ลองเข้าไปที่นี่ดูค่ะ
http://www.thaiembassy.jp/120jt/มีเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiembassy.jp/120jt/content/view/35/45/lang,th/การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
หลังจากที่รัฐบาลโชกุนดำเนินนโยบายปิดประเทศในปี ค.ศ. 1639 (พ.ศ.2182) ประเทศญี่ปุ่นก็ตัดขาดจากการติดต่อกับโลกภายนอกจนกระทั่งประเทศตะวันตกเริ่มล่าอาณานิคมและพลจัตวา แม็ทธิว เปอรี่ ของสหรัฐ นำเรือเข้าปิดปากอ่าวอุรางะ (Uraga) ค.ศ. 1853 (พ.ศ. 2396) รัฐบาลโชกุนจึงจำเป็นต้องเปิดประเทศอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้เกิดการล่มสลายของระบบโชกุนในที่สุด และจักรพรรดิญี่ปุ่นเริ่มกลับมามีอำนาจอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง โดยเข้าสู่สมัยเมจิ (Meiji) ในปี ค.ศ. 1868 (พ.ศ. 2411) ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองสมบัติ
ประเทศญี่ปุ่นในสมัยเมจิกับประเทศไทยในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญในทางประวัติศาสตร์หลายๆด้าน โดยนอกจากพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ จะเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในปีเดียวกันแล้วพระชันษายังใกล้เคียงกัน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพหลังจักรพรรดิเมจิ 1 ปี และเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) ก่อนหน้าจักรพรรดิเมจิสวครรต 2 ปี
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างต้องเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก ภารกิจที่สำคัญของพระมหากษัตริ์ทั้งสองพระองค์จึงเหมือนกันคือ การดำเนินวเทโศบายที่ชาญฉลาดเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติไว้ ในขณะที่ต้องเร่งพัฒนาประเทศ ประเทศให้เจริญรุดหน้าตามแบบตะวันตก และเป็นในสมัยของพระมหากษัตรย์ทั้งสองพระองค์นี้ที่ประเทศทั้งสองเริ่มมีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม กว่าที่รัฐบาลของประเทศทั้งสองจะเริ่มติดต่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ต่อกันก็ต้องอาศัยเวลาถึง 20 ปีหลังจากที่พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เนื่องจากในระยะแรก นโยบายด้านการต่างประเทศของไทยและญี่ปุ่นยังต้องมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับมหาอำนาจตะวันตก จึงทำให้ทั้งสองประเทศไม่มีโอกาสติดต่อกับประเทศในเอเชียด้วยกันมานัก จนกระทั่งเมื่อทั้งสองประเทศได้ทำสนธิสัญญากับมหาอำนาจตะวันตกต่างๆแล้ว จึงเริ่มมีการติดต่อระหว่างกัน ซึ่งเชื่อว่าสาเหตุหลักประการหนึ่งมาจากการที่ทั้งสองฝ่ายมีนโยบายสอดคล้องกันที่ต้องการแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคที่มีต่อตะวันตก และต้องการหาพันธมิตรในเอเชียด้วยกัน
ในปี ค.ศ. 1887 ( พ.ศ. 2430) ระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีการต่างประเทศเสด็จกลับจากทรงร่วมพิธีเฉลิมฉลองการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติครบ 50 ปี ของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียที่กรุงลอนดอน ได้เสด็จเยือนประเทศต่างๆในยุโรปและสหรัฐฯ และได้ทรงแวะประเทศญี่ปุ่น ในครั้งนั้นฝ่ายญี่ปุ่นได้เสนอให้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทางการตามระบบสากลแบบใหม่ จึงได้มีการลงนามในสัญญาทางไมตรีและพานิชย์ระหว่างกัน เมื่อ 26 กันยายนค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) ที่กรุงโตเกียว ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ญี่ปุ่นทำสัญญาในลักษณะนี้ด้วย แม้ว่าสัญญาดังกล่าวจะเป็นเพียงเอกสารสั้นๆที่ระบุเพียงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายว่าจะมีการทำสนธิสัญญาเพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนทางการทูตและส่งเสริมการพานิชย์และการเดินเรือระหว่างกันต่อไปก็ตาม แต่ก็ถือว่าการทำสัญญานี้เป็นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น
รัฐบาลญี่ปุ่นได้แต่งตั้งให้ นายมันจิโร อินางากิ (Manjiro Inagaki) ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยคนแรกเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) จากนั้นได้มีการลงนามในสัญญามิตรภาพพาณิชย์ การเดินเรือและการทูต ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441) ที่กรุงเทพฯ และในปีต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พลตรี พระยาฤทธิรงค์รณเชษฐ์ ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่นเป็นคนแรก และในปีเดียวกัน ประเทศไทยได้เปิดสถานอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียวขึ้นเป็นสถานอัครราชทูตแห่งที่ 5 ของไทยในต่างประเทศและนับเป็นสถานอัครราชทูตแห่งแรกของประเทศไทยในทวีปเอเชีย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ประเทศไทยได้ทำความตกลงกับประเทศญี่ปุ่น ในการแลกเปลี่ยนผู้แทนการทูตระดับเอกอัครราชทูต สถานอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว จึงยกระดับจากสถานอัครราชทูต(Legation) เป็นสถานเอกอัครราชทูต (Embassy) และพระยาศรีเสนา (ฮะ สมบัติศิริ) ซึ่งดำรงตำแหน่งอัครราชทูต ก็ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม( Ambassador Extraordinary and Plenipotentiary) ณ กรุงโตเกียว นับเป็นการเปิดสถานเอกอัครราชทูตแห่งแรก และเป็นการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มรายแรกของประเทศไทย
