เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
อ่าน: 23105 แบกะดินขึ้นห้าง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 12 ต.ค. 07, 20:26

ภาพข้างล่างนี้ได้จาก fw mail ค่ะ  มีคำอธิบายว่าเป็นแฟชั่นมาแรงของญี่ปุ่น ที่กำลังจะไปฮอทที่อเมริกา

เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยที่เปิดเข้ามาอ่านกระทู้นี้ หัวใจวายตายไปเสียก่อน 
ต้องรีบอธิบายว่าที่เห็นนั้นเป็นลายพิมพ์บนเนื้อผ้า ด้านหลังกระโปรง   ไม่ใช่กระโปรงซีทรูนะคะ
ถ้าฮิทในเมืองไทย  คงจะได้เห็นตามห้าง


บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 12 ต.ค. 07, 21:12

ว่าจะไปหาภาพดอกไม้ที่ตั้งชื่อว่า pink princess มาฝากสมาชิกนักพฤกษศาสตร์กัน
แต่ดันไปเจอคุณพูดเดิลนี่ซะก่อน...... เลยไปต่อไม่ออก

เห็นแล้วสงสารหมาอย่างบอกไม่ถูก........ เอามาลงกระทู้นี้ได้มั้ยครับ



.


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 12 ต.ค. 07, 21:22


คุณติบอโพสผิดกระทู้หรือเปล่าคะ
ตัวนี้ คุณBana เห็นแล้ว คงไม่ชอบพอกันกับพูเดิ้ลสีชมพู ยิ้มเท่ห์


บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 12 ต.ค. 07, 21:39

คิตช์อมตะอย่างหนึ่ง เป็นอาการแบบที่คุณบานาแถลงไว้ คือการย้ายชิ้นส่วนจากวัฒนธรรมหนึ่ง มาสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่ง
โดยปราศจากการสนับสนุนด้วยสภาวะที่สอดคล้องกัน
อย่างเช่น เมื่อยี่สิบปีก่อน ฮิตกันจัง บ้านทรงโรมัน....ที่สุขุมวิท 55 มีอยู่หลังหนึ่ง เป็นตัวเริ่มต้น
เจ้าของเป็นนายแบงค์ใหญ่หนวดงามที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สมองใส

หลังจากนั้นก็งอกงามราวเชื้อรา หรือเชื้อเริมก้อม่ายรุ
ถ้าผ่านไปห้าร้อยปี มีการขุดค้นทางโบราณคดีตรงแถวๆ ภาคกลาง ก่อนออกสู่ปากน้ำ
นักโบราณคดีจะต้องงงว่า นี่โรมันแผ่อำนาจมาถึงนี่ด้วยหรือ

นั่นละครับ ปฐมบทแห่งคิตช์

แต่จุดเริ่มต้น มิได้อยู่ที่ซอยทองหล่อนะครับ อยู่ที่ฟิลาเดลเฟียครับ แล้วลุกลามไปวัตชิงตั้น
คืออาคารแบบกรีกเก๊ ที่ตาแย๊คสั้น เปิดสมุดแคตตะล๊อค สร้างเอาๆ
เพราะเขาฝันว่า เขาคือเอเธนส์ยุคใหม่

การที่คนเรา ไม่รักรากเง่าของตน สะเอะอยากได้มรดกวัฒนธรรมของคนอื่น
อันนี้สมควรเรียกว่าอุบาทว์หยาบช้าสามานย์ เห็นจะพอสม
แต่ตัวอย่างของอาจารย์เทาชมพู....เห็นด้วยความปั่นป่วนใจ

อุทานได้คำเดียวว่า...."ร่าน"
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 12 ต.ค. 07, 21:50

แหะๆ... ผมตั้งใจลงกระทู้นี้เองล่ะครับอาจารย์


เพราะแอบรู้สึกว่าคนที่กล้าจับน้องหมามาย้อมสีได้ลงคอนี่ kitsch จนกู่ไม่กลับแล้ว........
ยิ่งหุ่นแบบนี้ ใส่ชุดสีชมพูอีกตะหาก............ ป้าแกช่างกล้าเหลือเกินนะนั่น.....



