เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 29059 ผลการจัดอันดับกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
Ford
อสุรผัด
*
ตอบ: 1


 เมื่อ 14 พ.ย. 07, 21:04

บทแปลจาก http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=472984
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ  http://www.forbes.com/2007/08/30/worlds-richest-royals-biz-royals07-cx_lk_0830royalintro.html
และ http://members.forbes.com/forbes/2007/0917/054.html;jsessionid=abciNYQ-3cP4pf6Yoj_yr?token=MTQgTm92IDIwMDcgMTI6MzE6NTUgKzAwMDA%3D

ฟอร์บส์แม็กกาซีนจัดอันดับทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ 1-15 ของโลกมูลค่ารวม 95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ทรงติดอันดับ 5 ขณะที่สุลต่านบรูไน ทรงครองแชมป์รวยสุด 22 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วยสุลต่านตะวันออกกลาง “ยูเออี-ซาอุฯ-ดูไบ” ผู้ร่ำรวยด้วยบ่อน้ำมัน ด้านควีนส์เอลิซาเบธรั้งอันดับ 11 ส่วนกษัตริย์สเปนและญี่ปุ่นไม่ติดสำรวจ

เมื่อวันที่ 26 ก.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนิตยสารฟอร์บส์ ฉบับวันที่ 30 ส.ค. 2007 ได้เผยแพร่รายงานประจำปี 2007 ถึงการจัดอันดับพระมหากษัตริย์ในหัวข้อ พระมหากษัตริย์ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก (The World"s Richest Royals) สำรวจโดย 2 ผู้สื่อข่าว "เดวอน เพนเดิลตัน และทาเทียน่า เซอร์ราฟิน" (Devon Pendleton, Tatiana Serafin) โดยในเนื้อหาเริ่มกล่าวถึงพระราชินี 2 พระองค์ก่อนว่าเป็นผู้ปกครองประเทศที่ร่ำรวยติดอันดับในการจัดประจำปีนี้คือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งประเทศอังกฤษ ทรงมีทรัพย์สิน 600 ล้านดอลลาร์ อีกพระองค์คือราชินีบีทริกซ์ แห่ง ประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้วยทรัพย์สิน 300 ล้านดอลลาร์

สำหรับกษัตริย์ผู้ทรงร่ำรวยอันดับแรก คือ สุลต่านแห่งประเทศบรูไน ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 22 พันล้านดอลลาร์ หรือมีมากกว่า 36 เท่าของควีนส์ เอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งสุลต่านบรูไนพระองค์นี้ ทรงปกครองประเทศติดต่อกันมา 40 ปี โดยราชวงศ์ของพระองค์ยืนยาวนานมา 600 ปี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พร้อมกันนี้นิตยสารฟอร์บส์ยังกล่าวถึงกษัตริย์เอเชียพระองค์หนึ่ง ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แห่งประเทศไทยด้วย

ขณะที่กษัตริย์ที่มีพระชนมพรรษาน้อยที่สุด คือ กษัตริย์มัสวาติที่ 2 แห่งประเทศสวาซิ แลนด์ ทรงมีพระชนมพรรษา 39 พรรษา พระองค์ถือครองทรัพย์สมบัติประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ และเป็นที่ทราบกันว่าทุกปีพระองค์จะทรงเลือกพระมเหสีองค์ใหม่ เช่นเมื่อปีที่แล้วก็ทรงให้สตรี 2 หมื่นคนที่ยังเป็นสาวบริสุทธิ์มายืนเรียงแถวเพื่อทรงเลือก แต่โดยรวมแล้ว พระองค์มีมเหสี 13 องค์ แต่ละองค์จะสร้างวังให้อยู่ ไม่ปะปนกัน ส่วนกษัตริย์ที่ยังโสดคือเจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก พระองค์ทรงได้รับฉายาว่า "เจ้าชายเพลย์บอย" ทรงครองอาณาจักรโมนาโก ซึ่งมีพื้นที่ขนาดเท่าสวนสาธารณะเซ็นทรัลปาร์ก ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทรงสืบราชสมบัติต่อจากพระบิดาที่สวรรคตในปี 2005