นับตั้งแต่ประเทศไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างน่าพอใจในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยลำดับ นับตั้งแต่การเสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่นของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี เมื่อเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1931 (พ.ศ.2474) ซึ่งเป็นการเสด็จฯ เยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทย
ต่อมาได้มีการเสด็จฯ เยือนในระดับพระประมุขอีกหลายครั้ง กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506) ต่อจากนั้นเจ้าชายอากิฮิโต (Akihito) มกุฏราชกุมารญี่ปุ่นและเจ้าหญิงมิชิโกะ (Michiko) พระชายา ได้เสด็จฯ แทนพระองค์สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต (Hirohito) และสมเด็จพระจักรพรรดินี เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นการตอบแทนในเดือนธันวาคมปีต่อมา และหลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโต สวรรคตเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) และมกุฏราชกุมารอากิฮิโต ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตแล้ว ก็ได้เสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) ซึ่งนับเป็นประเทศแรกที่เสด็จฯ เยือนภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ และเป็นประเทศในทวีปเอเชียประเทศแรกที่พระจักรพรรดิญี่ปุ่นเสด็จฯ เยือนในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นอกจากนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนการเสด็จเยือนซึ่งกันและกันของพระบรมวงศานุวงศ์ในระดับต่างๆ อยู่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีงานเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญของอีกฝ่ายหนึ่ง
ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในด้านอื่นๆ ภายหลังการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในระยะแรก เป็นการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและวิชาการจากฝ่ายญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยเร่งพัฒนาประเทศอยู่นั้น ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องจ้างชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถในสาขาวิชาต่างๆ มาเป็นที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนนี้มีชาวญี่ปุ่นรวมอยู่ไม่น้อย เช่น นายฟูจิโยชิ มาซาโอะ (Fujiyoshi Masao) ที่ปรึกษาด้านกฏหมายของรัฐบาลไทยระหว่างปี ค.ศ. 1897-1913 (พ.ศ. 2440-2456) ซึ่งต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นได้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) และ นางเท็ตสึ ยาสุอิ (Tetsu Yasui) ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาที่รัฐบาลญี่ปุ่นส่งมาช่วยเหลือในด้านการปฏิรูปการศึกษาของไทย และเป็นผู้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งโรงเรียนราชินีขึ้นในปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อาทิ ด้านการเลี้ยงไหม การแพทย์ วิศวกรรมและศิลปหัตถกรรม ฯลฯ
ความสัมพันธ์ด้านการเมืองเป็นอีกด้านหนึ่งที่ไทยกับญี่ปุ่นมีความใกล้ชิดมาโดยตลอด อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองประเทศมีนโยบายด้านการเมืองระหว่างประเทศที่สอดคล้องกันมานับตั้งแต่เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน โดยในช่วงของการต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกนั้น ญี่ปุ่นพยายามแผ่ขยายอิทธิพลของตนในภูมิภาคเอเชียเพื่อคานอำนาจกับมหาอำนาจตะวันตกเหล่านั้น ในขณะที่ไทยก็พยายามใช้ประโยชน์จากญี่ปุ่นเพื่อการแก้ไขภาวะเสียเปรียบที่มีอยู่กับมหาอำนาจตะวันตกดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เช่น เมื่อที่ประชุมสันนิบาตชาติ ที่นครเจนีวา เมือวันที่ 24 กุมภาพันธ์1933 (พ.ศ. 2476) ลงมติให้ญี่ปุ่นถอนทหารออกจากแมนจูเรีย ไทยเป็นชาติเดียวที่งดเสียง ซึ่งญี่ปุ่นตีความว่าเป็นการแสดงออกถึงท่าทีที่เป็นมิตรต่อญี่ปุ่น
นอกจากนั้นเมื่อญี่ปุ่นประกาศสงครามกับประเทศพันธมิตรในสงครามมหาเอเชียบูรพา แม้ว่าในระยะแรกไทยจะเป็นกลาง แต่เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ประเทศไทยและไทยต้องเข้าร่วมรบเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่น ไทยก็ได้ใช้โอกาสดังกล่าวในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบเจรจาให้อังกฤษและฝรั่งเศษคืนดินแดนที่เคยเป็นของไทยกลับคืนมา ซึ่งแม้ว่าหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามและไทยต้องสูญเสียดินแดนเหล่านั้นไปอีกครั้งหนึ่งก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นท่าทีชัดเจนของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตกในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันไทยกับญี่ปุ่นยังคงมีความร่วมมือกันด้านการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยไทยสนับสนุนให้ญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในเวทีการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ทั้งสองประเทศเริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันและกล่าวได้ว่าเป็นสาขาที่มีความสำคัญที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจในระยะแรกเป็นความสัมพันธ์การค้าเป็นหลัก โดยพ่อค้าญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาเปิดกิจจการร้านค้าในประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1891 (พ.ศ. 2434) มีธุรกิจด้านอื่นๆ รวมทั้งธนาคารเข้ามาดำเนินกิจการ ในเวลาต่อมามีคนญี่ปุ่นพำนักอยุ่ในประเทศมากขึ้น และได้มีการตั้งสมาคมญี่ปุ่นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 (พ.ศ. 2456)
โดย สิงห์ทอง ลาภพิเศษพันธุ์
จากวารสารวิทยุสราญรมย์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 14 มกราคม - มีนาคม 2545