ปล. พวกที่ชื่นชมการทำมิดีมิร้ายกับสัตว์ (ที่แปลว่าการตัดตรงนู้น หั่นตรงนี้ออกไป)
อย่างน้องปลาแรดตัวนี้ที่ถูกจับฉีดสีเข้าไปใต้เกล็ดเพื่อให้ขายได้ราคา
แบบนี้เรียกว่า kitsch ไหวมั้ยครับ คุณพิพัฒน์



ปล.2 สงสารน้องหมาโบโซ่ของอาจารย์เทาชมพู  ร้องไห้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 12 ต.ค. 07, 21:56

รากเหง้าของวัฒนธรรมอเมริกา มาจากยุโรป    ไม่มีวัฒนธรรมแท้ๆ
ถ้าจะเอาแบบบ้านของแท้ของอเมริกา   ประธานาธิบดีมิต้องสร้างทำเนียบแบบล็อคเคบินของผู้บุกเบิกหรือคะ


บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 12 ต.ค. 07, 22:53

จะรากเง่าจากใหนก็คงสาวกลับไม่ถึงเอเธนส์ในยุคฟิดีแอส PHEIDIAS เป็นแน่แท้
ที่สำคัญ คนกรีก ก็เป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกีดกันในระบบสังคมอเมริกันด้วย

การตู่เอามรดกคนอื่นมาเป็นของตัวนี่ ใครจะคิดยังไงไม่ทราบ แต่ผมรู้สึกผะอืดผะอม
เห็นน้องๆ ปลอมเป็นยี่ปุ่นเดินอาบสายตาประชาชีแล้ว รู้สึกคันครับ
สมัยโบราณ เรามีกฏหมายห้ามทำเทียมเจ้า ปัจจุบันอาจจะต้องออกกฏหมายห้ามทำเทียมแร่ด
นึกถึงว่า แฟนเรา น้องสาวเรา ลูกสาวเรา...และ กึ๋ยยย์ แม่เรา
ใส่ชุดชวนข่มขืนแบบนั้น ไปจ่ายตลาดอตก. โอ้ มันช่างงามหน้าอะไรอย่างนั้น

ถ้าเราอ้างเพียงคำว่าแฟชั่นแล้วทำอะไรก้อได้ ผมก้อจะเปลี่ยนตัวเองไปใช้คราบของพวกที่นี่ดอทคอม
หรือเลวกว่านั้น ไปถึงพวกเอ๊กสะตรีม
เอาภาษาและวิธีคิดอย่างนั้นมาใช้กับเวบวิชาการ และที่อื่นๆ
เมื่อทำได้จริง การศึกษาก้อไม่ต้องมีสิครับ น้องคนที่ทาอยู่นั่นแหละ ยังไม่เสร็จสักที ไม่เห็นเธอทำอะไรเลย
แค่ฉีดหน้าอก ผ่าหน้า ดูดไขมัน แหกปากดิ้นเร่าๆ ไม่เป็นภาษาคน ใครๆก็รักก็หลง บอกว่าโกอินเตอร์
หนังสือหนังหาไม่ต้องเรียน

จะเรียนไปทำไม อุตส่าห์จบตรีจากโรงเรียนช่างมีชื่อ แต่มาทำเกมส์โชว์ รวยเป็นพันล้าน
คบหากับดาราตลกที่จบแค่ป. 4 รวยสะดือบวมไปด้วยกัน
งานที่ทำก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่ออนาคตทางจิตวิญญานของชาติใดๆ ทั้งสิ้น ลอกยี่ปุ่นลูกเดียว
พอรวยแล้ว ทำพิฆเนศศวรปางวิตถาร ก็มีคนแย่งกันซื้อ
คนออกแบบก็ไม่เห็นต้องจบประติมานวิทยาจากสำนักใหน แค่นั่งเดาดวงก็กลายเป็นศาสดาจารย์
อีกหน่อยคงทำพระอิศวรปางเต้นแร๊ป กะนางอุมาปางเต้นแร้ง....เฮ้อ ประเทศอะไรกันนี่

