เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
อ่าน: 10680 แต่งก่อนอยู่ หรืออยู่ก่อนแต่ง - บนเรือนไทย
ฟังเสียงฝนในหอน้อยเพียงเดียวดาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 26 ธ.ค. 00, 08:42

การที่คนสองคนจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน  ความสุขทางเพศเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น  แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่จะทำให้อยู่กันได้
เพราะใน ๒๔ ชั่วโมง เราใช้เวลาประมาณ ๑๖ ชม.ทำงานหาเลี้ยงชีวิตและคบหาพบปะคนอื่นๆในสังคม  นอนอีกประมาณ ๗ ชั่วโมง มีเวลาอยู่บนเตียงด้วยกันเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น
ความต้องการทาเพศของมนุษย์ปกติ  (หมายถึงในกรณีที่ไม่มีความผิดปกติทางอารมณ์ อย่างพวก sadism หรือ masochismฯลฯ) หญิงชายจะปรับตัวเข้าหากันได้เอง โดยมีความรักความเอาใจใส่ต่อกันเป็นพื้นฐาน
ทั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องทดสอบกันก่อนแต่ง   แล้วจะแน่นอนกว่ามารู้เอาทีหลัง

การเจริญพันธ์ของมนุษย์เริ่มตั้งแต่อายุประมาณ ๑๓ ก็ใช่  แต่กว่าร่างกายจะสมบูรณ์พร้อมจะมีลูกได้ ก็ประมาณ ๑๘ ถึง ๒๕   ผู้หญิงที่มีลูกก่อนหน้านี้เสียอีกมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มาก
คนสมัยก่อนจึงกำหนดอายุผู้ชายครองเรือนไว้ประมาณ ๒๑ คือบวชเมื่ออายุ ๒๐ เสียก่อน  ผู้หญิงก็ราว ๑๖-๑๘
อย่าลืมว่าในสมัยที่การแพทย์ยังไม่เจริญ  มนุษย์อายุสั้นกว่าเดี๋ยวนี้มาก  ใครอายุ ครบ ๖๐ ถือว่าต้องฉลองกัน   สมัยนี้อายุ ๖๐ ยังทำงาน เล่นการเมือง ตีกอล์ฟ ได้สารพัด

ถ้าถือเอาความต้องการทางธรรมชาติเป็นหลัก แล้วปล่อยไปตามนั้นเหมือนสัตว์  เราก็ฝืนธรรมชาติความเป็นมนุษย์ด้วยน่ะสิครับ

ส่วนเรื่องข่มขืนนั่นมันคนละประเด็น   ผู้หญิงฟ้องสามีฐานข่มขืนไม่ได้(ในแง่ของการบังคับให้ยินยอมโดยไม่เต็มใจ)เพราะกฎหมายถือว่าแต่งงานกันแล้วจะมาปฏิเสธการอยู่กินกันไม่ได้
แต่เอาผิดข้อหาทำร้ายร่างกายได้ครับ  ถ้าชนิดทุบตีมีร่องรอยบอบช้ำละก็...ชัวร์เลย  

บันทึกการเข้า
ร่วมแจม
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 26 ธ.ค. 00, 09:01

คนที่แต่งงานแล้่วหย่านี่ เป็นประเด็นที่มีปัญหาในหลายสังคมเหมือนกัน
ฝรั่งนี่มีเยอะ คนไทยในปัจจุบันเริ่มกลายเป็นคนสมัยใหม่ก้เริ่มมีบ้าง

คิดว่าเป็นเพราะศ฿ึกษากันไม่ดีพอมากกว่า มีคนพูดว่า
"การแต่งงานนี่ไม่ใช่จุดจบของความรัก  แต่เป็นจุดเริ่มต้นต่างหาก"
คิดกันว่ายังไง  ? ตัวเองคิดว่ามีส่วนถูกเยอะนะ เราจะวัดกันว่า
รักกันจริงมั้ยก้ตอนนี้แหละ ถ้าทนกันได้ ถ้ารักกันจริงมันก้ต้องพยายาม
ปรับตัวให้เข้ากันให้ได้ เพราะจริงๆแล้วธรรมชาติของหญิงและชายนี่
ก้ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แล้วยิ่งมาจากต่างครอบครัว พื้นฐานต่างกันอีก
แต่การที่คนสองคนสามารถอยู่ร่วมกันได้หลายสิบปี มีบุตรเพื่อสืบทอด
ต่อมานี่คงเป็นอะไร ที่มีมากกว่าความรัก ทำยังไงไม่ให้เบื่อกัน
ทำยังไง จะแก้ปัญหาความเข้าใจผิดกันได้ ทำยังไงจะเลี้ยงลูกให้ได้ดี
ทำยังไง จะไม่ทำให้สามีไปมีภรรยาน้อย และอื่นๆ ปัญหามีมาเยอะจะตาย