"ฟอร์บส์" รายงานด้วยว่ากษัตริย์ผู้ไม่มีดินแดนครอบครองคือ อากา ข่าน (the Aga Kahn) ถือเป็นผู้นำจิตวิญญาณของชาวมุสลิม ประเทศอิสไมลี (Ismaili) ประมาณ 15 ล้านคน และเมื่อเร็ว ๆ นี้ พระองค์ทรงหย่าขาดจากมเหสีองค์ที่ 2 โดยเมื่อครั้งหย่าจากพระมเหสีองค์แรก พระองค์ต้องทรงจ่ายค่าเลี้ยงดู 20 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังพบว่ากษัตริย์แห่งสเปน และกษัตริย์ญี่ปุ่นถูกตัดออกจากรายพระนาม เพราะไม่ติดอยู่ในอันดับ 1-15 อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากษัตริย์ในรายพระนามจะทรงร่ำรวยแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นอัครมหาเศรษฐีของโลกในความหมายของนิตยสารฟอร์บส์ เพราะเมื่อรวมราชสมบัติ ของกษัตริย์ 15 พระองค์ ทรงมีทั้งสิ้น 95 พันล้านดอลลาร์ เทียบได้กับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP-the Gross Domestic Product) ของประเทศชิลีและประเทศนิวซีแลนด์รวมกัน

สำหรับอันดับทรัพย์สินของกษัตริย์ 1-15 นิตยสารฟอร์บส์เรียงลำดับดังนี้

อันดับ 1 สุลต่านฮัจยี ฮาสซานาล โบลเกียห์ สุลต่านแห่งบรูไน พระชนมพรรษา 61 พรรษา มีทรัพย์สิน 22 พันล้านดอลลาร์ ขึ้นครองราชย์เป็นสุลต่านองค์ที่ 29 แห่งราชวงศ์บรูไนเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา ทรงรับมรดกตกทอดจากราชวงศ์ที่มีอายุยืนนานมา 600 ปี ทรงเป็นนายกรัฐมนตรี, รมว.กลาโหม, รมว.คลัง และผู้นำศาสนาด้วยพระองค์เอง ประเทศนี้มีน้ำมันและแหล่งแก๊สธรรมชาติ, สะสมเพชรนิลจินดาระดับเยี่ยม พระองค์ทรงเป็นนักกีฬาโปโลด้วย

อันดับ 2 ชีค คาลิฟา บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน พระชนมพรรษา 59 พรรษา ประธานา ธิบดีประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีทรัพย์สมบัติ 21 พันล้านดอลลาร์ ทรงครองนครอาบู ดาบี ซึ่งกำลังทำเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมของตะวัน ออกกลาง

อันดับ 3 กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุลลาซีซ์ กษัตริย์ประเทศซาอุดีอาระเบีย พระชนมพรรษา 83 พรรษา ทรงมีทรัพย์สิน 19 พันล้านดอลลาร์ ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ปี 2005 จากนั้นทรงเริ่มก่อสร้างเมืองมูลค่า 26 พันล้านดอลลาร์ กล่าวกันว่าพระองค์ทรงอนุรักษนิยมมากกว่ากษัตริย์ฟาห์ด พี่ชายผู้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ปัจจุบันทรงชอบเพาะพันธุ์ม้าอาราเบียน ทรงสร้างหอสมุดที่ซาอุดีอาระเบีย และที่โมร็อกโก

อันดับ 4 ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชฮิด อัล มากตูม พระชนมพรรษา 57 พรรษา เจ้าผู้ครองนครดูไบ มีทรัพย์สมบัติมูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์ ทรงเป็นซีอีโอของ Dubai Inc.ทรงร่วมทรัพย์สมบัติกับพี่น้องอีก 2 พระองค์ เมื่อเร็ว ๆ นี้เข้าไปซื้อหุ้นธนาคารเอชเอสบีซี และธนาคารดัตช์ เสนอซื้อกิจการห้างสรรพสินค้า ชื่อบาร์เนย์ ที่นครนิวยอร์ก และยังประกาศเงินบริจาค 10 พันล้านดอลลาร์ เพื่อจัดตั้งกองทุนการศึกษาตะวันออกกลาง