อ้อ ประเทศสหปาลีรัฐนั่นเอง
คิดดูเหอะ ชื่อประเทศยังไม่มีเลย ตั้งมาได้ ประเทศรวมรัฐ แล้วจะมาสอนประเทศอื่นเรื่องสูงๆ
ผมเพิ่งขำกลิ้งเมื่อกี้นี้เอง นายกอร์ได้โนเบลสาขาโรคเรื้อน...เอ้ยไม่ใช่สาขาโลกร้อน
หน็อยแน่ มาเที่ยวสั่งสอนชาวโลกว่า อย่าทำโลกร้อน จนได้รางวัล
แต่ประเทศตัวเอง ไม่ขยับทำอะไรเลยสักแอะ ทั้งที่เป็นตัวการทำโรคเรื้อน เอ้ยโลกร้อน ครึ่งหนึ่ง

จีนทำเขื่อสามผา ก็หาว่าจะทำลายโลก แต่ตัวเองทำเขื่อฮูเว่อร์ อวดอยู่นั่นแหละ ว่าเป็นยอดของงานวิศวกรรม
นายพุ่มไม้บุชนั่นน่ะ ป่านนี้รู้หรือยัง ว่าโลกร้อน ไปถามแก แกจะบอกว่า ร้อนก้อเปิดแอร์ดิ....55555

โอยเหนื่อย
กระโปรงเชิญข่มขืนของอาจารย์ ทำผมสติแตกแล้วคร๊าบบบบบบ.......
บันทึกการเข้า
กุ้งแห้งเยอรมัน
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1573



ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 09:00

ใช่ค่ะ รูปกระโปรงที่อาจารย์นำมาลงง ก็ทำดิฉันอึ้งไปหนึ่งวันเหมือนกัน ที่จริงมีfwd mailทำนองนี้มาอีกบ้าง ได้แต่อึ้งๆๆๆกิมย้ง ว่าขออย่ามาใส่บ้านเราเลย แค่สาวๆใส่สายสปาเกตตี้ ใส่เสื้อแนบเนื้อรัดติ้วส่วนบนไม่เหลือให้จินตนาการเลย สวมกระโปรงและกางเกงต่ำโชว์ขอบกางเกงในและเผยหน้าท้องเหมือนพวกเบลลี่ด้านซเซอร์ ดิฉันก็ถามตัวเองว่า ถ้าเกิดดิฉันเป็นวัยรุ่นสมัยนี้ ตัวเองจะแต่งอย่างนั้นไหม.. และเมื่อเป็นแม่คน เราจะมองเลิกแว่นลูกสาวไหม ที่เห็นเธอออกจากบ้านแต่งแบบนั้น..
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 09:13

อ้าว  รูปกระโปรงที่นำมาลง ไม่ใช่กระโปรงของดิฉันนะคะ  คุณพิพัฒน์ใช้ถ้อยคำน่าหวาดเสียว  ตกใจ

เชื่อไหม  คุณกุ้งแห้ง ดิฉันว่ากระโปรงพวกนี้   ถ้ามาถึงไทย ต้องมีสาวไทยใจถึง กล้านุ่งแน่นอน
แต่อาจจะนุ่งไปเที่ยวกลางคืน  ไม่ใช่เดินห้างตอนกลางวัน
เอ๊ะ หรือไม่แน่  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
pakun2k1d
พาลี
****
ตอบ: 285


ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 09:50

kitschมาแรงเลยนะคะ  ดิฉันไม่ได้เปิดเรือนไทยแค่คืนเดียว postยาวเหยียด  อ่านคุณpipatแล้ว  งานนี้ดิฉันขอขอบคุณค่ะ แรงได้ใจจริง ๆ ดิฉันก็รู้สึกแต่ใช้วีธีบอกเล่าแรง ๆ ไม่เป็นค่ะ  ส่วนกระโปรงที่คุณเทาชมพูนำเสนอ  ดิฉันว่าจะมีให้เห็นเดินเล่นเพ่นพล่านอยู่ที่สยามสแควร์สักวันหนึ่ง  แล้วก็อาจจะมีขายที่จตุจักร หรือร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นในสยามสแควร์นั่นแหละค่ะ 

