เห็นความคิดเห็นที่ 85 ของคุณพิพัฒนืแล้วเกิดอาการ "คัน" ขึ้นมาอย่างแรง
(ที่จริงแสบไปหมดทั้งตัวมากกว่า คิคิ)
ผมเป็นคนนึงครับ ที่เรียนมาในสายใกล้ๆกับคุณหมอ
(ถึงจะเรียนน้อยกว่าอยู่หลายปีก็เถอะครับ)
และจบมาแล้วก็ตัดสินใจ "เลือก" ที่จะไม่เข้าทำงานในโรงพยาบาลเหมือนกัน
อยากเล่าซักนิด ว่าเพื่อนหมอหลายคนของผมก็บ่น "ไม่อยากเป็นหมอแล้ว" สังคมมันสกปรก
เพื่อนคนหนึ่งที่สู้อุตส่าห์เรียนวิชาปรุงยามา 5 ปี
ก็ไปให้พี่สาวเช่าใบประกอบวิชาชีพเปิดร้านขายยา
ส่วนตัวมันเองนู่นครับ..... ไปนั่งเฝ้าร้านอินเตอร์เนตอยู่ข้างๆร้านขายยาแทน
เพื่อนทุกคนก็ต่อว่ามัน แต่มันกลับว่า "ดีสิ พี่กูมีปัญหาเมื่อไหร่ก็เรียกกูไปช่วยได้"

..... เออ เอากับมัน
เพื่อนที่เรียนวิชาตรวจเลือด วิเคราะห์เชื้อ ตรวจฉี่ ดูภาพถ่ายรังสี.... ไปเป็นเซลล์เกือบครึ่งคณะ
ระบบงานในโรงพยาบาลไทยน่ะ เหนื่อยนะครับ
แต่เหนื่อยแค่ไหนน่ะ ไม่มีใครเคยว่าเพราะรู้ตัวว่าเอาภาษีประชาชนมาเรียน
ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่เวลาไม่มี บุคลากรไม่พอ
แต่คนไข้นับร้อยดันมาออกันอยู่หน้าห้องตรวจ
จน "หมอไม่มีเวลาตรวจละเอียด" เสียแล้ว.....
ถ้าใครซักคนไม่เคยทำงานในโรงพยาบาล.... คงเข้าใจลำบากน่ะครับ
ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัวของผมซักเรื่องดีกว่า
ครั้งหนึ่ง ผมเคยเข้าฝึกงานในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง
เอ๊า..... เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย (พูดมากไปป่าวหว่า

)
คุณหมอก็ส่งคนไข้อาการ "ปวดเจ็บบริเวณใต้ตาตุ่มในข้างซ้าย เวลาลงน้ำหนัก" มา 1 คน
แกวินิจฉัยว่าคุณป้าป่วยเป็น "โรคพังผืดที่ฝ่าเท้าอักเสบ" แล้วก็สั่งให้การรักษาที่ฝ่าเท้ามาสองสามอย่าง
ครั้งแรก ผมก็ตามใจหมอไป (เพราะติดคนไข้คนอื่นอยู่ ไม่มีเวลาตรวจครับ แหะๆ)
แต่รักษาไปแล้วก็ได้แต่กลับมาบ้านนั่งคิดนอนคิด
คิดว่าไอ้พังผืดที่ว่านี่ มันวางตัวจากส้นเท้าไปโคนนิ้วเท้านิ
แล้วถ้ามันอักเสบขึ้นมา......... ทำไมไปเจ็บข้างๆตาตุ่มในอ่ะ ?
ครั้งที่ 2 ที่เจอคนไข้ผมก็เลยจับตรวจใหม่ตั้งแต่เอวยันเท้า
พบว่าคนไข้มีอาการปวดร้าวที่หลัง..... ก็เลยลองรักษาที่หลังดูก่อน
เว้นที่เท้าไว้ซักหน่อย ถ้ามันไม่หายค่อยมารักษาตามเดิม
รักษาเสร็จก็ขอให้คุณป้าลงจากเตียงมาลองเดินดูหน่อย
(ก็คนมันอยากรู้อ่ะคับ ว่าอาการคุณป้าจะเป็นไงมั่ง)
หลังจากลงจากเตียงได้คนไข้บอกว่า "อาการดีขึ้นค่ะ"
"ป้าไม่ปวดๆตึงๆเหมือนเวลาลงจากเตียงเมื่อตอนเช้าแล้วค่ะ"
ผมก็เลยขอให้คุณป้าลองย่ำเท้าดูสักสามสี่ที ย่ำเสร็จ
คุณป้าก็เงยหน้าขึ้นเอียงคอมองผม พร้อมกับบอกว่า "ไม่ปวดแล้วค่ะ"
แล้วก็ทำเกินคำสั่งโดยกระทืบเท้าติดกันอีกหลายทีตามมา
ทำเสร็จก็เงยหน้าเอียงคอเหมือนเดิมพูดกับผมอีกว่า "นี่ก็ไม่ปวดค่ะ ดีจัง"
สรุปว่าที่คุณหมอวินิจฉัยมา กับการรักษาทั้งชุดนั่น...... ยกไปนะครับ
เอาล่ะ ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ ไม่ได้อยากบอกว่าเด็กใหม่มันเก่งกว่า หรือว่าหมอห่วยนะครับ
แต่อยากบอกคุณพิพัฒน์ว่า ทุกคนในเรื่อง "น่าสงสาร" ครับ
หมอก็น่าสงสาร ที่ต้องดูแลคนไข้เกือบร้อยคนในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง
นักกายภาพบำบัดก็น่าสงสาร ที่ต้องออกแรงรักษาคนไข้สามสี่สิบคนในเวลา 4 ชั่วโมง (อีกเหมือนกัน)
ส่วนนักศึกษา.... คุณพิพัฒน์ลองนึกดูนะครับ ว่าถ้าอาจารย์ หรือหมอมาเจอว่าผมรักษาไม่ตรงกับวิธีที่เขาสั่งลงมา........ อะไรจะเกิดขึ้น
หรือถ้ารักษาไปตามที่คุณหมอสั่งมา...... คนไข้จะหายไหมครับ ?