อันดับ 5 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย พระชนมพรรษา 79 พรรษา ทรงมีทรัพย์สิน 5 พันล้านดอลลาร์ ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ประสูติในสหรัฐ ทรงได้รับการศึกษาจากสวิส สถาบันกษัตริย์มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่เป็นหน่วยลงทุน และจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ทรงเป็นกษัตริย์ด้าน สิ่งแวดล้อม อาทิ พระราชพาหนะจะแล่นด้วยน้ำมันปาล์ม เป็นต้น

อันดับ 6 เจ้าชายฮานส์-อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์ พระชนมพรรษา 62 พรรษา มีทรัพย์ สิน 4.5 พันล้านดอลลาร์ พระองค์ทรงรับมรดกตกทอดมาจากราชวงศ์ที่ยืนยาวกว่า 900 ปี ทรงเป็นนักสะสมศิลปะ 4 ศตวรรษ มีธนาคารเป็นของพระองค์เองคือแอลจีที แบงก์ ทรงมีอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทในสหรัฐที่ผลิตข้าวอินทรีย์คือไม่ใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ใด ๆ

อันดับ 7 กษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 4 แห่งโมร็อกโก พระชนมพรรษา 44 พรรษา มีทรัพย์สิน 2 พันล้านดอลลาร์ ทรงได้รับฉายาว่า "กษัตริย์แห่งคนจน" พระองค์พยายามที่จะให้ประชาชนของตนพ้นจากความยากจน และคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก

อันดับ 8 เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก พระชนมพรรษา 49 พรรษา มีทรัพย์สิน 1.2 พันล้านดอลลาร์ ทรงเป็นโสด ปกครองโมนาโก เมื่อปี 2005 ต่อจากพระราชบิดา เจ้าชายอัลเบิร์ต ทรงมีอสังหาริมทรัพย์ และมีหุ้นอยู่ในมอนติคาโล กาสิโน เป็นพระราชโอรสของเจ้าชายอัลเบิร์ต และเจ้าหญิงเกรซ อดีตดาราหนังฮอลลีวู้ดที่สิ้นพระชนม์ไปเมื่อ 25 ปีที่แล้ว

อันดับ 9 ชีค ฮามาด บิน คาลิฟา อัล ทานิ เจ้าผู้ครองแคว้นกาตาร์ มีพระชนมพรรษา 55 พรรษา ทรัพย์สมบัติ 1 พันล้านดอลลาร์ ทรงยึดอำนาจจากพระราชบิดาโดยไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 1995 เป็นผู้นิยมในด้านการกีฬา เช่น รับเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ตลอดจนเป็นผู้สนับสนุนสถานีวิทยุกระจายเสียงอัล จาซีรา รวมทั้งสถานีวิทยุภาคภาษาอังกฤษชื่อเดียวกันด้วย

อันดับ 10 เจ้าชายคาริม อัล ฮุสซีนี มีพระชนมพรรษา 70 พรรษา มีทรัพย์สมบัติ 1 พันล้านดอลลาร์ ครองราชสมบัติครบ 50 ปี ในประเทศอิสไมลี ที่มีประชากรมุสลิม 15 ล้านคน มีธุรกิจตั้งแต่ฝรั่งเศสถึงสวิส ทรงชอบเลี้ยง และเพาะพันธุ์ม้า

อันดับ 11 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ พระชนมพรรษา 81 พรรษา ทรงมีทรัพย์สิน 600 ล้านดอลลาร์

อันดับ 12 ชีค ซาบาห์ อัล ซาห์บา เจ้าผู้ครองประเทศคูเวต พระชนมพรรษา 78 พรรษา ทรงมีทรัพย์สิน 500 ล้านดอลลาร์

อันดับ 13 สุลต่านคาบูส์ บิน ซาอิด แห่งโอมาน พระชนมพรรษา 66 พรรษา มีทรัพย์สมบัติ 500 ล้านดอลลาร์

อันดับ 14 พระราชินีบีทริกซ์ วิลเฮม มินา อาร์มการ์ด แห่งเนเธอร์แลนด์ พระชนม พรรษา 69 พรรษา ทรัพย์สมบัติ 300 ล้านดอลลาร์

และอันดับ 15 กษัตริย์มัสวาติ ที่ 2 แห่งสวาซิแลนด์ พระชนมพรรษา 39 พรรษา ทรัพย์สมบัติ 200 ล้านดอลลาร์.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 14 พ.ย. 07, 21:21