อยากเล่าค่ะ  มีช่วงหนึ่งดิฉันจะต้องไปทำงานที่สยามสแควร์บ่อย ๆ สิ่งที่เห็นก็คือ  ช่วงเสาร์อาทิตย์  เด็กวัยรุ่น วัยเรียนระดับมัธยมนี่แหละค่ะ  ทั้งหญิงและชาย  แต่ส่วนมากหญิงค่ะ  แต่งตัว So kitsch ล่อตา Modeling มาจับกลุ่มสูบบุหรี่  แล้วบ้วนน้ำลายสร้างความสกปรก เป็นที่รังเกียจของเจ้าของสถานที่อย่างไม่รู้สึกรู้สา จะกระทำการชับไล่อย่างไรก็มาอยู่อย่างนั้น  แต่ถ้าเป็นวันจันทร์-ศุกร์ หลังโรงเรียนเลิกก็จะมีนักเรียนยังแต่งเครื่องแบบ  บางคนก็ใส่เสื้อคลุมทับไม่ให้เห็นเครื่องหมายโรงเรียน  บางคนก็เปลี่ยนเสื้อแต่กางเกงยังนักเรียนอยู่  ซึ่งดิฉันเห็นแล้วค่ะ  ก็ต้องบอกว่า  กลุ่มโรงเรียนใกล้เคียงสยามสแควร์นั่นแหละค่ะ(รู้สึกจะมีรุ่นพี่อยู่ในเว็ปนี่หลายท่านนะคะ)  เหมือนกันค่ะคือจับกลุ่มสูบบุหรี่ แล้วบ้วนน้ำลาย  ไม่รู้วัฒนธรรมนี่มาจากไหน  ดิฉันเพิ่งเคยเห็นรุ่นนี้แหละค่ะ  สูบบุหรี่บ้วนน้ำลาย  เด็ก ๆ ที่ทำดี ใฝ่ดีก็ทำกันไป  ที่หลงทางก็อย่างนี้  ดิฉันยังนึกถามว่า  พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้จะรู้ไหมนี่

ดิฉันว่าเด็กเหล่านี้ได้ความหลงผิดมาตามเหตุที่คุณpipatว่าแหละค่ะ  ไม่เห็นต้องร่ำเรียนอะไรเยอะเลย  พูดจาภาษาไทยชัดมั้ง ไม่ชัดมั้ง แต่งตัวประหลาด ๆ น้อย ๆ ชิ้น ก็มาเป็นพิธีกรรายการวัยรุ่นได้แล้ว
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 11:26

คำบ่นต่อไปนี้ ไม่ใช่คิตช์ แต่อาจจะเลวกว่า....
หลานผม อุตส่าห์เรียนจบรั้วสีชมพู ได้ปริญญาทั้งต่ำและสูงกว่าต่ำ
เพื่อมาขายสบู่กะผงซักฟอก.....กรรม

กลายเป็นว่า ที่เขาเรียนที่ดีๆ ก็เพื่อหาเหยื่อ คือคนที่จะเป็นลูกค้าของเขาในภายภาคหน้า
นี่คือวิกฤตการณ์ของระบบอบรมบ่มนิสัยที่กำลังกัดกินสังคมของเรา
ยังมีที่แย่กว่านั้นอีกครับ
จบหมอมา เพื่อจะมาขายยาลดความอ้วน ขายสบู่และผงซักฟอก...เฮ้อ ....กรรม
นี่หมอพวกนั้นไม่รู้หรือ ว่า เอ็งจบมาเพราะประชาชนออกทุนให้เอ็งเรียน (แม้จะอ้างว่าจ่ายเป็นล้าน ก็ยังไม่พอดอก)
โดยหวังว่า จบแล้ว จะได้คนเก่งมาประกอบอาชีพที่สมเด็จพระราชบิดาเคยเป็นแบบอย่าง
เสียสละจนคนไทยรักหมอเหมือนญาติสนิท เนรคุณจริงๆ ไอ้พวก(เข้า)เวร พวกนี้

