่มีรัดอกแบบลังกา                                                             องค์ระฆังมีรัดอก เป็นแบบพม่าแท้

ก้านฉัตรไม่มีรูปบุคคลแทนที่เสาหาน                                        ก้านฉัตรมีรูปบุคคล ตรงกับเทวาตาโกฏุวะของลังกา (แต่อาจซ่อม)

มีลานประทักษิณขนาดใหญ่                                                    ไม่มีลานประทักษิณ เพราะอยู่บนลานเหนืออุโมงค์

ชุดฐานมี 2 ชุด                                                                    ชุดฐานเจาะช่องท้องไม้ มี 3 ชุด

เหนือชุดฐานไม่มีกลีบบัว                                                         เหนือชุดฐานมีกลีบบัว ลักษณะคล้ายฐานแบบพม่าแท้

   
ยังไม่เคยเข้าไปดูในกรุวัดอุโมงค์เลยครับ อยากให้คุณ Pipat ที่น่าจะเคยเห็นเคยชมเข้ามาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับจิตรกรรมข้างในบ้าง         
บันทึกการเข้า
Kurukula
สุครีพ
******
ตอบ: 1303



ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 22:15


เอาเรื่องพระฉปัฏมาเล่าให้ฟังบ้างครับ

เนื้อความปรากฏในจารึกกัลยาณีสีมา กรุงหงสาวดี เล่าถึงการประดิษฐานพระสงฆ์ลังกาวงศ์ในพม่า

พระฉปัฏเป็นศิษย์พระอุตตราชีวมหาเถระ ซึ่งออกไปยังลังกาสมัยพระเจ้านรปติสิทธุ เหตุการณ์ในลังกาตรงกับรัชสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1 แห่งกรุงโปลนนารุวะ

“และที่ชนทั้งหลายเรียกสามเณรว่าฉปฏสามเณรนั้น เพราะว่าสามเณรนั้นเป็นบุตรของชาวบ้านฉปฏคาม ซึ่งมีอยู่ในแคว้นกุสิมราษฏร์ (เมืองพะสิม)

“แม้เมื่อพระอุตตราชีวมหาเถระขึ้นสู่นาวาไปถึงลังกาทวีปแล้ว ในกาลนั้นพระมหาเถระชาวลังกาทวีปทั้งหลาย ก็ชักชวนกันมาสนทนาซักถามในข้อธรรมิกถา”

พระอุตตรชีวเถร และภิกษุชาวลังกาล้วนมีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี เนื่องจากภิกษุพม่าก็ถือว่าตนเองสืบศาสนวงศ์มาจากพระโสณเถรและพระอุตตระ ซึ่งเป็นผู้ประดิษฐานพระศาสนาไว้ในสุวรรณภูมิ ขณะที่พระสงฆ์ลังกาเป็นเชื้อสายพระมหินทเถระ

“เหตุดังนั้น เราทั้งหลายทั้งปวง เปนผู้มีสมานสังวาสเสมอกัน จงกระทำสังฆกรรมร่วมกันเถิด ครั้งกล่าวดังนี้แล้ว จึงกระทำอุปสมบทฉปฏสามเณร ผู้มีอายุครบ 20 ปี เป็นภิกขุภาพในพุทธศาสนา”

เมื่อพระอุตตรชีวเถรนมัสการเจติยสถานในกรุงลังกาครบถ้วน และกระทำกิจต่างๆสำเร็จแล้ว ก็เดินทางกลับกรุงพุกาม ขณะที่พระฉปัฏขออยู่ศึกษาธรรมะต่อไปอีก จนมีพรรษาได้ 10 พรรษา ก็เดินทางกลับพุกาม

แต่พระฉปัฏก็ยังมีความกังวลใจว่า ตนเองเป็นลัทธิลังกาวงศ์ ถ้ากลับไปพุกามแต่ผู้เดียว แล้วหากพระอุตตรชีวเถรไม่อยู่เสียแล้ว ตนก็ไม่ปรารถนาจะทำสังฆกรรมกับผู้ใด

คิดดังนั้นแล้วจึงชวนเพื่อนภิกษุลังกาวงศ์ได้ 4 รูป คือ

“พระสิวลีเถระเป็นบุตรชาวตามลิตถิคาม (ตามรลิปติในอินเดียใต้)
พระตามลินทเถระ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากัมโพช (เซเดส์ เชื่อว่าเป็นพระโอรสพระเจ้าชัยวรมันที่ 7)
พระอานันทเถระ ชาวกาญจีปุรัมในอินเดียใต้
และพระราหุล ชาวลังกา”
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 22:35

โอว เซียนตัวจริงประทับทรง คิคิ




ปล. ลืมบอกไปคับ ข้อมูลผมเรื่องพระฉปัฏ credit วิทยานิพนธ์ของคุณความคิดเห็นข้างบนนี่ล่ะครับ
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 29 ม.ค. 08, 22:36

ตายล่ะ มือผมหนักไปหน่อย
กดผิดซะละ ทำไงดี.....


ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก



ไฮไลต์วันแรกต้องเอามาเล่าคืนนี้เลยเหรอเนี่ยะ!!!!
น่าตีมือจริงๆหนอ ตัวเรา เอ๊า... เล่าก็เล่าครับ





บทที่ 10 : เมื่อนครสังกัสสะคืนชีพ



ก่อนจะเล่าบทนี้ ขออนุญาตเท้าความตอนเดิมก่อนครับ
ว่านายติบอ และเพื่อนๆ ไปพม่ากันคืนวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่าพระจันทร์ยังกลมๆ สวยๆ อยู่
เพราะเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ครับ


ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ใครนึกออกมั่งครับ 15 ค่ำเดือน 11 สำคัญอย่างไร
(ห้ามตอบว่าชื่อหนัง หรือบั้งไฟพญานาคนะ ม่ะงั้นนายติบอตีตาย!!! อิรวดีนะ ม่ะใจ้แม่น้ำโขง)









































แอบเว้นมานาน ให้คนอ่านนึกไม่ออกหน่อยครับ ว่าวันอะไร
แล้วก็มาเฉลยตรงนี้ว่า "วันออกพรรษา" ครับ

แล้วถ้าจะถามต่อไปอีกว่าวันออกพรรษาในสมัยพุทธกาลสำคัญอย่างไร
ใครจะตอบนายติบอได้อีกมั่งหว่า



เฮ่อ.... ขี้เกียจเว้นละ เดี๋ยวหน้ากระทู้มันจะยาว
เล่าต่อเลยดีกว่าครับ ว่าเป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
(ที่นักล่าจิตรกรรมทั้งหลายมักจะพบอยู่ในจิตรกรรมรูปไตรภูมิโลกสัณฐานนั่นแหละครับ)

ตรงนี้นายติบอขอเล่าเรื่องในพุทธประวัติเพิ่มนิดนึงนะครับ
ว่าการเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์และเปิดโลกนั้น
พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ที่เมือง "สังกัสสะ" ครับ

เขาก็เล่ากันว่าคืนนั้น ชาวเมืองต่างจัดงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่
ด้วยการเผาเทียน เล่นไฟ และลอยโคมกันทั้งเมือง
เพื่อแสดงความยินดีกับการเสด็จของพระพุทธองค์ ครั้งดังกล่าว

สิ่งที่นายติบอได้พบที่ฉปัฏ เมื่อ 2550 ปีให้หลังจากที่พระบรมศาสดาปรินิพพาน
ก็คือชาวพม่าที่ยังคงรักษาประเพณีการเฉลิมฉลองนี้ในวันเพ็ญเดือน 11 อยู่
(ไม่เหมือนชาติไหนไม่รู้เมืองพุทธแท้ๆ ดั๊นไปเอางานฉลองชัยชนะของพระรามในเดือน 12 มาใช้)



ที่เจดีย์ฉปัฏคณะเดินทาง 3 คนที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
และเดินล้ามาตลอดระยะทางเข้าเมือง
จึงได้พบกับเจดีย์ฉปัตที่อาบเรืองไปด้วยแสงไฟสีทองดวงน้อยๆจากตะคัน









ได้ยินเสียงแม่ชีกลุ่มใหญ่สวดมนต์บทที่เราคุ้นชินด้วยสำเนียงแปลกหู
ภายใต้ธงปฏากที่แสดงความเป็นพุทธศาสนาสีสดใสเป็นสายยาว









และได้พบกับคนพม่าตัวผอมเกร็งหลายคน
ที่ปีนป่ายขึ้นบนเจดีย์ เพื่อคอยที่ดับลงตามแรงลม
ให้ลุกสว่างขึ้นทีละดวง และส่องแสงอาบองค์เจดีย์อยู่ตลอดเวลา









ในบัดดลนั้นคำบ่นเรื่อง หิว ง่วง เมื่อย ฯลฯ
ก็ดูเหมือนจะหายไปจากปากของนักเดินทางทั้ง 3 ลงในบัดดล
เหลือไว้แต่ความสุข จากความอิ่มเอิบใจในบรรยากาศของความศรัทธาเบื้องหน้า