คนที่เป็นแฟนกันเป็นเวลาของการศ฿ึกษากันและกันมากกว่าดังนั้นควรใช้
เวลานี้ศ฿ึกษากันมากกว่า
บันทึกการเข้า
เพิ่มแจม
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 26 ธ.ค. 00, 09:05

ถ้าศึกษากันดีพอในเวลาของการเป็นแฟนกัน ก้จะไม่มีปัญหาเรื่อง
ลองอยู่กันก่อนเพื่อทดสอบว่าแต่งแล้วจะอยู่กันได้หรอก ก้ถ้าเวลา
เป็นแฟนกัน แล้วคบกันให้ดีดูกันให้ดี มันก้น่าจะดูออกนะว่าแฟนเรา
เป็นคนยังไง นิสััยใจคอเป็นไง จริงมั้ย ?

ไม่ใช่อยู่ก่อนแต่งดีกว่า เพราะตัวเองก้เป็นคนหัวโบราณ
เหมือนกัน ว่าน่าจะทำถูกประเพณี ชีวิตคนเราผู้หญิงจะมีค่ามากเมื่อ
ได้ถูกขอแต่งงานจากหนุ่มที่รัก แล้วการแต่งงานเพียงครั้งเดียว มันก้ดูดีกว่า
ด้วยในสังคมไทยของเรา แม้บางคนจะพลาดไปมีการแต่งอีกรอบก้ตาม
แต่โอกาสชีวิตของเรานั้น เราสามารถเป็นผู้เลือกกระทำได้เอง
แล้วใยเล่าจะไม่รอบคอบทำให้ดี จริงมั้ย ?  

การอยู่ก่อนแต่งนอกจากจะทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงแล้วดูไม่งามแล้ว
ยังอาจรวมไปถ฿ึงความไม่มั่นคงในฐานะครอบครัวในอนาคต
ไหนๆ ก้มีโอกาสจะได้สามีแล้วก้น่าจะทำอะไรให้มันถูกหลักประเพณี
แล้วก้เพิ่มความสบายใจให้ญาติผู้ใหญ่ ยังไงคนไทยก้คือคนไทย
ไม่ว่าจะอยู่ไหนก้ตาม การทำอะไรที่ถูกหลักประเพณี ก้ไม่เสียหาย
ไม่ต้องรีบเรื่องแบบนี้ เมื่อถ฿ึงคราวบางคนยังจะบอกเองเลยว่า
  "คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า"
บันทึกการเข้า
ขวางโลก
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 27 ธ.ค. 00, 05:33

ก็ต้องถือเอาความถนัดใจของแต่ละคนมาเป็นข้อกำหนดล่ะว่าจะเลือกแบบไหน  แต่ไม่ควรเอาค่านิยมของเราไปตัดสินคนอื่นที่ปฏิบัติไม่เหมือนกับเรา   สังคมไทยมีความกดดันที่จะให้คนปฏิบัติตัวไปตามค่านิยม "ร่วม"  ให้เป็นอย่างที่เราถือปฏิบัติ  มากกว่าในสังคม เช่นสังคมฝรั่ง  ไม่คิดว่าใครจะไปว่าของใครได้ว่าใครดีกว่าใคร  เรื่องอย่างนี้ความเหมาะสมในแต่ละสังคม  ตลอดจนถึงในแต่ละรายไม่เหมือนกัน