ถ้าคุณจะผลาญเงินทองของชาติ เรียนเจ็ดปีเพื่อจะมาขายสบู่ ก็ไปเรียนพานิชยกรรมเสียแต่ต้นเทอะ
เว้นที่ให้คนที่รอแถวอยู่ข้างหลัง แล้วบังเอิญเก็งข้อสอบผิดไปหน่อย เลยสอบไม่ติด ได้เข้ามารับใช้ชาติ
อันวิชาแสนแพงที่พวกท่านจ่ายค่าเรียนแสนถูก ได้ใบประกอบวิชาชีพไป
หากไม่ทำตามวิชาชีพที่ร่ำเรียนมา (ทั้งๆ ที่มีโอกาส เพราะเป็นอาชีพขาดแคลน) ขอให้รู้ว่าท่านเป็นควายที่ชื่อทรพีดีๆ นี่เอง

ยังครับ....ยังมีตัวอย่างน่าสมเพชกว่านี้
ศาสตราจารย์คนหนึ่ง เกษียณปุ๊ป ก็เที่ยวแร่ดไปตามประสา
วันหนึ่งท่านก็กลับมาในมาดใหม่ ....ขายประกันครับ
ท่านก็ขายได้สิ เพราะไปขายลูกศิษย์ มันเกรงใจมันก็ต้องซื้อ
ทีนี้ปัญหาคือ เมื่อลูกค้าเจ็บป่วย ตัวแทนย่อมต้องไปดูแล ทำเรื่องเอกสาร เอาดอกไม้มาเยี่ยม
อุบาทว์ใหมครับท่าน คนแก่อายุ่ 61-62 มาดูแลหนุ่มสาววัย 30
ที่อุบาทว์กว่าก็คือ ศาสตราจารย์ไม่มาหรอกครับ ท่านก็ป่วยกระเสาะกระแสะเหมียนกัลล์
บริสัตว์ประกันก็ช่างกระไรเลย รับคนวัยนี้มาเป็นตัวแทนได้

....โลกนี้มันเป็นอารัยไปแล่วหนอ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 11:36

          คั่นรายการ ขอลองสรุป นิยามความเป็นคิตช์ ครับ

      คิตช์ ของคุณพพ. - สิ่งที่ส่อให้เห็นถึงรสนิยมที่ต่ำ สามานย์ ปัญญาเบา ไม่รู้จักที่ทาง รากเหง้า กาละเทศะ
                                  
                         ->  โลว เทสท์  

      คิตช์ อื่น -   โลว อาร์ท - มีคุณค่าความเป็นศิลปะต่ำ หรือไม่มี

                    โหล - เป็นของโหล ผลิตครั้งละมากๆ ไม่ใช่งานฝีมือเป็นชิ้นงานหรือของหายาก      

                    ล้า สมัย - ดูเชย พ้นยุค หรือชวนให้หวนถึงวันวาน
      
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 14:08

มิใช่ > Low taste

LACK TASTE ตะหาก
บันทึกการเข้า
ติบอ
นิลพัท
*******
ตอบ: 1906


Smile though your heart is aching.


ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 21:52

เห็นความคิดเห็นที่ 85 ของคุณพิพัฒนืแล้วเกิดอาการ "คัน" ขึ้นมาอย่างแรง
(ที่จริงแสบไปหมดทั้งตัวมากกว่า คิคิ)


ผมเป็นคนนึงครับ ที่เรียนมาในสายใกล้ๆกับคุณหมอ
(ถึงจะเรียนน้อยกว่าอยู่หลายปีก็เถอะครับ)
และจบมาแล้วก็ตัดสินใจ "เลือก" ที่จะไม่เข้าทำงานในโรงพยาบาลเหมือนกัน