ในที่สุด เรา 3 คนก็บ่ายหน้าจากฉปัตมาเข้าตัวเมือง
เพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกล ที่เหลือเก็บไว้เล่าทีหลังนะครับ

(ม่ะได้ขยักนะครับ แต่รูปยังไม่ได้ตัด + upload อะคับ)
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 30 ม.ค. 08, 00:49

โอ้.....น้องเรา ซิ่งสบัดช่อ
แป๊ปเดียว จะ 50 กระทู้แล้วหรือ

อุโมง ที่วัดอุโมงค์นั้น มีคนทำเวบอธิบายเป็นอย่างดี
ขออภัยด้วย ที่หาลิ้งค์ไม่เจอ แต่ยอดฝีมือในการเล่นซ่อนหา คงหามาได้น่า

ผมเคยเข้าไปสมัยนู้น มีแต่แดดเป็นเครื่องนำทาง
เห็นว่าเป็นการทำตามคตินิยมแบบพุกาม ที่ต้องการสร้างคูหาในภูเขา เพื่อจำลองสถานภาวนาของพระอรหันต์
ศาสนวงศ์มีเล่าไว้ คุณสามศ คงเล่าได้

ท่านขุดภูเขาเข้าไปผสมกับการก่อสร้างเสริม กลายเป็นทางเดินสั้นๆ
(เมื่อสมบูรณ์ น่าจะทะลุถึงกัน แต่มาพังเหลือแค่ที่เข้าไปได้)
เขียนสีไว้ พอเห็นร่องรอยเป็นเรื่องอดีตพุทธ หรืออาจจะเป็นหมู่อรหันต์ก็ไม่เห็นชัด
แต่ต้นแบบนั้น มีหลายแห่งในพุกาม สองหนุ่มคงเจนตา
แห่งหนึ่งเป็นปูนปั้น เรื่องชาดก

แต่ที่เป็นของจริงในชีวิตก็คือ มีพระเถระรูปหนึ้ง อยู่ในอุโมงค์มา 60 ปีแล้ว
(เมื่อผมไปเยือน...สมัยคุณซูจียังอยู่ลอนดอน) ชาวบ้านนับถือว่าเป็นอรหันต์
ท่านติดต่อก็แต่กับศิษย์ที่นำอาหารไปส่ง บำเพ็ญเพียรไม่หยุดหย่อน
คิดว่าป่านนี้ คงไปสู่นิพพานแล้ว....สาธุ

ความคิดเรื่องอุโมงค์นี่ ครอบงำสถาปนิกพม่ามาทั้งประวัติศาสตร์
ยิ่งใหญ่สุดก็อานันทเจดีย์

ที่นักปราชญ์ไทยคิดว่าเป็นแบบเดียวกับวัดพระเมรุ นครปฐม
ได้ไปดมมาทั้งสองแห่ง คิดว่ามิใช่แนวคิดทางสถาปัตยกรรมเดียวกันครับ
วัดอุโมงค์แหละ จึงใช่
บันทึกการเข้า
ศศิศ
พาลี
****
ตอบ: 326


อหังการ์ ล้านนาประเทศ


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 30 ม.ค. 08, 07:23

สำหรับลิงค์เกี่ยวกับวัดอุโมงค์ น่าจะเปนลิงค์นี้นะครับ



http://www.umongpainting.com
บันทึกการเข้า

- ศศิศ -
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 30 ม.ค. 08, 08:49

ถึงคุณพิพัฒน์ครับ

ผมไม่กล้าปล่อยกระทู้ให้อืดเอื่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ
ตอนนี้แอบกลัวกระทู้อยุธยาจะแซงหน้าครับ


ส่วนคุณศศิศ ครับ

อุโมงค์ ในวัดอุโมงค์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบหนึ่งที่พบในพุกามจริงๆ
จิตรกรรมที่เหลืออยู่ที่นั่นยังเหลืออยู่มากกว่าเศษทรากของจิตรกรรมสมัยพุกามนัก
เดี๋ยวผมขอเอาไว้พูดถึงตอนที่เดินทางไปถึงนะครับ
บันทึกการเข้า
Kurukula
สุครีพ
******
ตอบ: 1303



ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 30 ม.ค. 08, 19:41

อุโมงค์ในศิลปะพุกามมีมากมายเต็มไปหมดเลยครับ

ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงหลุดเข้ามาในเมืองไทยที่เดียว

แล้วจิตรกรรมข้างในก็ค่อนข้างแตกต่างกัน ระหว่างไทย-พม่าด้วย


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.09 วินาที กับ 19 คำสั่ง