ดิฉันไม่ทราบว่านิตยสารที่ว่าเขาวัดทรัพย์สินกันยังไง   และเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ขออธิบายว่า   สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถ้านิตยสารที่ว่าเอาไปปนเป็นเรื่องเดียวกัน  ก็เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด น่าจะแก้ไขให้ถูกต้อง

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (Crown Property Bureau หรือย่อว่า CPB) เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามความใน พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 เดิมมีฐานะเป็นหน่วยงานราชการ สังกัดกระทรวงการคลัง และได้ยกฐานะขึ้นเป็นนิติบุคคลเมื่อปี พ.ศ. 2491 มีหน้าที่ดูแลรักษา และบริหารทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่กำหนดให้แยกต่างหากจาก ทรัพย์สินส่วนพระองค์ (เช่น วังสระปทุม ที่ทรงได้รับสืบทอดมาจากพระราชบิดา) ซึ่งดูแลโดย สำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (เช่น พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน) ซึ่งอยู่ในความดูแลของ สำนักพระราชวัง

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในความดูแลของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้รับการยกเว้นภาษีอากรเช่นเดียวกับ ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 ในขณะที่ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ในความดูแลของสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีอากร

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีทรัพย์สินในความดูแลเป็นที่ดินกว่า 54 ตารางกิโลเมตรในกรุงเทพ และ 160 ตารางกิโลเมตรในต่างจังหวัด โดยทำสัญญาให้เช่าแก่หน่วยงานราชการ องค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไปรวมประมาณ 36,000 สัญญา นอกจากนี้ยังมี หลักทรัพย์ลงทุน ใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นใน 3 บริษัทหลักคือ ปูนซิเมนต์ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และเทเวศประกันภัย
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ย้ายที่ทำการมาแล้ว 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2489 ย้ายมาอยู่ที่ "วังลดาวัลย์" หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วังแดง" ตั้งอยู่เลขที่ 173 ถนนราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร อาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แห่งนี้ ได้รับรางวัล อาคารอนุรักษ์ดีเด่น (Architectural Conservation Awards) ประจำปี พ.ศ. 2525 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์
บันทึกการเข้า
elvisbhu
แขกเรือน
พาลี
****
ตอบ: 215

เป็นคนเขียนรูป


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 14 พ.ย. 07, 21:57

เพื่อนฝรั่งผมอยู่เมืองไทยสิบปีเคยถามผมว่า คิงยูน่ะ Is he rich?
 ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 14 พ.ย. 07, 23:58

ขั้นต้นขอแจ้งก่อนว่าผมขอแบนล็อกอินของคุณ Ford เนื่องจากมีเจตนาปกปิดตัวตนไม่ให้ติดตามตรวจสอบได้
ที่นี่เราคุยกันบนหลักการด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกคนถึงไม่ได้ประกาศชื่อนามสกุลจริง แต่ก็พร้อมที่จะให้ตรวจสอบตัวตน พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อความคิดเห็นของตนเองเสมอ

หากคุณ Ford ต้องการเข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยบริสุทธิ์ใจ กรุณาสมัครสมาชิกใหม่ และเข้ามาเยือนเรือนไทยอย่างสง่าผ่าเผย ลับๆล่อๆอย่างนี้เราไม่ต้อนรับครับ

จากปริมาณทรัพย์สินที่ฟอร์บส์ยกมา เห็นได้ว่าฟอร์บส์จัดอันดับโดยนำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปคิดคำนวณ และดูเหมือนว่าจะรวมทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน(เช่นพระบรมมหาราชวัง)เข้าไปด้วย

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าในหลวงของเรา เป็น "บุคคล" ที่ร่ำรวยเป็นอันดับ ๕ ในบรรดาพระมหากษัตริย์ทั่วโลก ก็ถือว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก เพราะทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นแยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตามกฎหมายที่สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ http://www.crownproperty.or.th/history.php