อยากเล่าซักนิด ว่าเพื่อนหมอหลายคนของผมก็บ่น "ไม่อยากเป็นหมอแล้ว" สังคมมันสกปรก
เพื่อนคนหนึ่งที่สู้อุตส่าห์เรียนวิชาปรุงยามา 5 ปี
ก็ไปให้พี่สาวเช่าใบประกอบวิชาชีพเปิดร้านขายยา
ส่วนตัวมันเองนู่นครับ..... ไปนั่งเฝ้าร้านอินเตอร์เนตอยู่ข้างๆร้านขายยาแทน
เพื่อนทุกคนก็ต่อว่ามัน แต่มันกลับว่า "ดีสิ พี่กูมีปัญหาเมื่อไหร่ก็เรียกกูไปช่วยได้"  โกรธ ..... เออ เอากับมัน
เพื่อนที่เรียนวิชาตรวจเลือด วิเคราะห์เชื้อ ตรวจฉี่ ดูภาพถ่ายรังสี.... ไปเป็นเซลล์เกือบครึ่งคณะ

ระบบงานในโรงพยาบาลไทยน่ะ เหนื่อยนะครับ
แต่เหนื่อยแค่ไหนน่ะ ไม่มีใครเคยว่าเพราะรู้ตัวว่าเอาภาษีประชาชนมาเรียน
ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่เวลาไม่มี บุคลากรไม่พอ
แต่คนไข้นับร้อยดันมาออกันอยู่หน้าห้องตรวจ
จน "หมอไม่มีเวลาตรวจละเอียด" เสียแล้ว.....

ถ้าใครซักคนไม่เคยทำงานในโรงพยาบาล.... คงเข้าใจลำบากน่ะครับ




ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัวของผมซักเรื่องดีกว่า
ครั้งหนึ่ง ผมเคยเข้าฝึกงานในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง
เอ๊า..... เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย (พูดมากไปป่าวหว่า รูดซิบปาก)

คุณหมอก็ส่งคนไข้อาการ "ปวดเจ็บบริเวณใต้ตาตุ่มในข้างซ้าย เวลาลงน้ำหนัก" มา 1 คน
แกวินิจฉัยว่าคุณป้าป่วยเป็น "โรคพังผืดที่ฝ่าเท้าอักเสบ" แล้วก็สั่งให้การรักษาที่ฝ่าเท้ามาสองสามอย่าง
ครั้งแรก ผมก็ตามใจหมอไป (เพราะติดคนไข้คนอื่นอยู่ ไม่มีเวลาตรวจครับ แหะๆ)

แต่รักษาไปแล้วก็ได้แต่กลับมาบ้านนั่งคิดนอนคิด
คิดว่าไอ้พังผืดที่ว่านี่ มันวางตัวจากส้นเท้าไปโคนนิ้วเท้านิ
แล้วถ้ามันอักเสบขึ้นมา......... ทำไมไปเจ็บข้างๆตาตุ่มในอ่ะ ?

ครั้งที่ 2 ที่เจอคนไข้ผมก็เลยจับตรวจใหม่ตั้งแต่เอวยันเท้า
พบว่าคนไข้มีอาการปวดร้าวที่หลัง..... ก็เลยลองรักษาที่หลังดูก่อน
เว้นที่เท้าไว้ซักหน่อย ถ้ามันไม่หายค่อยมารักษาตามเดิม

รักษาเสร็จก็ขอให้คุณป้าลงจากเตียงมาลองเดินดูหน่อย
(ก็คนมันอยากรู้อ่ะคับ ว่าอาการคุณป้าจะเป็นไงมั่ง)
หลังจากลงจากเตียงได้คนไข้บอกว่า "อาการดีขึ้นค่ะ"
"ป้าไม่ปวดๆตึงๆเหมือนเวลาลงจากเตียงเมื่อตอนเช้าแล้วค่ะ"