แล้วไอ้การฝึกงานที่โรงพยาบาลนี้ที่เดียว ผมเจอคนไข้ที่หมอตรวจผิดมา 4 ราย จาก 12 คนที่ได้รักษา
คงไม่ต้องถามแล้วนะครับ ว่าคนไข้จะน่าสงสารมั้ยครับ ?
ระบบการทำงานในโรงพยาบาลยังมีปัญหาอยู่มากครับ
หมอบางคนก็เลยทนกับการทำงานในสภาพแบบนี้ไม่ไหว
ยิ่งช่วงหลังมานี่ โรงพยาบาลต้องควบคุมึณภาพ ต้องมี "ไอ้โซ่" มาล่ามอีก
งานบริหารก็มากขึ้น งานวอร์ดก็ต้องทำ.... หลายคนก็ต่อสู้กับงานที่มีไม่ไหว
เขาก็อยากลาออกเป็นธรรมดา........ แต่ลาออกมา หมอจะทำอะไรกิน ?
หมอเด็ก หมอหูตาคอจมูก หมออายุรกรรม คงพอเปิดคลินิกได้
แต่ไอ้หมอดมยา หมอรังสี หมอกระดูก และอีกหลายๆหมอ เขาถูกวิชาชีพมัดมือตีนครับ
เวลาเรียนก็ทุ่มสุดตัว จะนอน จะหาแฟน ยังไม่รู้จะมีเวลาหรือเปล่า
จะเอาเวลาไปใส่ใจทำงานอดิเรกไว้เผื่อเป็นทางเลือกหลังลาออก.... จะมีหรือ ?
แล้วไอ้วิชาชีพที่เขาทุ่มเทมา มันก็ดันฝากศักดิ์ศรีไว้บนบ่าเสียหนักอึ้ง
จะให้ไปสมัครงานเป็นพนักงานบริษัท ใส่สูทผูกไทค์ กินเงินเดือนหมื่นห้า...... ฝันไปเถอะว่าหมอจะทำ
หมอจำนวนหนึ่งที่ลาออกมาก็เลยไปขายสินค้าขายตรงที่อิมปอร์ตมาเหมือนที่คุณพิพัฒน์ว่าน่ะแหละครับ....
แล้วก็อ้างกับตัวเองว่า "ดีกว่าไปเป็นลูกน้องเขา" คนมันทำได้แค่นั้นจริงๆครับ อย่าไปว่าเขาเลยนะครับ
เฮ่อ...... ขี้เกียจพิมพ์แล้ว..... เหนื่อยครับ
ปล. สำหรับผม ผมยังทำงานตามวิชาชีพที่เรียนมาอยู่ครับ
แต่รับทำเป็นรายๆไป (ใครอ่านมาถึงตรงนี้จะชี้หน้าด่าว่าเลือกคนไข้ก็ไม่ว่าครับ)
เพราะบอกตามตรง ว่าวิชาชีพที่ผมประกอบอยู่
ถ้าคนไข้ไม่ได้ "ไว้ใจ" หรือ "ศรัทธา" ในตัวผู้ให้การรักษาแล้วหมดสิทธิ์หายไป 50% ครับ
(พูดง่ายๆว่า ถ้าคนรักษาซื้อใจคนไข้ไม่ได้แล้วไม่ต้องรักษาเลยจะดีกว่า.... แต่ปกติผมก็ซื้อได้นะ แหะๆ)
ปล.2 ส่วนเวลาว่างที่เหลือในชีวิตตอนนี้ ผมก็เอามาดูแลคนใกล้ตัวครับ.....
อ่ะแน่..... คดว่าผมเอาเวลาไปหาแฟนล่ะจิ คิคิ
ไม่ใช่หรอกครับ คนใกล้ตัวพวกนี้หลายคนไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรู้จักคุ้นเคยของผมด้วยซ้ำไป
แต่เขาไม่มีเวลาไปต่อคิวรักษาที่โรงพยาบาล ไม่มีเงินพอจะไปรักษาคลินิกนอกเวลา
ผมก็มีแค่แรง แค่วิชาที่ร่ำเรียนมา กับความรู้จากงานวิจัยที่หาอ่านอยู่เสมอๆ...... ก็บอกเขาแค่ว่าถ้าช่วยได้ก็ช่วยครับ
ไม่ว่าเขาจะเป็นแม่บ้านในคอนโดที่ผมอาศัยอยู่ เป็นคุณป้าขายข้าวมันไก่ที่หน้าปากซอย
(หรือจะเป็นคนขี้เมื่อยในบอร์ดก็ได้นะครับ คิคิ)
ขอให้บอกมาเถอะ ว่าอาการเป็นยังไง ถ้าไม่เกินกว่าจะช่วยได้ ผมยินดีช่วยเสอกั๊บป๋ม
ปล.3 พิมพ์มาซะยาวเฟื้อยเลยเรา แหะๆ