ขอบคุณ คุณ SILA ครับ
ถ้าข้อมูลดังกล่าวไม่ผิดพลาด เราจะได้รับข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมา และทำให้ความเห็นของอาจารย์เทาชมพูที่เคยบอกว่า
การถ่ายรูปหญิงเปลือยเช่นนี้ น่าจะเป็นรสนิยมฝรั่ง ถูกเผงเลยทีเดียว
ภัณฑารักษ์ของนิทรรศการนี้ คือ Claude Estebe เป็นผู้พบหลักฐานว่า ในปี 1861-1862 มีนักสัตว์ศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Firmin Bocourt
เข้ามาทำการสำรวจในสยาม (เรื่องนี้ ยังไม่พบหลักฐานฝ่ายไทย) เขานำช่างภาพเข้ามาด้วย คือ Pierre Joseph Rossier (1829-1883 หรือ 1898) ชาวสวิส
ดูประวัติในได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Pierre_Rossierหลักฐานเรื่องการเข้ามาของนักสำรวจชุดนี้ คุณคล๊อดพบใน Academie des sciences, Seance du 10 aoet 1863,
cote Y 324, p. 2. (แปลจากฝรั่งเศสได้ความว่า Mr. Bocourt took advantage of the fact that a good artist ((M. Rossier)) was staying
in Bangkok and asked him to make numerous photographs)
แต่ที่คุณคล๊อดระบุในนิทรรศการว่า Rossier เป็นช่างภาพหลวงระหว่าง 1850-1860 นั้นยังน่าสงสัย
เรื่องนี้ต้องหาทางสืบสวนเสียหน่อย
ตามประวัติ เขาเริ่มไปหากินที่อังกฤษราวปี 1855 รับจ้างบริษัท Negretti and Zambra บันทึกรูปสงตรามฝิ่นครั้งที่ 2 ราวปี 1855-57
แต่เดินทางมาไม่ทัน จึงถือโอกาสถ่ายรูปในจีน ญี่ปุ่น ฟิลิบปินส์ และสยาม
(ดูข้อมูลที่นี่
http://en.wikipedia.org/wiki/Negretti_and_Zambra)
ปี 1858 เขาเริ่มถ่ายรูปที่ฮ่องกง ปีรุ่งขึ้น Negretti and Zambra (NZ) พิมพ์รูปถ่ายชุดนี้ 50 รูป มีรูปจากกล้องสองตา (stereographs) รวมอยู่ด้วย
ปีนั้นเองเขาไปถ่ายรูปที่ฟิลิปปินส์ และต่อไปญี่ปุ่น กลายเป็นช่างภาพอาชีพคนแรกที่เข้าประเทศนั้น
เขาเข้าจีนในปี 1860 เพื่อเป็นช่างภาพประจำกองทัพแต่ไม่สำเร็จ ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างจ้างช่างภาพไว้แล้ว
หนึ่งในนั้นคือ Falice Beato (1833/4-1907) ผู้ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพถ่าย
เมื่อผิดหวังจากจีน Rossier กลับมาหากินที่ญี่ปุ่น และกลายเป็นบิดาแห่งการถ่ายรูปของประเทศนั้น เขารับสอนคนญี่ปุ่นหลายคน
ให้กลายเป็นช่างภาพ น่าแปลกใจที่เขาถูกเรียกว่า "คนอังกฤษ" บางทีอาจเพราะเป็นลูกจ้างบริษัทอังกฤษ และคงจะใช้ภาษานี้ด้วยกระมัง
ประเด็นนี้อาจจะไขความลับในพระราชสาส์นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฉบับหนึ่งได้
ปี 1861 เขารับงานบันทึกภาพให้กับ Marie Firmin Bocourt (1819 - 1904) นักสัตว์ศาสตร์ ที่ทำงานในสยามระหว่าง 1861-3
http://en.wikipedia.org/wiki/Marie_Firmin_Bocourtแต่ Rossier อยู๋ในสยามเพียงหนึ่งปี เพราะต้นปี 1862 เขาก็ขายทรัพย์สินทั้งหมดที่ญี่ปุ่น แล้วกลับไปหากินที่บ้านเกิด
ปีนั้นเอง NZ ก็พิมพ์รูปถ่ายชุดแรกของสยามออกจำหน่าย
ในพระราชสาส์นถึงพระราชินีวิคตอเรีย ตอบรับเครื่องราชบรรณาการที่แฮรี่ ปาร์กทำตกน้ำที่สิงคโปร์
พระจอมเกล้าทรงเล่าว่า กล้องถ่ายรูปนั้น ต้องรอซ่อมนาน จนได้กงศุลอังกฤษ พาชาวสวิสเดนและสุภาพบุรุษชาวอังกฤษมาให้คำแนะนำ จึงใช้การได้
น่าสังเกตว่า ทรงเอ่ยถึงบุคคลสองคน หนึ่งในนั้น จะเป็น Rossier ได้หรือไม่
ปาร์คส์เข้ามาเดือนมีนาคม 2398 อีกปีเศษคือเดือนกรกฏาคม 2400 คณะฑูตชุดพระยามนตรีสุริยวงศ์ ก็ออกเดินทางจากประเทศไทย
เชิญพระบรมสาทิศฉายาลักษณ์หลายพระองค์ออกไป แต่เป็นรูปชนิดแผ่นเงิน daguerreotype แต่กล้องที่จมน้ำเป็นชนิดกระจกเปียก
เพราะเมื่อซ่อมเสร็จ ทรงส่งออกไปถวายพระราชินีเพื่อขอบพระทัยพร้อมคณะฑูตชุดไปฝรั่งเศส 2403
ช่วงเวลา 2398-2403 เทียบคศ. ตรงกับ 1855-1860 เป็นไปได้หรือไม่ที่ Rossier จะเข้ามาเป็นผู้ให้คำแนะนำการซ่อมกล้อง
เราต้องการข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ ในการตัดสินใจเพราะการนับวันในครั้งนั้นออกจะลักหลั่นกันบางทีผิดไปถึงหนึ่งปี
เพราะการเปลี่ยนระบบปฎิทินในสมัยจอมพลป.
ทีนี้ ก็มาถึงปัญหาสำคัญละครับ ว่า มูโอต์ เจอกับโรสิเย่ร์ได้อย่างไร
มูโฮต์เข้ามาสำรวจ 1858-1860 เสียชีวิตเมื่อ 1861 เราคงเห็นอย่างง่ายๆละ ว่าคู่นี้ ไม่น่าจะเจอกัน
เรื่องนี้มีประเด็นให้ศึกษาต่ออีกแยะครับ