ผมก็เลยขอให้คุณป้าลองย่ำเท้าดูสักสามสี่ที ย่ำเสร็จ
คุณป้าก็เงยหน้าขึ้นเอียงคอมองผม พร้อมกับบอกว่า "ไม่ปวดแล้วค่ะ"
แล้วก็ทำเกินคำสั่งโดยกระทืบเท้าติดกันอีกหลายทีตามมา
ทำเสร็จก็เงยหน้าเอียงคอเหมือนเดิมพูดกับผมอีกว่า "นี่ก็ไม่ปวดค่ะ ดีจัง"


สรุปว่าที่คุณหมอวินิจฉัยมา กับการรักษาทั้งชุดนั่น...... ยกไปนะครับ





เอาล่ะ ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ ไม่ได้อยากบอกว่าเด็กใหม่มันเก่งกว่า หรือว่าหมอห่วยนะครับ
แต่อยากบอกคุณพิพัฒน์ว่า ทุกคนในเรื่อง "น่าสงสาร" ครับ
หมอก็น่าสงสาร ที่ต้องดูแลคนไข้เกือบร้อยคนในเวลาแค่ 4 ชั่วโมง
นักกายภาพบำบัดก็น่าสงสาร ที่ต้องออกแรงรักษาคนไข้สามสี่สิบคนในเวลา 4 ชั่วโมง (อีกเหมือนกัน)
ส่วนนักศึกษา.... คุณพิพัฒน์ลองนึกดูนะครับ ว่าถ้าอาจารย์ หรือหมอมาเจอว่าผมรักษาไม่ตรงกับวิธีที่เขาสั่งลงมา........ อะไรจะเกิดขึ้น
หรือถ้ารักษาไปตามที่คุณหมอสั่งมา...... คนไข้จะหายไหมครับ ?

แล้วไอ้การฝึกงานที่โรงพยาบาลนี้ที่เดียว ผมเจอคนไข้ที่หมอตรวจผิดมา 4 ราย จาก 12 คนที่ได้รักษา

คงไม่ต้องถามแล้วนะครับ ว่าคนไข้จะน่าสงสารมั้ยครับ ?


ระบบการทำงานในโรงพยาบาลยังมีปัญหาอยู่มากครับ
หมอบางคนก็เลยทนกับการทำงานในสภาพแบบนี้ไม่ไหว
ยิ่งช่วงหลังมานี่ โรงพยาบาลต้องควบคุมึณภาพ ต้องมี "ไอ้โซ่" มาล่ามอีก
งานบริหารก็มากขึ้น งานวอร์ดก็ต้องทำ.... หลายคนก็ต่อสู้กับงานที่มีไม่ไหว
เขาก็อยากลาออกเป็นธรรมดา........ แต่ลาออกมา หมอจะทำอะไรกิน ?

หมอเด็ก หมอหูตาคอจมูก หมออายุรกรรม คงพอเปิดคลินิกได้
แต่ไอ้หมอดมยา หมอรังสี หมอกระดูก และอีกหลายๆหมอ เขาถูกวิชาชีพมัดมือตีนครับ
เวลาเรียนก็ทุ่มสุดตัว จะนอน จะหาแฟน ยังไม่รู้จะมีเวลาหรือเปล่า
จะเอาเวลาไปใส่ใจทำงานอดิเรกไว้เผื่อเป็นทางเลือกหลังลาออก.... จะมีหรือ ?

แล้วไอ้วิชาชีพที่เขาทุ่มเทมา มันก็ดันฝากศักดิ์ศรีไว้บนบ่าเสียหนักอึ้ง
จะให้ไปสมัครงานเป็นพนักงานบริษัท ใส่สูทผูกไทค์ กินเงินเดือนหมื่นห้า...... ฝันไปเถอะว่าหมอจะทำ
หมอจำนวนหนึ่งที่ลาออกมาก็เลยไปขายสินค้าขายตรงที่อิมปอร์ตมาเหมือนที่คุณพิพัฒน์ว่าน่ะแหละครับ....
แล้วก็อ้างกับตัวเองว่า "ดีกว่าไปเป็นลูกน้องเขา" คนมันทำได้แค่นั้นจริงๆครับ อย่าไปว่าเขาเลยนะครับ