ผมอ่านแล้วสรุปความได้ว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คือทรัพย์สินของชาติ นั่นคือของประชาชนคนไทยทุกคน ทรัพย์สินเหล่านี้ดูแลโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์คือนั้นเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลที่สามารถสืบทอดไปยังพระราชทายาทได้ โดยทรัพย์สินในส่วนนี้ต้องเสียภาษีตามปกติ เช่นเดียวกับประชาชนคนไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีกฎหมายระบุเงื่อนไขการได้มาของทรัพย์สินส่วนพระองค์เอาไว้อย่างชัดเจน

เรื่องอย่างนี้ประชาชนคนไทยสามารถหาอ่านได้ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อน และมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว น่าเสียดายที่เว็บไซต์ที่อ้างว่าเป็นสื่ออิสระ นำเรื่องนี้มาลงโดยหลีกเลี่ยงที่จะชี้แจงประเด็นที่สับสนนี้ในข่าว และยังกีดกั้นไม่ให้มีการแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ด้วย

ที่สำคัญคือเนื้อหาภาษาไทยที่นำเสนอนี้ ดูเหมือนจะแปลจากฟอร์บส์ โดยดัดแปลงเพียงเพิ่มคำโปรยในส่วนที่ว่า "ในหลวงของเราเป็นพระราชาที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 5..." และตัดข้อความ "Keep in mind that the wealth of the royals is often shared with extended families and can represent money that is controlled by them in trust for their nation or territory." ออกไป

กรณีประเทศไทย ใกล้เคียงกับส่วนที่ว่าเป็น "money that is controlled by them in trust for their nation or territory" ทั้งนี้พระมหากษัตริย์เข้าไปมีส่วนตรงนี้ในทางอ้อม กล่าวคือทรงแต่งตั้งกรรมการของสำนักงานทรัพย์สินฯ ในขณะที่ประธานกรรมการนั้นจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้โดยอัตโนมัติ

การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิทธิเสรีภาพของทุกคน แต่การบิดเบือนชี้นำโดยการพูดความจริงไม่หมดนั้นคนละเรื่องครับ

น่าจะเลิกนำเรื่องสถาบันมาใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจทางการเมืองได้แล้ว นอกจากเป็นการดูถูกประชาชนคนไทยแล้วยังเป็นการดูถูกตนเองด้วย พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่พฤติกรรมของผู้ที่จะนำประชาธิปไตยที่แท้จริงมาสู่บ้านเมืองของเราอย่างที่ท่านกล่าวอ้างเลยนะครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
UP
แขกเรือน
องคต
*****
ตอบ: 516


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 15 พ.ย. 07, 05:04

ลองนับดูว่าในโลกนี้ยังเหลือประเทศที่มีพระมหากษัตริย์อยู่กี่ประเทศ แล้วก็จะไม่ได้รู้สึกแปลกใจ อันดับ ๕ จาก ๒๐ กว่าๆ นี่ไม่ใช่ของแปลกสักนิด

ต้องย้ำอีกหนว่า ทรัพย์สิน "ส่วนพระมหากษัตริย์" ไม่ใช่ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" ซึ่งหน่วยงานอีกหน่วย ได้แก่ สำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์เป็นผู้ดูแล

ส่วนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของสถาบัน ทรัพย์สินเหล่านี้ "ไม่เป็นกรรมสิทธิ์" ในพระปรมาภิไธย มีทั้งเงิน หุ้น และอสังหาริมทรัพย์ สะสมพอกพูนมาตั้งแต่อดีตรัชกาล ไม่ใช่ว่าจะทรงหามาได้ในรัชสมัยนี้สมัยเดียว และการลงทุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ล้วนแต่กระทำลงไปตามมติของผู้บริหารสำนักงานเพื่อให้เกิดประโยชน์เป็นดอกผลเข้ามาสมทบสะสมไว้ การจำหน่ายจ่ายโอนอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่สามารถจะทรงทำได้ตามพระราชอัธยาศัย หากแต่ต้องออกเป็นกฏบัตรกฎหมาย เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินของส่วนพระองค์เอง ในเวลาเดียวกัน คุณลองคิดดูถึงธรรมชาติของการมีทรัพย์ ในเมื่อมีทรัพย์อยู่แล้ว จะปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ให้มลายหายสูญไปเล่นๆ ไม่คิดจะให้งอกเงยเพิ่มเติมขึ้นมากระนั้นหรือ ใครจะฉลาดน้อยเช่นนั้นก็ตามใจ