ผู้ชายนั้น  ว่ากันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว   มีความบันดาลใจที่จะมีเซ็กส์กับผู้หญิงที่ตัวถูกใจ  ธรรมชาติมันเป็นไปอย่างนั้น  ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องตำ่ช้าอะไร  ผู้หญิงในบางสังคมก็มีความบันดาลใจที่จะ "โก่งค่าตัว"  เพื่อความมั่นคงให้มากที่สุดในอนาคตของตัวเอง  บางครั้งก็ไปอ่อยชม้อยชม้ายตาให้หลายๆหนุ่ม  เพื่อให้เกิดการแข่งกันระหว่างหนุ่มๆหลายคน  ซึ่งคล้ายๆกับการ "ปั่นหุ้น" เพื่อโก่งราคาเช่นกัน  ผู้ชายตะวันออกบางคนที่เคยเห็นมา  จะเกิดความสนใจต่อผู้หญิงก็ต่อเมื่อตระหนักว่า  ผู้หญิงคนนั้นเป็น "สาวเนื้อหอม" เป็นที่หมายปองของหนุ่มมากหน้า  ความอยากเอาชนะเป็นที่หนึ่ง  จึงไปกระตุ้นให้มาแข่งกันจีบสาวคนนั้นขึ้นมา  จึงมีการเล่นเกมส์กัน  ทั้งสองฝ่ายก็พยายามสร้างความประทับใจให้มากที่สุด   พฤติกรรมในช่วงนี้   เป็นแบบที่เค้าเรียกว่า courtship  ก็มักจะไม่ใช่ความเป็นไปที่แท้จริง  คือต่างฝ่ายต่างสร้างความประทับใจ  ในบางครั้งก็อาจจะเลยเถิดไปถึงทำตัวเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง  
เพียงทำไปเพื่อหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมตกร่องปล่องชิ้นกับตัวด้วย  แต่พฤติกรรมหลังจาก "ตกร่องปล่องชิ้น" กันไปเรียบร้อยแล้ว  
ความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงจึงออกมาให้เห็นกัน   วัฒนธรรมของชาวตะวันออก  ที่ทำให้ฝ่ายหญิงมีคุณค่าอยู่ที่ พรหมจารีย์  พอเสียไปแล้ว  
จะแต่งหรือไม่แต่งก็ตาม  เมื่อหมดระยะ ข้าวใหม่ปลามันไปแล้ว  ฝ่ายชายก็ "อาจจะ" หมดความบันดาลใจที่จะทำตัวให้ดี  
นี่หมายถึงเฉพาะผู้ชายที่ไม่สนใจที่จะพัฒนาตัวเองนะ  ไม่ได้ว่าผู้ชายทั้งหมดว่าเป็นอย่างนี้   วัฒนธรรมตะวันออกที่เป็นมาตลอด  
ฝ่ายหญิงก็ต้องกลำ้กลืนทนอยู่ไป  อย่างไม่มีทางเลือก  ถึงจะไม่มีการหย่า  เพราะหย่าไม่ได้  หย่าแล้วจะอดตาย  เพราะไม่มีชายอื่นสนใจอีกแล้ว  
หรือสนใจแต่ก็ไม่ให้เกียรติเท่าไร   ก็ใช่ว่า สถาบันการสมรสของเราไม่มีปัญหาอย่างฝรั่ง  เพียงเพราะสถิติการหย่าต่างกัน  
การหย่าจึงไม่น่าจะเอามาเป็นเครื่องวัด  มันจะวัดได้ก็เพียงระดับความอดทนของผู้หญิงมากกว่า  

การอยู่ก่อนแต่งหรือไม่  มันก็มีข้อดีข้อเสียไปคนละอย่างกันไป  คนไทยชอบมองข้อเสียของข้อนี้กันมามากแล้ว  ก็ขอชี้ให้เห็นว่า  ในสังคมที่ไม่วัดผู้หญิงที่ "เยื่อพรหมจารย์" กัน  เขาไม่ได้อยู่กันแบบพรำ่เพรื่อ  เขามองว่าการอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง  หรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่ง  เป็นความจำเป็นต่อการตัดสินใจเลือกคนอย่างหนึ่ง   เพราะมันจะช่วยให้ต่างฝ่ายเห็นถึงแก่นแท้ของกันและกันมากขึ้น  หากความ "อยาก" มี พสพ ไม่มี หรือมีน้อยลงไปแล้ว  ตัวแปรที่มีผลต่อพฤติกรรมความประพฤติก็จะลดอิทธิพลลงไป   ของเขานั้น  ถ้าเห็นแล้วว่า  ผู้ชายที่เคยทำตัวดี  พอได้กันแล้วก็เปลี่ยน  ทำให้เห็นได้ชัดว่า  ต้องการมา "ฟัน" เท่านั้น  ผู้หญิงก็ผละตัวออกโดยไม่ได้เกิดปมด้อยที่ทำให้พลอยเชื่อไปว่า  ตัวเองด้อยคุณค่าลงไปอย่างไร  คนยังเป็นคนเหมือนเดิม  ผู้หญิงของเขามองค่าของตัวที่สมอง และคุณธรรมสมบัติอื่นๆที่ประกอบกันเป็นคน   เมื่อไม่มีการตีตราให้คุณค่าผู้หญิงที่  hymen tissue แล้ว  การแสดงออกและการตัดสินใจของเขาจึงเป็นธรรมชาติมากกว่า

เห็นด้วยว่า  เอามาปฏิบัติในสังคมไทยไม่ได้หรอก  เพราะผู้ชายไทยยังมองว่า  การได้มีเพศสัมพันธุ์ เป็นการ "ได้เปรียบ ได้ฟัน" ผู้หญิง  และผู้หญิง  และผู้ใหญ่  ยังยอมรับการตีค่าราคาตัวกันตรงนี้แล้ว  มันก็ไม่เวิร์คหรอก  ผู้หญิงที่จริงใจก็จะถูกหลอกง่ายๆจากผู้ชายที่เอาแต่จะ "ฟัน"   ก็ต้องเลือกแทงหวยเอาที่ไปรอออกหวยออกก้อยกันหลังแต่งงานแล้วนั่นแหละ  อย่างน้อยๆก็ได้ค่าสินสอดไปแล้วพอเป็นเครื่องปลอบใจ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.047 วินาที กับ 17 คำสั่ง