เฮ่อ...... ขี้เกียจพิมพ์แล้ว..... เหนื่อยครับ


ปล. สำหรับผม ผมยังทำงานตามวิชาชีพที่เรียนมาอยู่ครับ
แต่รับทำเป็นรายๆไป (ใครอ่านมาถึงตรงนี้จะชี้หน้าด่าว่าเลือกคนไข้ก็ไม่ว่าครับ)
เพราะบอกตามตรง ว่าวิชาชีพที่ผมประกอบอยู่
ถ้าคนไข้ไม่ได้ "ไว้ใจ" หรือ "ศรัทธา" ในตัวผู้ให้การรักษาแล้วหมดสิทธิ์หายไป 50% ครับ
(พูดง่ายๆว่า ถ้าคนรักษาซื้อใจคนไข้ไม่ได้แล้วไม่ต้องรักษาเลยจะดีกว่า.... แต่ปกติผมก็ซื้อได้นะ แหะๆ)


ปล.2 ส่วนเวลาว่างที่เหลือในชีวิตตอนนี้ ผมก็เอามาดูแลคนใกล้ตัวครับ.....
อ่ะแน่..... คดว่าผมเอาเวลาไปหาแฟนล่ะจิ คิคิ
ไม่ใช่หรอกครับ คนใกล้ตัวพวกนี้หลายคนไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนรู้จักคุ้นเคยของผมด้วยซ้ำไป
แต่เขาไม่มีเวลาไปต่อคิวรักษาที่โรงพยาบาล ไม่มีเงินพอจะไปรักษาคลินิกนอกเวลา
ผมก็มีแค่แรง แค่วิชาที่ร่ำเรียนมา กับความรู้จากงานวิจัยที่หาอ่านอยู่เสมอๆ...... ก็บอกเขาแค่ว่าถ้าช่วยได้ก็ช่วยครับ

ไม่ว่าเขาจะเป็นแม่บ้านในคอนโดที่ผมอาศัยอยู่ เป็นคุณป้าขายข้าวมันไก่ที่หน้าปากซอย
(หรือจะเป็นคนขี้เมื่อยในบอร์ดก็ได้นะครับ คิคิ)
ขอให้บอกมาเถอะ ว่าอาการเป็นยังไง ถ้าไม่เกินกว่าจะช่วยได้ ผมยินดีช่วยเสอกั๊บป๋ม


ปล.3 พิมพ์มาซะยาวเฟื้อยเลยเรา แหะๆ
บันทึกการเข้า
pipat
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1802


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 13 ต.ค. 07, 22:49

ผมแสดงความเห็นครั้งนี้ โดยทราบดีว่าคุณติบอจะต้องเดือดร้อนใจ
ก็สมดังตั้งใจของผม....555555

วิชาที่ได้มานั้น ถ้าไม่ใช้ก็เหมือนขโมย คือนำของที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา
ขโมยยังมีข้ออ้าง แต่คุณติบอไม่มีข้ออ้างครับ เว้นแต่เดินๆ ไปตกท่อ ขาเสีย
หรือตาบอด หรือมือขาด อันนั้นก็น่าเห็นใจ

แต่คุณตำรวจที่ขาขาดคนนั้น เธอเร่งวันเร่งคืนให้หาย แกจะไปทำงานอีก
ทั้งๆ ที่แกต้องพักแล้ว

ถ้าผมมีมนตร์วิเเศษ
จะเสกให้คุณติบอมีงานที่ตรงกับวิชาชีพ เพราะเชื่อว่า มวลมนุษย์จะได้ประโยชน์จากความสามารถที่มีเต็มเปี่ยม
ได้ปลดทุกข์ ได้พ้นร้อน แม้จะเดือนละคน ก็ยังดีกว่าเดือนละไม่มีสักคน
ถ้าผมกราบไหว้วิงวอนแล้วคุณติบอไปดำเนินวิชาชีพต่อได้

ผมก็จะทำ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.124 วินาที กับ 19 คำสั่ง