ผมก็ไม่เข้าใจกระแสบางกระแสนัก ที่อยากเสียจริง ให้พระมหากษัตริย์ต้องกระเบียดกระเสียรซอมซ่อ ลองนึกดูว่าเวลามีแขกบ้านแขกเมือง หรือการจัดงานต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เป็นเกียรติยศของแผ่นดิน ไม่นับถึงผลพลอยได้ทางการท่องเที่ยว จะต้องใช้สตุ้งสตางค์มากเพียงไร ถ้าหากว่าสถาบันอยู่อย่างยากจนข้นแค้น จะรับแขก หรือจัดงาน ให้ยิ่งใหญ่เป็นเกียรติยศแก่แผ่นดินได้หรือ หรือหลายคนอาจไม่เคยรู้หรือไม่เคยแม้จะฟังข่าวกระมัง ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อโครงการช่วยเหลือราษฎรต่างๆ อย่างไร

ฉะนั้น ผมไม่เดือดร้อนอะไรหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงติดอันดับเช่นว่านั้นจริง เพียงแต่ผมไม่ใคร่จะสบายใจที่เห็นใครหลายๆ คน ยกเรื่องเหล่านี้มาพูดขึ้นเพื่อกระบวนการบางอย่างที่แอบแฝงอยู่ในความคิดไม่ว่าโดยเล็งเห็นผล หรือประสงค์ต่อผล
บันทึกการเข้า
elvisbhu
แขกเรือน
พาลี
****
ตอบ: 215

เป็นคนเขียนรูป


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 15 พ.ย. 07, 08:05

ผมจำได้ว่า นิตยสารนี้ จัดอันดับความร่ำรวยของคนสามัญกันทุกปี รวมถึงคิงและควีน และผู้ที่ติดโผ ก็มักจะเป็นหน้าเดิมๆ ผมไม่ทราบว่าเราควรจะใส่ใจเรื่องแบบนี้ไปทำไม โดยที่รู้ว่าข้อมูลเผินๆเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องจริง
บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 15 พ.ย. 07, 11:33

ตอนดิฉันทำงานโฆษณา ได้นิตยสารนี้ประจำ ไม่ต้องซื้อ และอ่านเทียบกับฟอร์จูนตลอด ที่จริงฟอร์จูนทั่วโลกขายดีกว่ามาก เรามีโพรเจ็คบางโพรเจ็คที่จะต้องลงโฆษณาในนิตยสารหนึ่งในสองนี้
เขาจัดอันดับความล่ำซำของทั้งบุคคล และธุรกิจ รวมถึงองค์กรใหญ่ๆอย่างเช่นปตท.
แข่งกันว่า ข้อมูลใครเจ๋งกว่ากัน
และแข่งกันหาโฆษณา
หน้าหนึ่งเป็นแสนๆ รัฐบาลที่มีนายกเป็นเศรษฐีแสนล้าน ลงทุนโปรโมทตัวเองโดยใช้เงินภาษ๊พวกเราออกซีเอ็นเอ็นซึ่งอยู่ในเครือของฟอร์จูนโดยไม่จำเป็นไปหลายครั้ง
ผ่านทางงบททท.บ้าง กรมบางกรมบ้าง
นายกฯบางคน เข้าหาง่ายถ้าคุณมีสื่ออยู่ในมือที่จะโปรโมทเขา ให้สัมภาษณ์ฝรั่งแต่ละที หากหาสาระเป็นแก่นสารที่จะมีผลทางพีอาร์เป็นบวกต่อประเทศชาติไม่ได้ ไม่คุ้มค่าเงินแสนแพงที่ต้องจ่าย ก็ถือว่าสูญเปล่า..
สื่อเป็นของร้อน ที่ว่าแน่ๆ สุดท้าย มาตายน้ำตื้นเพราะไอ้รายการเรียลิตี้โชว์ที่บ้านเรานี่เอง..
บันทึกการเข้า
Package
มัจฉานุ
**
ตอบ: 55


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 09 ธ.ค. 07, 19:29

เป็นความจริงหรอครับคุณกุ้งแห้งเยอรมัน ..
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.085 วินาที กับ 19 คำสั่ง